เจย์เดนจมจ่อมอยู่กับแฟ้มคดีฆาตกรรมของเชสเตอร์ อัน ที่เกิดขึ้นเมื่อราวสิบสี่ปีก่อนตลอดช่วงเช้าของวัน นับตั้งแต่ตอนที่เขาแยกตัวออกมาจากแดนเนลและโยนาธาน
เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่ามันเกือบจะเป็นหนึ่งในคดีฆาตกรรมที่ที่ปิดไม่ลงของทางเอฟบีไอ
อย่างที่รู้กันว่าเชสเตอร์นั้นถือเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านคอมพิวเตอร์สูงมากคนหนึ่ง เขามีทั้งความรู้และความสามารถเกี่ยวกับระบบคอมพิวเตอร์เป็นอย่างดี ซึ่งปริญญาบัตรด้านวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ ไปจนถึงประสบการณ์การทำงานที่บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตชั้นนำของรัฐ ตอนที่เขายังไม่ถูกจับเข้าคุกนั้นคือเครื่องการันตีความสามารถของเขา
จริงอยู่ที่ในตอนนั้นเริ่มจะมีการใช้คอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตกันอย่างแพร่หลายบ้างแล้ว สังเกตจากการที่มีร้านอินเตอร์เน็ตตั้งอยู่แทบทุกหัวมุมถนนของเมือง ทว่าโลกอินเตอร์เน็ตก็ยังไม่ได้ขยายอาณาเขตกว้างไกลมากเท่าปัจจุบัน รวมถึงมาตฐานในการป้องกันความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์และเครือข่ายเองนั้นก็ไม่อาจเทียบเทียมได้กับทุกวันนี้
นั่นจึงทำให้การเจาะระบบของกล้องวงจรปิดที่ติดอยู่ในบริเวณจุดเกิดเหตุและบริเวณโดยรอบไม่ใช่เรื่องที่ยากเกินความสามารถของคนที่มีความรู้ในด้านนี้อยู่แล้วเลยสักนิด
เชสเตอร์ อัน ฉลาดมากพอที่จะทำลายหลักฐานด้วยวิธีการดังกล่าว โดยไม่ทิ้งร่องรอยใด ๆ ของตัวเองเอาไว้ในระบบเลย และมันก็ทำให้การสืบสวนเป็นไปอย่างยากลำบาก
เนื่องจากบรรดาเจ้าหน้าที่สืบสวนที่เป็นผู้ดูแลคดีนี้ไม่สามารถค้นหาพยานหลักฐานของคดีได้มากพอ ทำให้พวกเขาไม่อาจระบุตัวผู้กระทำได้อย่างแน่ชัด การที่จะตั้งข้อหาให้กับใครสักคนนั้นจึงไม่ต่างอะไรจากการหว่านแหไปในบึงน้ำที่แห้งขอด พวกเขาไม่มีแม้แต่ผู้ต้องสงสัยเลยด้วยซ้ำ
ท้ายที่สุดแล้ว ทางเอฟบีไอจึงตัดสินใจเลือกใช้สื่อมวลชนเป็นช่องทางในการตามหาร่องรอยของคดีเมื่อพวกเขาเดินมาถึงทางตัน ไม่ว่าจะเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ ไปจนถึงสื่อโทรทัศน์ ทั้งหมดนั้นล้วนแล้วแต่พากันประโคมข่าวของคดีฆาตกรรมดังกล่าว รวมถึงยังมีการประกาศมอบรางวัลนำจับให้กับผู้ที่แจ้งเบาะแสอันเป็นประโยชน์แก่ทางเอฟบีไออีกด้วย
แน่นอนว่าการทำแบบนี้ย่อมเป็นการเปิดโอกาสให้มีคนโทรเข้ามาก่อกวน เจ้าหน้าที่เอฟบีไอเสียเวลาไปกว่าครึ่งค่อนวันกับการรับสายโทรศัพท์ที่ไร้ประโยชน์ และมันก็ทำให้พวกเขารู้สึกหัวเสียอยู่ไม่น้อยทีเดียว
เวลาเดินหน้าไปเรื่อย ๆ ทว่าเบาะแสยังคงว่างเปล่าเช่นเดิม จนกระทั่งถึงช่วงกลางดึกของคืนนั้น เมื่อสำนักงานสอบสวนกลางมีสายโทรศัพท์ปริศนาสายหนึ่งโทรเข้ามา
โจชัว เพจ หัวหน้าแผนกสืบสวนพิเศษคดีฆาตกรรมของสำนักงานสอบสวนกลางแห่งนครลอสแอนเจลิสคนปัจจุบันคือผู้ที่รับสายดังกล่าว ในตอนนั้นเขายังเป็นเพียงแค่เจ้าหน้าที่สืบสวนธรรมดาที่ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรต่อท้าย เขาได้รับมอบหมายให้ดูแลคดีฆาตกรรมนี้ และการต้องมานั่งรับสายโทรศัพท์แจ้งเบาะแสก็ถือเป็นหนึ่งในหน้าที่ วันทั้งวันนั้น เขาได้แต่นั่งรับโทรศัพท์นับร้อยสายอยู่หลายชั่วโมง ทว่าไม่มีเลยแม้แต่สายเดียวที่จะทำให้คดีของเขาคืบหน้า
ในรายงานที่เจย์เดนกำลังอ่านอยู่ระบุถึงการพูดคุยโทรศัพท์ครั้งนั้นเอาไว้ว่า คนที่โทรเข้ามาเป็นเด็กผู้ชายที่แค่ฟังเสียงพูดดูก็รู้ว่ายังไม่แตกหนุ่มดี และโจชัวก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับโทรศัพท์สายนั้นเลยสักนิด ในตอนแรกเขาคิดว่าเด็กชายเป็นหนึ่งในบรรดาเด็กนิสัยเสียที่โทรเข้ามาก่อกวนด้วยความนึกสนุกเสียด้วยซ้ำ และนั่นก็ทำให้เขาเอ่ยดุปลายสายไปด้วยน้ำเสียงเจือความหงุดหงิดที่ปิดไม่มิด ทว่าสิ่งที่เด็กชายคนนั้นบอกกล่าวออกมากลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้ว่าตัวเองไม่ควรวางสายโทรศัพท์สายนี้
'ผมมีหลักฐานจากกล้องวงจรปิด'
มันเป็นเพียงแค่ประโยคบอกเล่าธรรมดา ทว่าโจชัวกลับรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เด็กชายคนนั้นเอ่ยไม่ใช่เรื่องโกหก
เพราะทางเอฟบีไอไม่ได้บอกรายละเอียดเรื่องที่ภาพจากกล้องวงจรปิดหายไปให้แก่บรรดานักข่าวรับรู้ นั่นจึงทำให้พวกเขาสามารถคัดกรอกได้ว่าผู้แจ้งเบาะแสคนไหนคือผู้ที่ให้เบาะแสที่เป็นประโยชน์ ซึ่งเด็กชายที่ถือสายโทรศัพท์อยู่อีกฟากนั้นก็สามารถเอ่ยเข้าประเด็นได้อย่างตรงจุด
และนั่นก็ทำให้โจชัวรับรู้ได้ในทันทีว่าเขากำลังสนทนาอยู่กับพยานเพียงหนึ่งเดียวในคดี
เขาได้ทำการจดสิ่งที่พูดคุยกับเด็กชายลงในรายงาน รวมถึงได้กดบันทึกเสียงบทสนนาดังกล่าวเก็บไว้เป็นหลักฐานยืนยันตั้งแต่ตอนที่เขาเริ่มรับสาย และไฟล์เสียงที่ว่านั่นก็ยังคงถูกจัดเก็บอยู่ในฐานข้อมูลขนาดใหญ่ของเอฟบีไอมาจนถึงปัจจุบัน
เด็กชายยอมบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเองทราบเกี่ยวกับการฆาตกรรมครั้งนั้นให้เขารู้ ทว่าเมื่อเขาถามถึงชื่อและที่อยู่ เจ้าตัวกลับบ่ายเบี่ยงที่จะตอบและบอกว่าจะส่งหลักฐานทั้งหมดมาให้เขาทางไปรษณีย์
เขารู้ว่าเด็กชายรู้สึกกลัวที่จะเปิดเผยตัว การมีหลักฐานชิ้นสำคัญของคดีอย่างภาพจากกล้องวงจรปิดอยู่ในมือทำให้เด็กคนนั้นรู้ว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในอันตราย นั่นจึงทำให้เขาพยายามอย่างหนักในการเกลี้ยกล่อมให้เด็กชายยอมมาพบ เพื่อที่เขาจะได้ดูแลเรื่องความปลอดภัยให้
ท้ายที่สุดแล้วเด็กชายจึงยอมตกลงจะนำหลักฐานทั้งหมดมามอบด้วยตัวเอง แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ยอมบอกชื่อและข้อมูลส่วนตัวอื่น ๆ ให้เขารับรู้อยู่ดี และก็กลายเป็นตัวเขาเองที่ต้องบอกเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวให้กับเด็กชายคนนั้นเพื่อความสะดวกในการติดต่อแทน
'โทรศัพท์นี้อาจถูกดักฟังก็ได้นะฮะ' คำพูดคำจานั้นฟังดูเกินวัยของเด็กชายคนนั้นทำเอาเขาอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้ 'เอาเป็นว่าเดี๋ยวถึงเวลานั้นคุณก็จะรู้เองว่าผมเป็นใคร วันพรุ่งนี้ที่โรงพยาบาลของยูซีแอลเอดีไหมฮะ?'
'เดี๋ยวสิ ทำไมต้องโรงพยาบาลด้วยล่ะ?'
'ก็ใกล้คุณ มีคนผ่านตลอด ไม่เป็นที่สังเกตง่าย สิบโมงเช้าผมต้องเห็นคุณอยู่หน้าโรงพยาบาลแล้วนะ'
เด็กชายเอ่ยเพียงแค่นั้นก่อนจะวางสายไป ทิ้งให้โจชัวอยู่กับความจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเขารู้สึกได้ว่าการเลือกสถานที่นัดเจอกันของเด็กชายคนนั้นเป็นไปอย่างชาญฉลาด หน้าโรงพยาบาลของยูซีแอลเออยู่ไม่ไกลจากตึกสำนักงานสอบสวนกลางที่เขากำลังนั่งทำงานอยู่ในขณะนี้จริง ๆ และมันก็เป็นสถานที่ที่มีคนพลุกพล่านอยู่ตลอดเวลาทว่าไม่มีใครที่จะหยุดนิ่งอยู่กับที่ ทั้งยังเป็นสถานที่เปิดโล่งที่มีช่องทางหลบหนีให้เลือกมากมายหากมีเหตุอันตรายเกิดขึ้น
ต้องยอมรับเลยว่าความฉลาดในการปกปิดตัวตนของเด็กชายทำให้เขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคู่สนทนาของตนเองเมื่อครู่นี้เลยนอกจากน้ำเสียง แต่ถึงอย่างนั้น การสนทนาดังกล่าวก็ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่จะทำให้เขาสามารถปิดคดีดังนี้ลงได้
และเขาก็รู้สึกขอบคุณเด็กชายคนนั้นมากจริง ๆ
เจย์เดนตัดสินใจหยุดอ่านข้อมูลในแฟ้มคดีฆาตกรรมของเชสเตอร์เอาไว้ตรงนี้ เมื่อเขาเหลือบสายตาไปเห็นเวลาที่อยู่ตรงมุมจอคอมพิวเตอร์ และพบว่าตัวเลขที่บนนั้นได้เดินหน้าไปเรื่อย ๆ จนใกล้จะเข้าสู่ช่วงเที่ยงของวันแล้วเต็มที เจ้าหน้าที่หนุ่มตัดสินใจปิดคอมพิวเตอร์ของตน ก่อนจะคว้าแล็ปท็อปของมาร์คัสมาถือเอาไว้แล้วเดินตรงไปยังบันไดที่อยู่ข้างลิฟต์ของตัวตึก ห้องทำงานของโยนาธานนั้นอยู่ถัดขึ้นไปจากแผนกของเขาหนึ่งชั้น ดังนั้นการเดินขึ้นบันไดจึงไม่ใช่เรื่องที่เหนือบ่ากว่าแรงอะไรเลย หนำซ้ำมันยังทำให้เขาไปถึงจุดหมายเร็วกว่าการยืนรอลิฟต์เสียอีก
ในตอนที่เขาเข้าไปในห้องทำงานของโยนาธาน แดนเนลกำลังนั่งคุยกับผู้เป็นเจ้าของห้องเกี่ยวกับอีเมลทั้งหมดของมาร์คัสที่เขาค้นพบ ทั้งหมดนั้นเป็นสิ่งยืนยันว่าเหตุการณ์ความไม่สงบหลาย ๆ ครั้งบนโลกไซเบอร์ ที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมานี้มีสาเหตุมาจากเครือข่ายของริชาร์ด และแน่นอนว่าทางรัฐบาลมีความต้องการที่จะกวาดล้างมันไปให้หมดสิ้น
การมาถึงของเจย์เดนทำให้คนทั้งคู่รู้ว่าตอนนี้ถึงเวลาของมื้อเที่ยงแล้ว โชคดีที่โยนาธานไม่ใช่คนประเภทที่เอาแต่นั่งทำงานจนละเลยมื้ออาหาร เจ้าหน้าที่หนุ่มทำการปิดคอมพิวเตอร์ของตัวเองอย่างรวดเร็วราวกับได้เตรียมตัวรอไว้อยู่แล้วตั้งแต่ต้น และเพราะอย่างนั้น แดนเนลจึงต้องหยุดงานในมือของตนลงและลุกขึ้นเดินตามเจ้าหน้าที่เอฟบีไอทั้งสองออกไปหาอะไรกินด้วย
ร้านอาหารแม็กซิกันที่อยู่ไม่ไกลจากตึกสำนักงานสอบสวนกลางเท่าไหร่นักคือร้านอาหารที่คนทั้งสามเลือกฝากท้องในมื้อนี้ เจย์เดนเล่าเรื่องรายละเอียดเกี่ยวกับคดีของเชสเตอร์ที่ตัวเองได้เพิ่งได้รับรู้มาเมื่อครู่ให้แดนเนลฟัง การมีโยนาธานนั่งอยู่ด้วยนั้นไม่ได้ทำให้เขารู้สึกลังเลที่จะพูดถึงคดีดังกล่าวแต่อย่างใด เพราะอย่างไรแล้วโยนาธานเองนั้นก็มีสิทธิ์เข้าถึงแฟ้มคดีทั้งหมดที่มีอยู่ในฐานข้อมูลของเอฟบีไอเช่นเดียวกันกับเขา
"เขาเองก็เป็นแฮกเกอร์เหมือนกัน เชสเตอร์น่ะ" เจย์เดนเอ่ย "เขาแฮกระบบความปลอดภัยและลบภาพจากกล้องวงจรปิดที่จับภาพตัวเองตอนกำลังก่อเหตุทิ้งไป"
"แล้วนายมีข้อมูลอื่นของเขาอีกไหม? อย่างพวกนามแฝงที่เขาใช้ อะไรแบบนั้น"
เป็นโยนาธานที่เอ่ยถามขึ้น เขาถือเป็นเจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงของบรรดาแฮกเกอร์มานานพอสมควร และรู้จักเหล่าแฮกเกอร์ที่มีฝีมืออยู่ไม่น้อย เขาเชื่อว่าหากได้นามแฝงของเชสเตอร์มาก็อาจทำให้รู้เบาะแสที่เกี่ยวกับคดีมากขึ้น ในขณะที่แดนเนลนั้นได้แต่นั่งฟังอยู่นิ่ง ๆ โดยไม่เอ่ยความเห็นใดออกมา แต่ถึงอย่างนั้นใบหน้าเรียวก็มีเค้าที่บ่งบอกว่ากำลังครุ่นคิดถึงอะไรบางอย่างอยู่อย่างหนัก ราวกับว่าเจ้าตัวกำลังเก็บรวบรวมข้อมูลทั้งหมดที่ทั้งเจย์เดนและโยนาธานพูดคุยกันมาวิเคราะห์ในหัวเงียบ ๆ
"ไม่มี" เจย์เดนเอ่ยตอบเพื่อนร่วมงานของตน "อันที่จริงฉันยังอ่านแฟ้มคดีของเขาไม่หมดด้วยซ้ำ เห็นว่าเที่ยงแล้วเลยลุกมาหาอะไรกินก่อนน่ะ แต่ในประวัติส่วนตัวของเขาไม่มีนามแฝงใด ๆ ของแฮกเกอร์ที่เขาใช้ระบุอยู่เลยนะ"
"มันต้องมีสิ ยังไงก็ต้องมี" โยนาธานเอ่ยอย่างมั่นใจ "เพราะเขาคงไม่ใช่ชื่อเชสเตอร์ในการติดต่อกับพวกแฮกเกอร์คนอื่นแน่ ๆ ไม่มีแฮกเกอร์คนไหนใช้ชื่อจริงของตัวเองในนั้นกันหรอก"
"ถ้าอย่างนั้นนายช่วยหาให้หน่อยได้ไหมล่ะ ฉันอยากรู้ว่าเขาติดต่อกับเพื่อนแฮกเกอร์คนไหนบ้าง และมีความบาดหมางอะไรกับใครในนั้นบ้างหรือเปล่า เผื่อมันจะเป็นเบาะแสที่ใช้หาตัวฆาตกรได้"
"เอ๊ะ...นี่ฉันกำลังโดนนายหลอกล่อให้ทำงานให้อยู่หรือเปล่าเนี่ย" โยนาธานชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะมุ่นคิ้วเข้าหากันน้อย ๆ "ฉันว่าฉันรู้สึกแบบนั้นนะ"
"คิดมากน่า ใครจะกล้าหลอกให้นายทำงานให้กัน ฉันใช้งานนายตรง ๆ เลยต่างหาก" เจย์เดนเอ่ยก่อนจะส่งเสียงหัวเราะหึในลำคออย่างนึกขันเพื่อนของตัวเอง "หามาให้หน่อยแล้วกัน ภายในเย็นนี้ทันไหม?"
"เย็นนี้เหรอ? บ้าหรือไง ใครจะไปหาให้ทัน"
โยนาธานถึงกับโวยออกมาเมื่อได้ยินดังนั้น ก่อนที่คู่สนทนาของเขาจะตอบกลับมาด้วยประโยคที่ทำให้เขายิ่งอยากจะปีนข้ามโต๊ะไปงับหัวของอีกฝ่ายให้หลุดออกมา
"ก็นายไง น่า...ในเย็นนี้ ฉันมีเรื่องที่ต้องทำอีกตั้งเยอะตั้งแยะ รอนานกว่านั้นไม่ได้หรอก"
"โอ้โห...เพิ่งรู้นะว่าเดี๋ยวนี้คนขอความช่วยเหลือเขามีสิทธิ์ต่อรองกันถึงขนาดนี้เลย" เขาเอ่ยกระแหนะอย่างอดไม่ได้ ทว่าอีกฝ่ายกลับตอบรับด้วยการไหวไหล่เบา ๆ โดยไม่มีท่าทีสะทกสะท้านใด ๆ ในสิ่งที่ได้ยิน จนเขาต้องกลายเป็นที่ฝ่ายถอนหายใจออกมาอย่างจำยอมเสียเอง "เอาเหอะ จะพยายามแล้วกัน"
"ตกลงว่าเย็นนี้นะ"
"ก็บอกว่าจะพยายามไง!"
โยนาธานแหวใส่เพื่อนร่วมงานของตนอย่างเหลืออดเหลือทน และมันก็ทำให้แดนเนลที่นั่งฟังอยู่อย่างเงียบ ๆ นั้นหลุดยิ้มขำออกมา การถกเถียงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ของคนทั้งสองทำให้เรื่องที่ควรจะตึงเครียดดูผ่อนคลายลงไปมาก แต่ถึงอย่างนั้น ความผ่อนคลายดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ความจริงจังในการทำงานลดลงเลยแม้แต่น้อย
แดนเนลยังคงหมกตัวอยู่ที่โต๊ะทำงานชั่วคราวในห้องทำงานของโยนาธานตลอดช่วงบ่ายของวัน ขณะที่เจย์เดนนั้นได้ปลีกตัวออกไปเขียนรายงานการสอบสวนของมาร์คัสที่ต้องส่งให้กับหัวหน้าแผนกของตน
การไล่ดูอีเมลลับนับพันฉบับของมาร์คัสทำเอาเขารู้สึกปวดตา เพราะเขาเชื่อว่ามันจะต้องมีอีเมลสักฉบับที่มาร์คัสใช้ในการติดต่อกับริชาร์ดโดยตรง เขาจึงไม่กล้าที่จะเปิดดูแบบผ่าน ๆ เพราะไม่อยากปล่อยให้ตัวเองพลาดอะไรไป ทว่าน่าเสียดายที่เขากลับคว้าน้ำเหลว ไม่มีการติดต่อใด ๆ ระหว่างมาร์คัสและริชาร์ดผ่านทางอีเมลทั้งหมดนี้
นั่นทำให้แดนเนลเผลอเหลือบสายตามองไปยังแล็ปท็อปของมาร์คัสเป็นระยะ เขารู้ว่าตัวเองกำลังวอกแวก ด้วยเพราะอยากที่จะตรวจสอบแล็ปท็อปดังกล่าวนั้นให้เร็วที่สุด แต่เขาไม่อยากทำมันโดยที่มีโยนาธานจับตามองอยู่ข้าง ๆ
เขาไม่อยากให้มีใครรู้ทั้งนั้นว่าเขาค้นพบจากแล็ปท็อปเครื่องนี้บ้าง
นั่นจึงทำให้เขาภาวนาให้เจย์เดนรีบ ๆ เขียนรายงานการสอบสวนให้เสร็จ เพื่อที่เขาจะได้รีบกลับไปทำในสิ่งที่เขาอยากทำ ในพื้นที่ที่เป็นอาณาเขตของเขาเอง
[tbc.]
- UCLA ย่อมาจาก University of California, Los Angeles หรือก็คือมหาวิทยาลัยแคลิฟอเนีย,ลอสแอนเจลิส
***หากมีข้อมูลที่ผิดพลาดประการใดก็สามารถบอกเรามาได้เลยนะ เราจะรีบทำการปรับแก้ให้อย่างเร็วที่สุดค่ะ***
________________________________________
พัคจองซู - โจชัว เพจ
ไม่กล้าเม้ามอยไรเยอะง่ะ กลัวหลุด แอะๆๆๆ
เอาเป็นว่าไว้เจอกันตอนหน้าเลยแล้วกันนะคะทุกคนนน
#ฟิควรบจด
how to comment ใน minimore
Note : ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปิน สถานที่ และเหตุการณ์ใดๆ และไม่ได้มีเจตนาใด ๆ จะทำให้ศิลปินเสื่อมเสียทั้งสิ้น
ตอนนี้ทั้งเจย์เดนทั้งแดนเนลคือทำงานกันหนักสุดๆๆๆ หวังว่าหลังจากจบเรื่องทุกอย่างแล้วเจย์เดนจะมีโอกาสได้จีบแดนเนลนะ ;-;
ชอบโยนาธานจังงงง เหมือนมาเป็นส่วนเติมเต็มความอึดอัดที่เจย์เดนกับแดนเนลมีต่อกันเลย
หรือ... จะเป็นตัวละครที่ออกมาแล้วนะคะเนี่ย แดนเนลดูไม่ยุ่งตอนเจย์เดนเล่าให้โยนาธานฟังก็จริง แต่ก็คิดนั่นนี่ตลอด อาจจะรู้บางเรื่องรึเปล่านะ ละเด็กคนนั้นมีข้อมูลที่เชสเตอร์ลบไปด้วย แสดงว่าน่าจะเก่งคอมและรู้ทันเชสเตอร์อยู่นะคะ
รอชมความลับในแล็ปท็อป เผื่อกระจ่างขึ้น แต่เผลอๆ เราอาจปวดหัวกว่าเดิมก็ได้เพราะคุณกระต่ายเขาลึกลับเหลือเกินค่ะ