เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
wild rabbit #jaedohbrxnct
Chapter 25 : The rabbit's desire





  • "นายหมายถึงแคชมีที่ชอบมาป่วนเอฟบีไออยู่บ่อย ๆ นั่นน่ะเหรอ?"

    "อ่าฮะ..." โยนาธานดีดนิ้วดังเป๊าะก่อนจะชี้ไปยังเจย์เดน "ล่าสุดที่แอบดอดเข้ามาแฮกอีเมลของรองผู้อำนวยการไปน่ะฉันยังเจ็บใจไม่หาย ขนาดคิดว่าวางมาตราการป้องกันไว้อย่างแน่นหนาแล้วเชียวนะ แต่ก็ยังจะหลุดไปได้"

    บทสนทนาระหว่างเพื่อนร่วมงานในองค์กรเดียวกัน ทำให้เจ้าหน้าที่จากซีไอเอเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้พอจะคาดเดาได้ว่าแคชมีและเอฟบีไอนั้นต่างเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมานาน

    ถ้าจะให้พูดกันตามตรงแล้ว หน่วยงานของรัฐบาลที่เป็นเป้าในการโจมตีหลัก ๆ ของเหล่าแฮกเกอร์นั้นมีอยู่ไม่มากนักหรอก ไม่เพนตากอนก็ซีไอเอ ไม่ซีไอเอก็เอฟบีไอ ตราบใดที่สิ่งล้ำค่าของบรรดาแฮกเกอร์นั้นคือข้อมูล และหน่วยงานเหล่านี้ต่างก็มีข้อมูลที่ถูกแปะป้ายเอาไว้ว่าเป็น 'ความลับ' เก็บซ่อนอยู่ ท้ายที่สุดแล้วเป้าโจมตีจึงมักจะวนไปเวียนมาอยู่ในนี้อย่างช่วยไม่ได้

    "ครั้งนั้นเป็นเพราะฝั่งเราโดนโซเชียลเอ็นจิเนียร์ริ่งจากหลายทาง หลังจากนั้นนายก็กำหนดนโยบายเพิ่มแล้วนี่ อย่างการห้ามไม่ให้เจ้าหน้าที่ใช้เครือข่ายสาธารณะในการล็อกอินเข้าระบบนั่นไง"

    โซเชียลเอ็นจิเนียร์ริ่งที่เจย์เดนเอ่ยนั้น คือหนึ่งในวิธีการโจมตีของแฮกเกอร์ จะว่ายากมันก็ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายด้วยเช่นเดียวกัน

    แฮกเกอร์ที่เลือกใช้การโจมตีโดยวิธีโซเชียลเอ็นจิเนียร์ริ่งนั้น ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์ในการค้นหาหรือเจาะช่องโหว่ของระบบมากนัก แต่จำต้องมีความรู้ทางด้านจิตวิทยาและความอดทน เพื่อใช้เฟ้นหาวิธีในการสร้างช่องโหว่ขึ้นมาจากความผิดพลาดของมนุษย์

    ไม่ว่าจะเป็นการแอบอ้างทางโทรศัพท์เพื่อหลอกลวงให้เหยื่อเปิดเผยข้อมูลผ่านการสนทนา การทำอีเมลหรือเว็บไซต์ปลอมเพื่อหลอกเอาข้อมูลสำคัญจากเหยื่อ การลอบสังเกตเหยื่อเพื่อเก็บข้อมูลส่วนตัวมาวิเคราะห์ หรือแม้แต่การสร้างสถานการณ์เพื่อหลอกล่อให้เหยื่อตายใจและเป็นฝ่ายเผยข้อมูลออกมาด้วยตัวเอง

    วิธีการทั้งหมดนี้ล้วนแล้วแต่โจมตีผ่านทางมนุษย์ สิ่งมีชีวิตที่ไม่อาจควบคุมความรู้สึกนึกคิดให้อยู่ในรูปแบบเดียวกันได้โดยสมบูรณ์ การคิดจะป้องกันจึงถือเป็นเรื่องที่ยาก

    เพราะเงื่อนไขในการตัดสินใจของมนุษย์นั้นไม่ได้มีเพียงแค่ศูนย์หรือหนึ่งเหมือนคอมพิวเตอร์ ดังนั้นการตัดสินใจที่ผิดพลาด จึงถือเป็นเรื่องปกติของมนุษย์โลก

    "แต่นั่นมันก็ใช้ได้กับเจ้าหน้าที่นั่งโต๊ะเท่านั้นแหละ" โยนาธานเอ่ย "กับพวกภาคสนามที่ต้องออกไปปฏิบัติภารกิจข้างนอกฉันจะเอานโยบายนี้ไปบังคับใช้ด้วยได้ยังไงไหว อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย แม้แต่ตัวนายเองน่ะยังเคยใช้ไวไฟของโรงแรมล็อกอินเข้าระบบมาเหมือนกันไม่ใช่รึไง"

    "ก็ตอนนั้นมันจำเป็นจริง ๆ" เจย์เดนว่า "ฉันทำภารกิจอยู่ข้างนอก ถ้าจะให้ถ่อกลับมาที่สำนักงานเพื่อล็อกอินเข้าระบบ มีหวังภารกิจฉันคงได้ล่มก่อน"

    "ใช่ไหมล่ะ มันเลยยากไงในการคิดหาวิธีป้องกันน่ะ นี่ยังไม่รวมคนที่ประมาท ชอบแอบใช้เครือข่ายขององค์กรเข้าเว็บไซต์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานจนทำให้โดนพวกมัลแวร์ สปายแวร์อีกนะ" โยนาธานบ่น ก่อนจะถอนหายใจออกมา "แต่ไม่น่าเชื่อเลยฃว่าแคชมีจะตายแล้ว ก่อนหน้านี้ฉันยังนั่งหาฟุตปริ้นต์ของหมอนั่นจนหัวหมุนอยู่เลย"

    ข้อมูลล่าสุดเกี่ยวกับแคชมีนั้นวิ่งวนอยู่ในหัวของแดนเนลซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด ร่างผอมโปร่งนิ่งเงียบเพื่อเก็บรายละเอียดของข้อมูลจากเจ้าหน้าที่เอฟบีไอทั้งสอง ในขณะเดียวกันนั้นก็พยายามนึกหาจุดเชื่อมโยงระหว่างแคชมีและริชาร์ด

    ไม่ใช่เพียงแค่สองคนนั้นรู้จักและมาข้องเกี่ยวกันได้อย่างไร

    แต่เป็นเพราะเหตุใดริชาร์ดถึงได้ตัดสินใจเลือกใช้แคชมีออกมาล่อโค้ดเนมเอ็มทูเคให้ไปหา

    เพราะแคชมีและโค้ดเนมเอ็มทูเคนั้นรู้จักกันมาก่อนอยู่แล้วจริง ๆ หรือเพราะว่าริชาร์ดนั้นรู้แล้วว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของโค้ดเนมเอ็มทูเคในตอนนี้คือเขา

    ถ้าให้เขาเดาคงไม่พ้นเป็นเหตุผลข้อหลัง ยังไงริชาร์ดก็ต้องรู้อยู่แล้วว่ามาร์คัสถูกเอฟบีไอรวบตัวไป และคงรู้ด้วยว่าเอฟบีไอจะใช้เวลาไม่นานในการตามหานามแฝงของเชสเตอร์ บางทีริชาร์ดอาจจงใจวางหมากนี้ทิ้งเอาไว้เพื่อให้เขารู้ และให้เขาเป็นฝ่ายตัดสินใจเลือกว่าจะส่งหมากตัวอื่นให้ไปตายแทนที่เหมือนที่เขาเคยส่งธีออนไป หรือจะเข้าไปเสี่ยงด้วยตัวเอง

    คนหนึ่งสวมบทคนตาย ส่วนอีกคนก็สวมบทนักโทษ หึ! คิดจะเดินเกมแบบนี้ใช่ไหมริชาร์ด

    แดนเนลหัวเราะหยันในใจ

    หากคิดว่าเขาโง่ เขาก็จะกลายเป็นคนโง่ดูสักครั้ง

    เพราะเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าท้ายที่สุดแล้วใครจะเป็นฝ่ายรุกฆาตในเกมนี้





    เพราะเจย์เดนตัดสินใจว่าจะอยู่หาข้อมูลของเชสเตอร์และแคชมีต่อ ทำให้กว่าที่พวกเขาทั้งสองจะได้ก้าวออกมาจากตึกสำนักงานสอบสวนกลางก็เป็นเวลาย่ำค่ำ เขาปฏิเสธคำชวนไปหาอะไรดื่มด้วยกันหลังเลิกงานของโยนาธาน และเผื่อแผ่คำปฏิเสธนั้นไปถึงแดนเนลด้วย

    เจย์เดนสัมผัสได้ว่าแดนเนลดูนิ่งเงียบกว่าปกติ อีกฝ่ายไม่ได้มีท่าทีหงุดหงิดที่เขาขอยืดเวลาอยู่ที่สำนักงานสอบสวนกลางต่อจนถึงค่ำ ทั้งยังไม่ได้มีท่าทีกระวนกระวายอยากกลับไปยังเซฟเฮ้าส์เหมือนช่วงเช้า กลับกันด้วยซ้ำ อีกฝ่ายดูตั้งใจฟังเขาและโยนาธานพูดคุยกันเกี่ยวกับคดีในอดีตของแคชมี และถ้าหากว่าโยนาธานไม่ได้หันไปขอความคิดเห็นเพิ่มเติมจากเจ้าตัวบ้างแล้วล่ะก็ เจย์เดนคิดว่าเขาคงไม่ได้ยินเสียงของอีกฝ่ายเลยตลอดช่วงบ่ายของวันนี้

    พวกเขาทั้งสองกลับมาถึงเซฟเฮ้าส์ตอนหนึ่งทุ่มครึ่ง แดนเนลดูเหมือนจะจมหายไปในความคิดของตัวเอง คิ้วเรียวของอีกฝ่ายขมวดมุ่นเข้าหากันน้อย ๆ อยู่ตลอดเวลา ดูราวกับว่ากำลังคร่ำเคร่งกับบางสิ่งบางอย่าง ทว่าไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยถามว่าเกิดอะไรขึ้น ไทรอนก็ตรงดิ่งเข้ามาหา ก่อนจะแจ้งให้เขาทราบว่าจอห์นนี่กำลังรอพบกับเขาอยู่ที่ห้องทำงาน

    เจย์เดนละสายตาออกจากแผ่นหลังของกระต่ายป่าที่ตรงดิ่งไปยังโต๊ะทำงานของตัวเอง และเดินตามหลังไทรอนที่พาเขาแยกไปยังห้องทำงานของจอห์นนี่ที่อยู่อีกฟากของเซฟเฮ้าส์อย่างเสียไม่ได้

    หนึ่งในอภิสิทธิ์ของผู้เป็นหัวหน้าทีมปฏิบัตภารกิจนั้น ก็คือห้องทำงานอันเป็นส่วนตัว

    ด้วยข้อจำกัดทางด้านพื้นที่ภายในบ้านพัก ทำให้ห้องทำงานแห่งนี้ไม่ถือว่ากว้างขวางใหญ่โตอะไรนักเมื่อเทียบกับห้องทำงานส่วนตัวที่ตั้งอยู่บนตึกสำนักงานใหญ่ของซีไอเอ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็พร้อมสรรพไปด้วยอุปกรณ์และเครื่องไม้เครื่องมืออำนวยความสะดวกตามที่หัวหน้าทีมปฏิบัตภารกิจควรมี

    เจย์เดนคิดว่าจอห์นนี่คงกำลังนั่งรอให้เขาเข้าไปรายงานเกี่ยวกับความคืบหน้าของภารกิจ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลใหม่ที่เขาได้มาจากทั้งทางซีไอเอและเอฟบีไป ไปจนถึงพฤติกรรมของแดนเนลที่อีกฝ่ายกำชับให้เขาคอยสังเกตอย่างละเอียด

    ทว่าเมื่อเขาผลักประตูเข้าไปด้านใน สิ่งที่เขาพบกลับมีเพียงความว่างเปล่า

    ไม่มีจอห์นนี่ที่นั่งเต๊ะท่าอยู่หลังโต๊ะทำงานอย่างที่เคย มีเพียงแล็ปท็อปเครื่องหนึ่งที่เขาจำได้ว่ามันไม่ใช่แล็ปท็อปรุ่นที่จอห์นนี่มักจะถือติดตัวและพาไปไหนมาไหนด้วยตลอดวางอยู่บนโต๊ะ

    "เขาโดนเรียกตัวไปฐานปฏิบัติการที่ซานฟรานซิสโกน่ะ เหมือนจะเป็นประชุมด่วน" ไทรอนเฉลยในสิ่งที่เขากำลังสงสัย "เขาเพิ่งออกไปได้ไม่ถึงชั่วโมงเอง ตอนนี้จะยังอยู่บนเครื่องบินแหละมั้ง แต่เขาสั่งเอาไว้ว่าถ้านายกลับมาถึงเมื่อไหร่ให้รีบแจ้งไปทันที ถ้าเขาไม่ติดอะไรจะวิดีโอคอนเฟอเรนซ์มา"

    "หมายความว่าผมต้องนั่งรอสินะ"

    ไทรอนไม่ได้ตอบอะไรกลับมาอีกขณะที่เดินตรงไปยังแล็ปท็อปบนโต๊ะทำงานนั้น ก่อนจะจัดแจงกรอกรหัสเพื่อเปิดแล็ปท็อปให้กับเขา ความมือเบาเหนือมนุษย์ของอีกฝ่ายทำให้เขาแทบไม่ได้ยินเสียงกดแป้นพิมพ์ ชั่วขณะนั้น ภายในห้องเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงคอมเพรสเซอร์ของเครื่องปรับอากาศ

    ก่อนที่เสียงเรียบนิ่งของไทรอนจะดังแหวกขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    "จะว่าไป...นายคิดยังไงกับแดนเนลเหรอเจย์เดน?"

    คนถูกถามชะงักงันไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองมายังเขาอย่างรอคอยคำตอบ

    "เขาก็...เอ่อ...เจ๋งดี"

    เจย์เดนนึกขอบคุณตัวเองที่ไม่เผลอหลุดพูดคำว่า 'น่ารัก' หรือ 'เหมือนกระต่าย' ออกไป เพราะเมื่อมานึกดูให้ดีแล้ว เขาคิดว่าแดนเนลคงไม่ชอบใจกับคำจำกัดความพวกนี้สักเท่าไหร่นัก

    "อันที่จริงตอนที่รู้ว่าคุณไม่ชอบเรื่องผิดกฎหมาย ผมคิดว่าคุณจะไม่ชอบเขา" ไทรอนว่า "ตอนแรกผมกังวลพอสมควรเลยล่ะว่าการมาของคุณจะสร้างความยุ่งยากให้กับเรา ผมเลยแปลกใจอยู่หน่อย ๆ ที่ตอนนี้คุณดูจะเข้ากับเขาได้ดีทีเดียว"

    "ผมไม่ได้ไม่ชอบเขาเสียหน่อย" เจ้าหน้าที่เอฟบีไอแก้ต่างให้กับตัวเอง "ถ้าคุณคิดว่าการที่ผมชอบขัดวิธีการของเขาหมายความว่าผมไม่ชอบเขาล่ะก็นะ"

    "ไม่ใช่อย่างนั้น ไม่ชอบที่ผมหมายถึงน่ะคือการที่คุณตั้งแง่ใส่เขาต่างหาก"

    "มันชัดเจนขนาดนั้นเลยเหรอ?"

    "ก็ชัดมากจนผมดูออกแล้วกัน" อีกฝ่ายเอ่ย "แต่หลัง ๆ มานี้เหมือนคุณจะเริ่มยอมรับเขามากขึ้น"

    "คงเป็นเพราะผมเริ่มสนใจเขาล่ะมั้ง" เจย์เดนยอมรับอย่างตรงไปตรงมา "ก่อนหน้านี้ผมเคยคิดว่าการทำงานกับเขามันยาก แต่เอาเข้าจริงแล้วมันก็ไม่ได้ขนาดนั้น"

    "ถึงเขาจะรั้นไปหน่อยแต่ก็ไม่ใช่คนแย่อะไรใช่ไหมล่ะ จริง ๆ แล้วเขาน่ะค่อนข้างน่ารักทีเดียวนะ โอ๊ะ--" ไทรอนที่กำลังพูดถึงแดนเนลอยู่นั้นถูกขัดจังหวะด้วยเสียงแจ้งเตือนจากโปรแกรมวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ก่อนที่เจ้าตัวจะหันไปให้ความสนใจกับการตั้งค่าโปรแกรมดังกล่าวให้พร้อมใช้งาน "จอห์นนี่มาแล้วล่ะ"

    ทว่าเจย์เดนยังคงไม่หลุดออกจากบทสนทนาเมื่อครู่นี้ เขาเห็นด้วยอย่างยิ่งกับไทรอนว่าแดนเนลเป็นคนน่ารัก

    และต่อให้นับรวมเรื่องที่อีกฝ่ายเป็นคนดื้อรั้นเข้าไป เจย์เดนก็คิดว่าแดนเนลยังคงน่ารักอยู่ดี

    "ไง"

    ใบหน้าของจอห์นนี่ปรากฎขึ้นบนจอของแล็ปท็อปทันทีที่ไทรอนคลิกปุ่มตอบรับ ชายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าทีมภารกิจของซีไอเอที่ปกติมักจะแต่งกายสบาย ๆ บัดนี้อยู่ในชุดสูทสุภาพเรียบร้อย และมันก็ส่งเสริมให้เจ้าตัวดูภูมิฐานขึ้นมากกว่าปกติอีกหลายเท่าตัว

    "ไทรอนบอกว่าคุณอยากพบผม" เจย์เดนก้าวไปหยุดอยู่ตรงหน้าแล็ปท็อปเครื่องนั้น "คงไม่ใช่เพราะรอรายงานประจำวันจากผมอย่างเดียวใช่ไหม?"

    "ใช่" จอห์นนี่ยอมรับ "งั้นเข้าเรื่องเลยแล้วกันนะ ผมเพิ่งได้รับข่าวกรองล่าสุดมาว่าริชาร์ดมีแผนจะขายรายชื่อสายลับที่อยู่ในบันทึกทางการทหารของกระทรวงกลาโหม"

    "เรื่องนี้เกี่ยวกับที่คุณถูกเรียกตัวไปประชุมด่วนใช่ไหม?"

    "ใช่ กระทรวงกลาโหมต้องการข้อมูลของตัวเองคืนอย่างเร่งด่วนที่สุด และในฐานะที่ผมเป็นผู้ดูแลทีมภารกิจสืบสวนและแกะรอยการโจมตีทางไซเบอร์ ผมจึงจำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมแผนการในครั้งนี้ด้วย"

    "แล้วกระทรวงกลาโหมคิดที่จะซื้อ...หรือคิดที่จะชิงมันกลับมากัน"

    "คุณคิดว่าพวกเขาจะซื้องั้นเหรอ?" จอห์นนี่ย้อนถามก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ "ไม่มีทางหรอกน่า คุณคิดว่าภาพลักษณ์ของกระทรวงกลาโหมจะยังอยู่ดีอีกเหรอหากมีข่าวแพร่ออกไปว่าพวกเขาต้องตามซื้อข้อมูลของตัวเองที่ถูกขโมยไปกลับคืนมาน่ะ"

    "ถ้าอย่างนั้นมันก็แปลว่าคุณรู้ที่อยู่ของริชาร์ดแล้วงั้นสิ"

    "ยังหรอก แต่เป้าหมายของการประชุมนี้คือหาทางชิงข้อมูลกลับมาให้ได้ เพราะงั้นจุดสำคัญไม่ใช่ที่อยู่ของริชาร์ดอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นที่อยู่ของข้อมูลและคนที่เปิดหน้านำมันออกมาเร่ขายต่างหาก"

    "ข่าวกรองที่คุณได้รับมาน่ะเชื่อถือได้แค่ไหน"

    "ก็เชื่อถือขนาดที่ทำให้ผมโดนเรียกประชุมด่วนได้ คุณคิดว่าไงล่ะ? เรื่องขายข้อมูลน่ะจะเร็วจะช้ายังไงมันก็ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว ที่เราไม่รู้คือมันจะชำแหละข้อมูลออกเป็นส่วน ๆ แล้วกระจายขายให้กับพวกก่อการร้ายทีละกลุ่ม หรือจะขายยกก้อนแล้วปล่อยให้พวกก่อการร้ายไปรุมแร้งทึ้งกันเอาเองกันแน่ แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็เป็นฝันร้ายสำหรับเราทั้งหมดนั่นแหละ"

    "ในเมื่อริชาร์ดยังซ่อนตัวอยู่ แล้วข่าวนี้หลุดออกมาได้ยังไงกัน"

    "มันไม่ได้หลุด" จอห์นนี่ตอบ "แต่มันถูกปล่อยออกมาอย่างตั้งใจ ให้ทั้งฝ่ายเราและฝ่ายอื่นรู้ หากครั้งนี้เราชิงข้อมูลกลับมาไม่ได้ เราคงต้องกลายเป็นหนึ่งในลูกค้า และก็อาจจะโดนชาร์จราคาสูงกว่าคนอื่น ๆ"

    "ถ้าอย่างนั้น...แดนเนลจะเข้าร่วมภารกิจนี้ด้วยหรือเปล่า? คุณจะส่งเขาไปไหม?"

    "นั่นมันอยู่นอกเหนือการตัดสินใจของผม" จอห์นนี่ว่า ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบา ๆ "ใจจริงผมไม่อยากผลักให้เขาไปยืนในที่แจ้งขนาดนั้น มันอันตรายเกินไปสำหรับเขา แต่ถ้าระดับบริหารสั่งมาผมก็คงค้านอะไรไม่ได้"

    "แปลว่ามีโอกาสสูงงั้นสินะ"

    "อันที่จริงผมแค่อยากให้คุณรับรู้สถานการณ์ในตอนนี้เอาไว้ ผมคิดว่ายังไงทางกองทัพก็คงอยากจะชิงข้อมูลกลับมาด้วยตัวเอง และถ้าหากแดนเนลต้องเข้าร่วมจริง ๆ เขาจะตกอยู่ในความดูแลของกองทัพทันที" จอห์นนี่พูด "ถึงตอนนั้นภารกิจของคุณจะถือว่าสิ้นสุด เพราะทางกองทัพคงไม่ยินดีให้เอฟบีไอเข้าไปยุ่มย่ามกับพื้นที่ของตัวเองสักเท่าไหร่"

    "ไม่ใช่ว่าคุณเรียกผมมาเพราะต้องการให้ผมจับริชาร์ดหรอกเหรอ?" เจย์เดนย้อนถามอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ "ผมมาด้วยเหตุผลนี้นะ"

    "สถานการณ์เปลี่ยน ภารกิจย่อมเปลี่ยนตามนะคุณเจ้าหน้าที่ สำหรับเบื้องบนการตามจับริชาร์ดถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่ข้อมูลทางการทหารที่มีชื่อสายลับสำคัญกว่า ยังไงก็แล้วแต่ จนกว่าจะมีคำสั่งใหม่ หน้าที่ของคุณคือจับตาดูแดนเนลไว้ให้ดี" จอห์นนี่เอ่ยย้ำคำสั่ง "เขาชอบหาเรื่องใส่ตัว โดยเฉพาะตอนที่ผมไม่อยู่"





    แดนเนลไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเอง ตอนที่เจย์เดนกลับออกมาจากห้องทำงานของจอห์นนี่

    "ถ้าหาแดนเนลอยู่ หมอนั่นเลิกงานและกลับห้องไปแล้วล่ะ" หนึ่งในเจ้าหน้าที่ซีไอเอที่ยังนั่งทำงานอยู่เป็นคนบอก หลังจากที่เห็นเขาเอาแต่หันซ้ายมองขวาไปรอบ ๆ ห้องเพื่อหาตัวผู้เป็นเจ้าของโต๊ะอันว่างเปล่า "การที่คุณพาเขาออกไปตะลอนข้างนอกคงทำให้เขาหมดแรงพอดู ปกติแล้วเขาไม่เลิกงานไวขนาดนี้หรอก"

    "นายว่าเขาดูเครียด ๆ หรือเปล่า" เจ้าหน้าที่ซีไอเออีกคนที่อยู่ในห้องหันมาร่วมวงสนทนา "เมื่อกี้ตอนฉันลงไปหาอะไรกินที่ครัว ฉันเห็นเขาเดินหอบไวน์สวนขึ้นมาด้วย"

    "ถ้างั้นก็คงเครียดจริงนั่นแหละ ปกติฉันไม่ค่อยเห็นเขาดื่มเท่าไหร่ ครั้งล่าสุดคงเป็นวันครบรอบของธีออนล่ะมั้ง"

    "นี่เขายังไม่เลิกโทษตัวเองอีกสินะ"

    "ลองถ้าเป็นนายดูล่ะ ถ้าเจอแบบเขานายจะเลิกโทษตัวเองได้ไหม?"

    สิ้นคำถามนั้น เจ้าหน้าที่ซีไอเอทั้งสองก็มองหน้าและถอนหายใจออกมาพร้อมกัน

    เจย์เดนสังเกตเห็นว่าประตูระเบียงห้องถูกเปิดแง้มเอาไว้เล็กน้อยหลังจากที่เขาก้าวเข้ามาในห้องพัก มันทำให้อุณหภูมิภายในห้องต่ำกว่าโถงทางเดินของบ้านนิดหน่อย แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้อากาศในห้องปลอดโปร่งขึ้นด้วย

    แดนเนลยืนอยู่ตรงระเบียงนอกห้อง ร่างผอมโปร่งในเสื้อฮู้ดแขนยาวห่อไหล่สู้กับอุณหภูมิหลักสิบต้น ๆ แก้วทรงสูงที่อยู่ในมือของเจ้าตัวนั้นมีเครื่องดื่มสีแดงสว่างบรรจุอยู่ ดวงตากลมนั้นมองเหม่อออกไปด้านนอกอย่างไร้จุดหมาย

    อีกฝ่ายไม่ได้หันมามองเลยสักนิด ยามที่เขาเปิดประตูระเบียงแล้วก้าวออกไปยืนข้าง ๆ

    "ไม่ยักรู้ว่าคุณชอบดื่ม" ท่ามกลางความเงียบ ในที่สุดเขาก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นก่อน "ขอโทษที่ทำให้คุณอดไปดื่มกับโยนาธาน เขาตั้งใจชวนคุณจริง ๆ นะ เมื่อตอนเย็นน่ะ"

    "ไม่หรอก อันที่จริงผมก็ไม่ได้คิดจะไปดื่มกับเขาอยู่แล้ว ไม่ใช่ในคืนนี้" แดนเนลเอ่ย ก่อนที่เจ้าตัวจะหันมามองหน้าเขาและยื่นแก้วไวน์ในมือมาให้ "สักหน่อยไหม?"

    "ขอบคุณ" เขารับน้ำใจจากอีกฝ่ายมาลองจิบดู รสชาติหวานหอมที่แฝงไปด้วยความฝาดเฝื่อนบางเบาคลุ้งไปทั่วทั้งปาก ก่อนที่มันจะทิ้งรสสัมผัสนุ่มนวลเอาไว้ในตอนท้าย "แมร์โล?"

    เจย์เดนลองเดาสายพันธุ์ขององุ่นที่ถูกใช้ทำไวน์ในแก้วนี้อย่างนึกสนุก ก่อนที่แดนเนลจะพยักหน้ารับเบา ๆ

    "อืม...มาสเซโต้ปีสองพันเจ็ดน่ะ"

    "โห...ของดีนะเนี่ย"

    "ใช่ไหมล่ะ" แดนเนลว่า "ถ้าเจอเจ้าของบ้านเดี๋ยวบอกเขาให้ว่าคุณชอบ"

    "นี่คุณแอบเอาไวน์คนอื่นมาเปิดดื่มเหรอ?"

    "ไม่โดนจับหรอกน่า" อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ยี่หระ "หรือต่อให้โดนจับจริง ๆ อย่างน้อยผมก็มีคุณโดนด้วยเป็นเพื่อนแล้วหนึ่ง"

    "ให้ตายเถอะ คุณนี่นะ"

    "มันเป็นไวน์ที่ใช้รับรองพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงน่ะ หายไปสักขวดขนหน้าแข้งของกระทรวงกลาโหมไม่ร่วงหรอก"

    "ผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักหน่อย"

    "ก็ดี" อีกฝ่ายยกยิ้มเจ้าเล่ห์ "เพราะผมไม่ได้หยิบมันมาแค่ขวดเดียว ทีนี้ผมขอแก้วผมคืน และถ้าคุณอยากดื่มต่อ ในห้องมีแก้วเปล่าอีกใบ"

    เจย์เดนหัวเราะในความแสบสันของคนตรงหน้าก่อนจะส่งแก้วในมือคืนกลับไปให้

    มีแก้วเปล่าอีกใบอยู่ในห้องตามที่อีกฝ่ายบอกจริง ๆ มันวางอยู่บนโต๊ะกลางโซฟา ข้างกันนั้นมีถังแช่ไวน์ที่มีขวดไวน์นอนอยู่ด้านในถึงสามขวด

    ไม่ได้หยิบมาแค่ขวดเดียวจริงด้วย...

    ร่างสูงยิ้มขัน ก่อนจะหยิบแก้วเปล่านั้นขึ้นมา และคว้าเอาไวน์ขวดที่ถูกเปิดแล้วติดมือออกไปยังนอกระเบียงด้วย

    "เติมหน่อยไหม?"

    เจย์เดนที่รินไวน์ใส่แก้วของตัวเองเสร็จเรียบร้อยเอ่ยถามคนข้างกาย ก่อนจะยื่นขวดไวน์ในมือไปให้ หลังจากสังเกตเห็นว่าแก้วในมือของอีกฝ่ายนั้นว่างเปล่า

    แดนเนลไม่ได้เอ่ยตอบอะไร ทว่าแก้วในมือของเจ้าตัวกลับค่อย ๆ โน้มเอียงมาหา เจย์เดนยิ้ม ก่อนจะรินไวน์ให้อีกฝ่ายอย่างเต็มใจ

    "ตอนเด็ก ๆ ผมชอบออกมานอนดูดาวที่สนามหญ้าหน้าบ้าน แล้วก็เอาแต่มองหาดาวตก เพื่อจะได้ขอพร" แดนเนลที่ยกไวน์ขึ้นจิบเอ่ย ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่มีพระจันทร์กลมโตลอยเด่นอยู่ด้านบน "น่าเสียดายคืนนี้พระจันทร์สว่างเกินไป"

    "ถ้าเกิดว่าคืนนี้มีดาวตก คุณจะขออะไรงั้นเหรอ?"

    "ถ้าหลุดปากบอกพรที่ขอให้คนอื่นรู้มันก็ไม่เป็นจริงสิคุณ แต่เอาเถอะ ยังไงสิ่งที่ผมขอมันไม่มีทางเป็นจริงได้อยู่แล้ว" แดนเนลเลื่อนสายตามามองหน้าเขา รอยยิ้มบางเบาที่ประดับอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่ายนั้นชวนให้รู้สึกเศร้าอย่างน่าประหลาด "ผมขอให้เวลาย้อนกลับไป"

    "เพื่อเปลี่ยนแปลงอดีตเหรอ?"

    "คุณเคยฆ่าคนไหมเจย์เดน?" แดนเนลเลี่ยงคำถามของเขาด้วยการเปลี่ยนเรื่องคุย "เคยเป็นสาเหตุที่ทำให้คนอื่นต้องมาตายหรือเปล่า?"

    "ไม่เคย" เจย์เดนตอบ "เขารอดมาได้ แต่ก็กลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต"

    "ผมเคย" แดนเนลยิ้มหยันให้กับตัวเอง "แล้วคุณเคยนึกเสียใจบ้างหรือเปล่าที่คน ๆ นั้นต้องมาพิการด้วยน้ำมือคุณ"

    "ถ้าผมตอบว่าไม่ผมจะกลายเป็นคนอำมหิตในสายตาคุณไหม ผมไม่ได้รู้สึกดี แต่ก็ไม่ได้เสียใจ เพราะถ้าวันนั้นผมไม่ยิงเขา เขาก็คงยิงคู่หูของผม เทย์เลอร์น่ะ"

    "ไม่หรอก ผมเข้าใจ เป็นผมผมก็เลือกคู่หู" แดนเนลว่า "แล้วถ้าสถานการณ์เปลี่ยนเป็นคุณไม่ได้ยิงเขา จนทำให้เขายิงคู่หูของคุณเสียชีวิต คุณจะอยากย้อนเวลากลับไปเพื่อเปลี่ยนแปลงอดีตไหม?"

    "..."

    "คำตอบของผมคือใช่ ผมอยากย้อนเวลากลับไปเพื่อแก้ไขสิ่งที่ผมเลือกตัดสินใจ"

    แดนเนลเงยหน้าขี้นมองท้องฟ้า แสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาทำให้เจย์เดนสังเกตเห็นว่าแก้มทั้งสองและปลายจมูกของอีกฝ่ายนั้นเจือสีแดงเรื่อ และเจย์เดนก็แยกแยะไม่ออกว่ามันเป็นเพราะพิษแอลกอฮอล์ หรือเป็นเพราะว่าอีกฝ่ายกำลังจะร้องไห้กันแน่

    "ผมรู้ว่าคุณเสียใจ" เจย์เดนเอ่ย "แต่มันไม่ใช่ความผิดของคุณ ถ้าคุณรู้ว่าเรื่องมันจะกลายเป็นแบบนี้คุณก็คงไม่ตัดสินใจแบบนั้น ใช่ไหมล่ะ? เพราะงั้นอย่าโทษตัวเองอีกเลย"

    "นี่มันไม่ใช่สิ่งที่คุณจะตัดสินได้" แดนเนลหันมาสบตากับเขา "เพราะคนที่ตัดสินได้มีเพียงแค่ผม"

    "คุณเริ่มก่อกำแพงกั้นผมอีกแล้ว"

    "ในเมื่อคุณรู้แล้วทำไมถึงยังดึงดันจะเข้ามานักล่ะ"

    "ไม่รู้สิ" เจย์เดนไหวไหล่เล็กน้อย ก่อนจะขยับกายเข้าไปใกล้คนตรงหน้า "อาจเพราะผมรู้สึกดีกับคุณ ในเมื่อคุณรู้แล้วถ้าอย่างนั้นก็ช่วยอนุญาตได้ไหม?"

    "เอาสิ"

    แดนเนลตอบรับคำขอนั้นด้วยการเลื่อนใบหน้าเข้ามาหาเขาทีละนิด กระทั่งสายตาของคนทั้งคู่สบประสานกันอีกครั้ง

    เขาสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่น ๆ ชวนจั้กจี้ของอีกฝ่ายที่ไล้อยู่ข้างกรอบหน้า ก่อนที่ริมฝีปากของพวกเขาสองคนจะทาบทับและเริ่มบดเบียดกันในวินาทีถัดมา

    เจย์เดนรวบแก้วที่ว่างเปล่าและขวดไวน์มาถือไว้ด้วยมือเดียว ก่อนจะเลื่อนมือข้างที่ว่างขึ้นประคองท้ายทอยของอีกฝ่ายเอาไว้ ขณะเดียวกันก็ใช้ท่อนแขนแกร่งของตนโอบร่างของคนตรงหน้าให้เข้ามาแนบกายยิ่งขึ้น

    แดนเนลเอื้อมมือขึ้นมาโอบรอบคอของเขา ก่อนจะค่อย ๆ เปิดริมฝีปากให้เขาสอดลิ้นเข้าไป ลิ้นเรียวของพวกเขาหยอกล้อกันอยู่อย่างนั้นพักใหญ่

    ก่อนที่เจย์เดนจะรู้สึกเจ็บจี๊ดที่ลาดบ่าอย่างฉับพลัน

    ริมฝีปากที่บดเบียดกันอยู่เมื่อครู่นั้นผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เมื่อพบว่ามีเข็มฉีดยาแท่งเล็ก ๆ ปักอยู่ที่ตรงนั้น

    "คุณ..."

    ร่างกายของเขาสูญเสียเรี่ยวแรงอย่างฉับพลัน แดนเนลรีบเอื้อมมือมารับแก้วและขวดไวน์ในมือเขาเพื่อไม่ให้มันร่วงหล่นลงพื้นจนเกิดเสียง ก่อนที่จะใช้แขนโอบรับร่างกายของเขาเอาไว้

    "ผมขอโทษนะเจย์เดน แต่ผมว่าตอนนี้คุณควรพักผ่อน"

    นั่นเป็นคำพูดสุดท้ายที่เขาได้ยินจากปากของแดนเนล ก่อนที่สติสัมปชัญญะของเขาจะหมดลง





    [tbc.]
    ศัพท์เทคนิคในตอนนี้ in a nutshell
    - Social Engineering คือหนึ่งในเทคนิคการหลอกลวงทางจิตวิทยาเพื่อผลประโยชน์ โดยอาศัยจุดอ่อน ความไม่รู้ หรือความประมาทเลินเล่อของคนที่เป็นเหยื่อ มีหลายวิธีไม่ว่าจะเป็นการโทรศัพท์หลอกให้ช่วยโอนเงินให้ การสร้างเว็บไซต์หรืออีเมลปลอมเพื่อเก็บข้อมูลทางธนาคาร(Phishing) การแจกจ่ายโปรแกรมฟรีแล้วแถมมัลแวร์หรือสปายแวร์มาให้ด้วย เป็นต้น
    - Mulware คือคำที่ใช้เรียกซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ถูกสร้างขึ้นมาสร้างความเสียหายให้กับคอมพิวเตอร์ มีมากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นไวรัส เวิร์ม โทรจันฮอร์ส สปายแวร์ แรนซัมแวร์ ฯลฯ
    - Spyware คือมัลแวร์ประเภทหนึ่งที่ถูกสร้างมาเพื่อสอดส่องและดักเก็บข้อมูลของผู้ใช้
    ***หากมีข้อมูลที่ผิดพลาดประการใดก็สามารถบอกเรามาได้เลยนะ เราจะรีบทำการปรับแก้ให้อย่างเร็วที่สุดค่ะ***

    ________________________________________

    คนที่อำมหิตไม่ใช่นายหรอกเจย์เดน
    แต่เป็นเราเอง ฮื่ออออออออออ
    ขอโทษนะนายยย ไว้จูบครั้งหน้าจะชดใช้ให้อย่างสาสม

    สำหรับตอนนี้บอกได้ประโยคเดียวว่า อย่าไว้ใจกระต่าย หึ___หึ
    แล้วเจอกันตอนหน้านะคะ
    ขอบคุณทุกคนที่ยังไม่ลืมฟิคเราค่ะะะ TT^TT
    #ฟิควรบจด

    how to comment ใน minimore

    Note : ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปิน สถานที่ และเหตุการณ์ใดๆ และไม่ได้มีเจตนาใด ๆ จะทำให้ศิลปินเสื่อมเสียทั้งสิ้น
    Note 2 : เปลี่ยนจุดที่เจย์เดนโดนปักเข็มจากท้ายทอยเป็นลาดบ่าค่ะ กลัวโดนปักท้ายทอยแล้วจะพิการเอา ;w;)

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Gift N. T. (@giftnt1402)
เรามาช้ามาก... ไปย้อนอ่านใหม่ตั้งแต่ต้นมาเพื่อความเป๊ะค่ะ โห แต่ตอนนี้นะคะ มันแบบว่าาาาา

ไม่รู้จะบรรยายออกมายังไง แต่บทสนทนาเฉียบคมเสมอเลยค่ะ มันดูสมวัยกับคาแรคเตอร์ของแต่ละตัวละครมาก แต่ละคนดูมีลีลาการถาม-ตอบ มีการสงวนท่าที มันเลยดูสมจริง เป็นธรรมชาติ แต่อินเนอร์ก็อีกเรื่อง ฮ่าๆ แอบเอ็นดูเจย์เดนนะคะ แดนเนลน่ารัก เหมือนกระต่ายเนอะ ถึงจะดื้อก็ยังน่ารักเนอะ ไทรอนพูดไม่ผิดเลยเนอะ แหม

แล้วฉากไวน์นะคะ มันฟด่สงงลงงาด้สยว นายเจย์เดนแย้บไปได้ชวนเขินดี แล้วตกใจที่แดนเนลตอบรับ เรื่องไม่ได้ดำเนินจากมุมมองแดนเนลเลยคาใจมาตลอดว่าแดนเนลสังเกตหรือรู้ตัวบ้างมั้ย พอแดนเนลเล่นด้วยก็เลยตกใจ เอาจริงดิๆๆๆๆๆ แล้วก็นั่นล่ะค่ะ เขามีแผน สมแล้ว! เป็นห่วงแดนเนลมากเลยค่ะ... (ได้ข่าวว่าเจย์เดนโดนยา ฮ่าๆ เป็นห่วงเหมือนกัน แต่แดนเนลจะไปทำอะไรเสี่ยงอีกไง เฮ้อ)

รอชมเรื่องแคชมีนะคะ แล้วเรื่องปมแดนเนลกับธีออนด้วย ชอบตอนแดนเนลกับเจย์เดนคุยกันเรื่องความรู้สึกผิดมากเลยค่ะ