เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
wild rabbit #jaedohbrxnct
Chapter 24 : Real face





  • การเสาะหาทั้งข้อสันนิษฐานและข้อแก้ต่างให้กับโทนี่ อัน นั้น เริ่มต้นขึ้นทันทีเมื่อสถาบันนิติเวชวิทยาเปิดทำการ ข้อมูลดีเอ็นเอที่ได้จากเศษผิวหนังในซอกเล็บของเชสเตอร์ถูกเพิ่มเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลของเอฟบีไออย่างตรงเวลา ทว่าน่าเสียดายที่มันไม่ได้เพิ่มความกระจ่างชัดใด ๆ ให้กับบรรดาเจ้าหน้าที่สืบสวนเลยแม้แต่น้อย กลับกันด้วยซ้ำ มันยิ่งทำให้ทุกอย่างทวีความตึงเครียดมากขึ้นไปกว่าเดิม เมื่อพวกเขาต่างค้นพบว่าผลดีเอ็นเอดังกล่าวนั้นไม่มีข้อมูลดีเอ็นเอใดในฐานข้อมูลประวัติอาชญากรของเอฟบีไอที่เข้าคู่กันเลย

    ผลลัพธ์ที่ว่างเปล่าคล้ายจะทำให้ข้อเท็จจริงบางอย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพราะนั่นหมายความว่าผู้ต้องสงสัยในคดีนี้จะต้องเป็นคนที่ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรมมาก่อน แน่นอนว่าถ้าหากใช้ข้อกำหนดดังกล่าวและคำบอกเล่าจากการสอบปากคำของบรรดาผู้คนรอบข้างเป็นเกณฑ์แล้วล่ะก็ ชื่อโทนี่ อัน คงกลายเป็นชื่อของผู้ต้องสงสัยอันดับหนึ่งในทันที

    แต่การที่จะสามารถชี้ชัดได้ว่าใครคือผู้กระทำการก่อเหตุนั้นมีรายละเอียดอื่นที่ซับซ้อนกว่านี้อีกเยอะมาก และเพียงแค่ข้อสันนิษฐานดังกล่าวเองนั้นก็ไม่แน่นหนามากพอที่จะทำให้สำนวนการสอบสวนของพวกเขาเป็นรูปเป็นร่าง เชื่อได้เลยว่ามันจะต้องถูกอัยการปัดทิ้งออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่แม้แต่จะได้รับโอกาสให้นำไปยื่นต่อศาลเสียด้วยซ้ำ

    ดังนั้นพวกเขาจึงจำเป็นต้องค้นหาหลักฐานเพิ่มเติม และหนึ่งในนั้นคือการนำผลดีเอ็นเอดังกล่าวไปเปรียบเทียบกับผลดีเอ็นเอของเชสเตอร์ที่มีอยู่ในฐานข้อมูลตั้งแต่ตอนที่เขาถูกจับกุมเมื่อหลายปีก่อน เพราะถ้าหากว่าดีเอ็นเอปริศนานั้นเป็นดีเอ็นเอของโทนี่จริง นั่นหมายความว่ามันจะต้องมีบางส่วนที่คล้ายคลึงกันกับของเชสเตอร์ที่เป็นญาติสนิท

    และการทำเช่นนั้นก็ยิ่งทำให้ทีมสืบสวนเจอกับทางตัน เมื่อพวกเขาพบว่าผลดีเอ็นเอทั้งสองนั้นไม่มีความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมกันเลยแม้แต่น้อย

    "หรือว่าคนร้ายจะไม่ใช่โทนี่กัน"

    เป็นโลแกนที่เอ่ยขึ้นมาท่ามกลางความเงียบงัน พวกเขาต่างรู้ดีว่าผลลัพธ์ที่ได้จากการสืบหาและวิเคราะห์ข้อมูลดีเอ็นเอนั้นไม่มีทางผิดพลาด เพราะถ้าหากว่ามันผิดพลาดขึ้นมาจริง ๆ นั่นหมายความว่าคดีความอื่น ๆ นับหมื่นนับแสนคดีที่เคยใช้โปรแกรมวิเคราะห์ดีเอ็นเอโปรแกรมเดียวกันนี้ก็ต้องผิดพลาดไปด้วย

    "หรือไม่ดีเอ็นเอนั้นไม่ใช่ของโทนี่" เจย์เดนว่า "อาจมีใครคนอื่นอีกคนที่สู้กับเชสเตอร์ก็ได้นะ"

    "ถ้าอย่างนั้นเชสเตอร์สู้กับใครก่อนที่เขาจะตายกันแน่" โลแกนมุ่นคิ้วขณะขบคิดอะไรบางอย่าง "คุณว่ามันเป็นไปได้ไหมที่จะมีคนร้ายมากกว่าหนึ่งคน"

    "มันก็มีโอกาสมากอยู่" เจย์เดนตอบ ก่อนจะหันไปถามความเห็นจากเจ้าของร่างผอมโปร่งที่ยืนอยู่ข้างกาย "แล้วคุณล่ะคิดว่าไงบ้าง?"

    "ทำไมต้องผม?"

    แดนเนลหันขวับไปถลึงตาใส่คนที่โยนคำถามมาให้อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เพราะตัวเขาเองนั้นค่อนข้างพึงพอใจกับการอยู่เงียบ ๆ แล้วคอยฟังคนอื่นพูดเสียมากกว่า และเขาก็คิดว่าเจย์เดนรู้เรื่องนี้ดี แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายก็ยังจะฉุดให้เขาเข้าไปมีส่วนร่วมกับการสนทนาหารือในครั้งนี้

    "ก็เผื่อว่าคุณมีความเห็นอื่นที่น่าสนใจไง" อีกฝ่ายยิ้มรับสายตาที่เต็มไปด้วยความหงุดหงิดของเขาก่อนจะเอ่ยต่อ "ผมอยากฟังนะ ความเห็นของคุณกับคดีนี้น่ะ รวมถึงความเห็นของคุณกับเรื่องอื่น ๆ ด้วย"

    "ผมไม่มีความเห็นอะไรมากนักหรอก" แดนเนลว่า "แต่พวกคุณเหมือนจะลืมความเป็นไปได้อีกข้อหนึ่งนะ"

    "อะไรล่ะ?"

    วินเซนต์ที่เงียบฟังอยู่นานเอ่ยถามขึ้น

    "ภรรยาของเชสเตอร์อาจจะโกหกเรื่องที่ทั้งสองคนนี้เป็นญาติกันก็ได้"

    สิ่งที่แดนเนลพูดนั้นทำให้ทุกคนนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

    หากคนร้ายเป็นโทนี่ ก็แปลว่าเขาและเชสเตอร์นั้นไม่ใช่ญาติกันตามที่ภรรยาของเชสเตอร์กล่าวอ้าง หรือไม่อย่างนั้นแล้ว...คนร้ายก็ไม่ใช่โทนี่จริง ๆ

    แน่นอนว่าพวกเขาย่อมไม่ยอมปล่อยให้ทุกความเป็นไปได้หลุดรอดออกไปจากสายตา พวกเขาจึงตัดสินใจใช้เวลาตลอดช่วงเช้าของวันไปกับการขุดคุ้ยหาประวัติของเชสเตอร์และโทนี่ ก่อนที่พวกเขาจะพบว่าภรรยาของเชสเตอร์นั้นไม่ได้พูดโกหกหรือจงใจบิดเบือนความจริงแต่อย่างใด เพราะทั้งสองคนเป็นญาติสนิทกันอย่างที่หล่อนให้ข้อมูลมาจริง ๆ

    ทว่าสิ่งที่หล่อนรับรู้มาต่างหากที่ไม่ได้ถูกต้องไปเสียทั้งหมด

    โทนี่คือเด็กที่ถูกครอบครัวอันรับอุปการะมาเลี้ยงตั้งแต่ยังแบเบาะ ซึ่งครอบครัวที่ยื่นเรื่องขออุปการะไปนั้นคือครอบครัวพี่ชายแท้ ๆ ของพ่อเชสเตอร์ ด้วยความสัมพันธ์ดังกล่าวนั้นเองที่ทำให้เด็กชายวัยไล่เลี่ยทั้งสองคนถูกเลี้ยงดูมาด้วยกัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยสักนิดหากทั้งคู่จะกลายมาเป็นทั้งญาติสนิทและเพื่อนสนิทของกันและกันจวบจนเติบใหญ่

    ความจริงดังกล่าวที่เพิ่งถูกค้นพบนั้นทำให้โทนี่ไม่อาจหลุดออกจากการเป็นผู้ต้องสงสัยได้โดยง่าย จนกว่าเจ้าหน้าที่สืบสวนจะได้รับการยืนยันจากผลดีเอ็นเอของตัวโทนี่เอง ซึ่งก็ไม่รู้อีกเช่นกันว่ามันจะช่วยปลดปล่อยให้เจ้าตัวเป็นอิสระจากข้อสงสัยทั้งหมด หรือจะยิ่งผูกมัดเอาไว้อย่างแน่นหนามากขึ้นไปกว่าเดิมอีกกันแน่





    แดนเนลสัมผัสได้ถึงแรงสั่นเบา ๆ จากโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของตน ยามที่เขากำลังก้าวเข้าร้านแฮมเบอเกอร์แห่งหนึ่งในย่านเวสต์วูดวิลเลจ

    เพราะเจ้าหน้าที่จากเอฟบีไอทั้งสามคนได้ร่วมลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่ามาทานมื้อกลางวันที่นี่น่าจะไวที่สุด เขาซึ่งไม่ใช่คนพื้นที่จึงได้แต่เออออและเดินตามคนเหล่านั้นมาโดยไม่คิดขัดข้องอะไร

    บรรยากาศภายในร้านแห่งนี้ไม่ได้ต่างไปจากร้านฟาสต์ฟู้ดร้านอื่นมากนัก แดนเนลลดความเร็วฝีเท้าของตนลงเล็กน้อยและปล่อยให้คนอื่น ๆ เดินล้ำหน้าไปนิดหน่อย ขณะคว้าโทรศัพท์มือถือของตนออกมาเช็คดู และค้นพบว่าต้นเหตุของแรงสั่นดังกล่าวนั้นมาจากการแจ้งเตือนจากอีเมลที่เขาได้ตั้งค่าเอาไว้

    มันคืออีเมลจากแคชมีที่เขาเฝ้ารอมาตั้งแต่เมื่อคืน

    ร่างผอมโปร่งพยายามเก็บซ่อนความรู้สึกตื่นเต้นของตนขณะที่เก็บโทรศัพท์มือถือกลับไปในกระเป๋ากางเกงตามเดิม แล้วรีบก้าวเท้ายาวขึ้นเพื่อให้ตามทันเจย์เดนที่กำลังคุยอยู่กับวินเซนต์เรื่องการรายงานเบื้องบนเกี่ยวกับการแทรกแซงสถานที่เกิดเหตุของเจ้าหน้าที่จากทางซีไอเอ ก่อนหัวข้อสนทนาจะถูกโลแกนเปลี่ยนไปเป็นร้านทาโก้ที่อร่อยที่สุดในแถบนี้

    แดนเนลไม่ได้มีท่าทีกระวนกระวายอยากอ่านอีเมลดังกล่าวมากเท่าตอนที่กำลังรอคอยให้มันถูกส่งเข้ามา ส่วนหนึ่งก็เพราะอีเมลดังกล่าวเป็นอีเมลที่ถูกเข้ารหัสเอาไว้ และชั่วระยะเวลาก้าวเดินจากประตูร้านไปยังเคาน์เตอร์สั่งอาหารนั้นก็ไม่ได้มากพอที่จะทำให้เขาใส่รหัสและเปิดอ่านเนื้อหาทั้งหมดได้ทัน

    และอีกส่วนหนึ่งนั้นก็เป็นเพราะเขาได้รับการยืนยันเรียบร้อยแล้วว่าเขาเลือกขึ้นบันไดถูกขั้น มือของเขานั้นกำลังเอื้อมเข้าไปถึงตัวศัตรูทีละนิด และเขาก็เฝ้ารอเวลานั้นอย่างใจจดใจจ่อ เวลาที่เขาจะได้บดขยี้มันด้วยมือของเขาเอง

    "คุณดูอารมณ์ดีนะ"

    เป็นเจย์เดนที่เอ่ยทักเขาขึ้นมาหลังจากที่ทุกคนได้รับอาหารและมีโต๊ะนั่งเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โต๊ะอาหารที่ถูกชายวัยทำงานถึงสี่คนจับจองนั้นดูเล็กลงไปถนัดตาจนพนักงานของร้านถึงกับอาสาที่จะยกโต๊ะมาต่อเสริมให้

    "ผมเหรอ?" แดนเนลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยด้วยความสงสัย "อะไรทำให้คุณคิดว่าผมอารมณ์ดีล่ะ?"

    "ไม่รู้สิ แต่ตอนนี้คุณไม่ได้ทำหน้าเหมือน..." กระต่ายหงุดหงิด เจย์เดนรู้สึกโชคดีที่ตัวเองกลืนประโยคหลังกลับลงคอของตัวเองได้ทัน "เหมือนทุกทีน่ะ"

    "แล้วทุก ๆ ทีนี่ผมทำหน้าแบบไหนกัน?"

    "ก็แบบที่ไม่ค่อยอยากให้ใครเข้าใกล้เท่าไหร่" เจย์เดนว่า ก่อนจะสบเข้ากับดวงตาของอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมา "แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือน...คุณน่าเข้าใกล้ขึ้นมากกว่าเดิม"

    อีกฝ่ายหลบสายตาหนีก่อนจะส่งเสียงหัวเราะหึในลำคอเบา ๆ

    "คุณรู้สึกไปเองแล้ว"

    "คงงั้นมั้ง" เจย์เดนยอมรับ "บางทีอาจเป็นที่ตัวผมเอง"

    สายตาของเจ้าหน้าที่หนุ่มยังคงจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของกระต่ายป่า แดนเนลยังคงมีระยะห่างอย่างที่เคยมีมาตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอ แม้จะสามารถพูดคุยและหยอกล้อกันได้อย่างคนที่สนิทกันในระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจละลาบละล้วงถึงเรื่องส่วนตัวหรือสิ่งที่เจ้าตัวรู้สึกนึกคิดอยู่ภายในใจได้ กำแพงของแดนเนลยังคงตั้งอยู่เหมือนดิมไม่เปลี่ยน

    แต่เป็นตัวเขาเองที่อยากจะรู้จักอีกฝ่ายมากขึ้น เป็นตัวเขาเองที่อยากจะให้อีกฝ่ายยอมเปิดใจ เป็นตัวเขาเองที่อยากจะดั้นด้นไปยังอีกฟากของกำแพงนั้นทั้งที่รู้ว่าอีกฝ่ายไม่ต้องการที่จะเปิดรับ

    เจย์เดนรู้ ว่าเป็นตัวเขาเองนี่แหละที่เปลี่ยนไป...





    แดนเนลขอปลีกตัวมาเข้าห้องน้ำหลังจากที่เขาจัดการอาหารส่วนของตนเสร็จเรียบร้อย และใช้โอกาสนี้ในการเปิดอีเมลเข้ารหัสที่ได้รับมาจากแคชมีออกอ่าน

    - แบล็คแคท คืนนี้ -

    ไม่มีการเปิดหัวอีเมลว่าเกี่ยวกับเรื่องอะไรและไม่มีลงท้ายว่าผู้ส่งคือใครตามมารยาท แต่แดนเนลรู้ว่านี่คือนัดหมายเวลาและสถานที่

    แบล็คแคท คือชื่อของร้านอาหารกึ่งบาร์แห่งหนึ่งที่เปิดตั้งแต่สี่โมงเย็นจนถึงตีสองในย่านซิลเวอร์เลค และเป็นหนึ่งในสถานที่ที่เหมาะจะนัดพบกับใครบางคนในยามวิกาล

    ข้อมูลผู้ส่งในส่วนเฮดเดอร์ของอีเมลนั้นระบุว่ามาจากเมลเซิฟเวอร์ Anonymous และเลขไอพีของเมลเซิฟเวอร์ดังกล่าวก็เป็นไอพีหลอก ซึ่งหมายความว่าเขาจะไม่สามารถหาเลขไอพีที่แท้จริงของเมลเซิฟเวอร์นี้และติดตามกลับไปยังผู้ที่ส่งมันมาได้ อย่างไรเสียแคชมีก็คือแฮกเกอร์คนหนึ่ง และความระแวดระวังไปจนถึงฝีมือการปกปิดตัวตนของอีกฝ่ายนั้นก็ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นและคาดหวัง

    มันต้องแบบนี้สิ ถึงจะน่าสนุกขึ้นมาหน่อย

    แดนเนลเก็บโทรศัพท์มือถือของตนกลับใส่กระเป๋า เอื้อมมือไปกดชักโครกที่ว่างเปล่าซ้ำสองสามครั้งแล้วออกจากห้องน้ำมาล้างมือที่อ่างล้างหน้า ก่อนจะกลับไปยังโต๊ะอาหารที่มีเจ้าหน้าที่เอฟบีไอสามคนกำลังนั่งพูดคุยกันเรื่องจิปาถะอื่น ๆ ในชีวิตประจำวันที่ไม่เกี่ยวกับคดีฆาตกรรมที่กำลังทำอยู่ แต่กระนั้นบนใบหน้าของทุกคนก็ยังมีคำว่าเคร่งเครียดแปะอยู่กลางหน้าผาก ราวกับทุกคนอยากจะโยนเรื่องคดีของเชสเตอร์ที่น่าปวดหัวทิ้งไปชั่วคราวแต่ก็ไม่อาจทำได้ และมันก็ชวนให้คนที่เห็นอย่างแดนเนลทั้งรู้สึกขบขันและเห็นใจไปในคราเดียวกัน

    ไม่ใช่ว่าตัวเขาเองไม่กังวลเกี่ยวกับคดีดังกล่าว เขารู้ดีว่าตนได้เข้าไปมีส่วนพัวพันกับการตายของเชสเตอร์ อย่างน้อยก็การที่เขาแอบลักลอบเข้าไปในห้องเซิฟเวอร์นั่นแล้วหนึ่งประการ และถ้าหากว่าทางเจ้าหน้าที่สืบสวนรู้เรื่องนี้เข้า เขาก็คงจะกลายเป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัยอย่างไม่อาจเลี่ยงได้

    แต่เพราะเขารู้ดีว่าเขาจะไม่เดือดร้อนกับเรื่องดังกล่าว เช่นเดียวกันกับที่รู้ว่าไทรอนจะไม่เดือดร้อนกับเรื่องการรายงานเกี่ยวกับการแทรกแซงสถานที่เกิดเหตุของวินเซนต์ เขาจึงไม่ได้รู้สึกเป็นกังวลอะไรมากนัก

    พวกเขาทั้งหมดพากันกลับมายังตึกสำนักงานสอบสวนกลางทันทีที่ทานมื้อกลางวันเสร็จ ก่อนที่ต่างฝ่ายจะแยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง อันที่จริงการฟังผลดีเอ็นเอนั้นเสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ช่วงเช้า ทว่าที่เจย์เดนยังไม่ยอมพาเขากลับไปยังเซฟเฮ้าส์ของซีไอเอเสียทีนั้นก็เป็นเพราะว่าอีกฝ่ายยังไม่เสร็จธุระ

    "ผมยังไม่ได้คำตอบเรื่องนามแฝงของเชสเตอร์เลย" อีกฝ่ายบอกขณะกดปุ่มลิฟต์ไปยังชั้นที่โยนาธานนั่งทำงานอยู่ "คุณมีข้อมูลอะไรที่อยากได้จากเซิฟเวอร์ของดาร์กเว็บอีกไหม?"

    "ไม่แล้วล่ะ"

    เขาตอบ เพราะสิ่งที่เขาได้มาเมื่อวานนั้นถือว่ามากจนเกินพอแล้ว

    "อืม ถ้าอย่างนั้นผมขอแวะไปคุยกับโยนาธานสักหน่อย ไม่นานหรอก"

    "ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อยนี่"

    "แต่หน้าคุณตอนนี้น่ะบอกผมว่าอยากจะกลับไปที่เซฟเฮ้าส์เต็มแก่แล้ว" อีกฝ่ายเย้า "ผมก็เลยกลัวว่าคุณจะหงุดหงิดไงที่โดนผมลากไปโน่นไปนี่ไม่หยุดเสียทีน่ะสิ"

    "ในสายตาคุณผมดูเป็นพวกขี้โมโหขนาดนั้นเลยเหรอ? เจ้าอารมณ์ตลอดเวลา หน้าตาไม่รับแขก อะไรแบบนั้น"

    "ไม่ใช่" เจย์เดนรีบเอ่ยปฏิเสธ ก่อนจะหันไปมองใบหน้าของคู่สนทนา "ไม่ใช่แบบนั้นเลย แต่ผมแค่...ไม่อยากทำให้คุณต้องรู้สึกแย่เวลาที่อยู่กับผม"

    "บางทีคุณก็ขี้กังวลในเรื่องแปลก ๆ เหมือนกันนะ"

    "ก็เพิ่งมาเป็นกับคุณนี่แหละ คุณน่ะมือวางอันดับหนึ่งด้านทำให้คนอื่นเป็นห่วงเลยนะรู้ตัวบ้างไหม"

    "อันที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงผมเลย" แดนเนลพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง "ผมรู้ว่าสิ่งที่ผมทำอยู่นั้นต้องเจอกับอะไรบ้าง และผมก็เตรียมใจเอาไว้เรียบร้อยแล้ว"

    "ถ้าอย่างนั้นก็พาผมไปด้วย พาผมไปเจอกับสิ่งที่คุณต้องเจอ"

    "เพราะมันคือหน้าที่ของคุณสินะ"

    "เพราะผมเป็นห่วงคุณต่างหาก"

    แดนเนลชะงักนิ่งไปเมื่อได้ยิน ก่อนจะเกิดความเงียบงันขึ้นชั่วอึดใจหนึ่ง

    "คุณอย่าเอาตัวเองเข้ามายุ่งเกี่ยวกับผมให้มากนักจะดีกว่านะเจย์เดน" ใบหน้าเรียวเผยยิ้มหยันให้กับตัวเองออกมาขณะเอ่ย "ผมไม่อยากให้คุณต้องมาเจอกับเรื่องแย่ ๆ"

    เสียงลิฟต์ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าถึงชั้นที่หมายเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ประตูลิฟต์จะค่อย ๆ เปิดออกและแดนเนลก็เป็นที่ฝ่ายก้าวออกมาก่อน ไม่ใช่เขาไม่รู้ว่าเจย์เดนพยายามที่จะทำให้เขาเปิดใจ

    เขารู้...และรู้ดีด้วยว่าอีกฝ่ายนั้นอยากจะให้เขาลดกำแพงในใจลงมากแค่ไหน

    ทว่าสิ่งหนึ่งที่อีกฝ่ายไม่รู้คือกำแพงของเขานั้นไม่ได้มีเพื่อปกป้องตัวเขาจากคนอื่น แต่มีไว้เพื่อปกป้องคนอื่นจากตัวเขาต่างหาก นั่นจึงทำให้เขาต้องก่อกำแพงให้หนาขึ้นอีกชั้น...และอีกชั้น...

    ให้มันหนาจนเพียงแค่มองเห็นก็รู้สึกถอดใจ

    เพราะเขารู้ว่าการทำแบบนี้จะเป็นการดีกับคนรอบกายเขามากกว่า





    โยนาธานกำลังนั่งคุยโทรศัพท์กับใครบางคนอยู่ที่โต๊ะทำงานของตัวเองยามที่เจย์เดนและแดนเนลไปถึง ในตอนแรกเจย์เดนตั้งใจว่าจะรออยู่ด้านนอกจนกว่าเจ้าของห้องทำงานคุยธระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย แต่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่กวักมือเรียก เขาจึงตัดสินใจผลักประตูแล้วเดินเข้าไปด้านใน

    "ฉันคุยกับเทย์เลอร์อยู่ หมอนั่นนึกครึ้มอะไรไม่รู้ถึงได้โทรมาชวนไปหาอะไรดื่มกันตอนเลิกงาน" โยนาธานพูดกับเจย์เดนที่เดินตรงเข้ามาหา ก่อนจะหันไปเอ่ยชวนเจ้าของร่างผอมโปร่งที่กำลังปิดประตูห้องตามประสาของคนที่มีอัธยาศัยดี "สนใจไปด้วยกันไหมแดนเนล?"

    "เฮ้!" และมันก็ทำให้คนที่ถูกเมินอย่างหน้าตาเฉยรีบส่งเสียงท้วงขึ้นมา "ฉันยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้ แทนที่จะชวนฉัน"

    "ก็เรื่องชวนนายน่ะเป็นหน้าที่ของเทย์เลอร์ เดี๋ยวหมอนั่นก็โทรไปหานายเองแหละน่า"

    "ถ้าอย่างนั้นเรื่องชวนแดนเนลก็ไว้ให้เป็นหน้าที่ฉัน ส่วนนายน่ะเอาข้อมูลของเชสเตอร์มาให้ฉันอย่างเดียวก็พอ"

    "รีบอะไรขนาดนั้นล่ะ" อีกฝ่ายกระแหนะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ใช้ฝ่ามือของตนหมุนหน้าจอมอนิเตอร์มาให้คู่สนทนาดู "แต่ถ้าจะให้พูดถึงวีรกรรมของเชสเตอร์น่ะมีเป็นกระบุงเลยแหละ เขาเป็นสมาชิกของอันโนว และก็ไม่ใช่ระดับธรรมดาด้วย"

    "แล้วนายไปรู้เรื่องพวกนี้มาได้ยังไง?"

    "บนโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเส้นสายจากคนในวงการเดียวกันอยู่นะเพื่อน" โยนาธานยักคิ้ว "กว่าจะรู้ว่าหมอนั่นใช้นามแฝงอะไรก็เล่นเอาสืบจนเหนื่อย แต่พอรู้ปุ้บทุกอย่างก็หลั่งไหลออกมาอย่างกับตาน้ำ นายเองก็น่าจะเคยได้ยินนามแฝงนี้นะ แคชมีน่ะ"





    [tbc.]
    ศัพท์เทคนิคในตอนนี้ in a nutshell
    Email header คือโค้ดชส่วนหัวของอีเมลที่ถูกซ่อนเอาไว้ ซึ่งสามารถเปิดดูได้และไม่ใช่ความลับอะไร อีเมลทุกฉบับจะต้องมีอีเมลเฮดเดอร์เสมอ เพื่อใช้ในการบอกว่าอีเมลฉบับนี้มีต้นทางมาจากไหน ถูกส่งมาเมื่อไหร่ และจะถูกส่งไปให้กับใคร รวมถึงยังมีโดเมนและเลขไอพีของ Mail Server ของผู้ส่งอีกด้วย ซึ่งแน่นอนว่าโดเมนและเลขไอพีนั้นสามารถตั้งค่าให้เป็นตัวหลอกได้ แต่ต้องไปตั้งค่าที่ Mail Server นะ
    ***หากมีข้อมูลที่ผิดพลาดประการใดก็สามารถบอกเรามาได้เลยนะ เราจะรีบทำการปรับแก้ให้อย่างเร็วที่สุดค่ะ***

    ________________________________________

    ปมมีไม่เยอะหรอกหน่าาาาาาา
    และตอนนี้ก็กำลังจะเข้าโค้งสุดท้ายของเรื่องแล้วนะทุกโคนนน

    พอหายไปนานแล้วรู้สึกเหมือนติดๆขัดๆไปหมด
    ถ้าหากทุกคนอ่านแล้วรู้สึกสะดุดหรือว่างงๆยังไงก็บอกกันได้นะคะ
    เราจะได้กลับมาพรูฟใหม่ให้ เผื่อมันจะสมูทขึ้น แหะๆ

    แล้วก็...ไว้เจอกันใหม่ตอนหน้านะะะ
    ขอบคุณทุกคนที่ยังรอค่ะ >w<
    #ฟิควรบจด

    how to comment ใน minimore

    Note : ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปิน สถานที่ และเหตุการณ์ใดๆ และไม่ได้มีเจตนาใด ๆ จะทำให้ศิลปินเสื่อมเสียทั้งสิ้น

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
asfoe (@asfoe)
ขอบคุณที่สร้างสรรค์เรื่องราวสวยงามผ่านปลายนิ้วและจินตนาการของคุณนะคะ เป็นสิ่งล้ำค่าและเรารู้สึกขอบคุณมากๆ เลย สวัสดีปีใหม่ ขอให้แต่ละวันเป็นวันที่ดีและไม่เหนื่อยมาก อยากให้คุณรายล้อมไปด้วยรอยยิ้มและความสุขเสมอเลย ขอบคุณที่เขียนนะคะ HNY ค่ะ :-)
Gift N. T. (@giftnt1402)
ดีใจมากๆๆๆๆๆ คิดถึงแดนเนล เจย์เดน และสมาชิกในทีมทุกคนเลย แล้วก็มีอะไรให้ลุ้นเต็มไปหมดเลยค่ะ ตกลงประเด็นแคชมีกับเชสเตอร์นี่ยังไงกันแน่ ตื่นเต้นมาก

เรื่องแดนเนลกับเจย์เดนก็เช่นกันนะคะ เวลาสองคนนี้มีปฏิสัมพันธ์นิดๆ หน่อยๆ เราก็ลุ้นเหมือนแจโดในชีวิตจริง กั๊กๆ กันแทบจะตลอด ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่พอเขาพูดหรือแสดงออกอะไรกันตรงๆ ก็เขินทุกที นายเจย์เดนทำดีมาก ถึงจะชอบหยอกเขา แต่แดนเนลก็ดูน่าจะรู้สึกดีด้วยมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะยังต้องฝ่าอะไรกันอีกเยอะก็ตาม คือเข้าใจแดนเนล แต่เพราะเจย์เดนเป็นคนจริงใจแบบนี้ และเพราะถึงเวลาที่แดนเนลควรจะค่อยๆ ลดเรื่องที่ติดค้างในใจลงแล้วเริ่มมีความสุขซักที คู่นี้เลยน่าเชียร์มากๆ

เห็นใกล้จะจบแล้วก็แอบเศร้านะคะ เราคงคิดถึงเนื้อเรื่องและสิ่งที่ประกอบขึ้นมาเป็นตัวละครทั้งสองตัวนี้มากๆ เป็นเคมีที่ไม่ได้หวานเยิ้มแต่กลับอบอุ่นมาก การพัฒนาความสัมพันธ์ก็เรียลและดีต่อใจ ชอบแบบนี้จริงๆ ค่ะ