ห้องสอบปากคำของสำนักงานสอบสวนกลางเป็นห้องโล่ง ๆ ห้องหนึ่ง ไม่มีวอลเปเปอร์ อุปกรณ์ตกแต่ง และเฟอร์นิเจอร์ชิ้นอื่นนอกเหนือไปจากโต๊ะเหล็กหนึ่งตัวและเก้าอี้โลหะอีกสามตัวที่วางตั้งอยู่กลางห้อง แม้ว่าพื้นที่รอบโต๊ะนั้นจะไม่ได้กว้างใหญ่อะไรนัก แต่ก็ถือว่ามากพอให้คนสองคนสามารถเดินสวนกันไปมารอบห้องได้อย่างไม่เบียดเสียด ตรงมุมเพดานทั้งสี่มีกล้องวงจรปิดและเครื่องอัดเสียงที่ถูกเปิดใช้งานเป็นที่เรียบร้อยติดอยู่โดยรอบ พวกมันมีไว้สำหรับใช้บันทึกทุกเหตุการณ์ ทุกคำบอกเล่า และทุกคำสารภาพที่อาจจะเกิดขึ้นภายในห้องแห่งนี้
มาร์คัส ลี นั่งมองฝ่ามือทั้งสองที่ไร้พันธนาการใด ๆ ของตนเองนิ่ง เขารู้ดีว่าการที่เอฟบีไอไม่ใส่กุญแจมือให้เป็นเพราะว่าเขายังเป็นเพียงแค่ผู้ต้องสงสัยเท่านั้น ไม่ใช่ผู้ต้องหาแต่อย่างใด ใบหน้าที่ดูอ่อนกว่าวัยหลายเท่านักของชายหนุ่มฉายแววครุ่นคิดในอะไรบางอย่างอยู่ ก่อนที่ดวงตาคู่นั้นจะหันเบือนไปยังประตูของห้องสอบปากคำเมื่อมีคนผลักมันให้เปิดออกจากด้านนอก
"ไง" คำทักทายสั้น ๆ จากเจย์เดนถูกส่งไปให้คนที่นั่งอยู่อย่างโดดเดี่ยวภายในห้อง เจ้าหน้าที่หนุ่มวางแฟ้มประวัติของอีกฝ่ายที่อยู่ในมือตนลงบนโต๊ะแล้วเปิดมันให้กางหรา ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ดึงเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามกับมาร์คัสออกจนมันส่งเสียงครูดกับพื้นเบา ๆ "ฉันอยากคุยกับนายเกี่ยวกับสิ่งที่นายทำเมื่อเช้าวันนี้ และหวังว่านายจะให้ความร่วมมือ"
เจ้าหน้าที่หนุ่มล้มตัวนั่งขณะใช้สายตาจับจ้องไปยังคนอายุน้อยกว่าตรงหน้า สายตาที่เขาใช้มองอีกฝ่ายนั้นเต็มไปด้วยความกดดันและต้องการค้นหาความจริง ไร้วี่แววของความเมตตากรุณาที่เจ้าหน้าที่คนหนึ่งควรมีให้ผู้ต้องสงสัยอายุน้อย
มาร์คัสโตเกินกว่าที่เขาจะใช้คำว่าเยาวชนกับอีกฝ่ายได้ ชายหนุ่มไม่ใช่เด็กอายุต่ำกว่าสิบแปดปีที่ขาดวิจารณญาณและถูกชักจูงจากผู้ไม่หวังดีได้โดยง่าย แต่เป็นถึงนักศึกษาทุนมหาวิทยาลัยชั้นนำของรัฐ เป็นปัญญาชนที่มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์เรื่องราวต่าง ๆ และสามารถตัดสินใจได้ด้วยตนเอง
ไม่ว่าจะเป็นคุณวุฒิหรือวัยวุฒิของชายหนุ่มนั้นต่างชี้ได้อย่างชัดเจนว่าทุกสิ่งที่เขาเลือกกระทำ คือสิ่งที่เขารับรู้ถึงผลกระทบที่จะตามมาเป็นอย่างดี และมาร์คัสจำต้องรับผลในสิ่งที่เขาเลือกไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
ภายในห้องสอบปากคำแห่งนี้เต็มไปด้วยความเงียบของคนทั้งสอง คล้ายกับต่างฝ่ายต่างหยั่งเชิงกันด้วยความนิ่งสงบ เจย์เดนตัดสินใจปล่อยให้ความเงียบทำงานของมัน เพราะลึก ๆ แล้วเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าระหว่างตัวเขากับคนตรงหน้านี้ใครจะสามารถอดทนต่อความกดดันได้ดีมากกว่ากัน ทว่าความนิ่งสงบของมาร์คัสนั้นกลับถูกทำลายลงอย่างรวดเร็วเมื่อร่างผอมโปร่งของแดนเนลก้าวเข้ามาด้านใน ประตูที่เป็นทางเข้าออกเพียงทางเดียวปิดลงพร้อมกับรอยยิ้มบางเบาที่ประดับอยู่บนใบหน้าของกระต่ายป่าแห่งซีไอเอ ยามที่เจ้าตัวค่อย ๆ ย่างก้าวมายังโต๊ะสอบสวน
"ไม่คิดเลยนะว่าเราจะได้มาเจอกันในสถานการณ์แบบนี้น่ะ
โค้ดเนมเอ็มทูเค"
คำทักทายของแดนเนลไม่ต่างอะไรกับหมัดฮุคแรกที่เจ้าตัวปล่อยออกมาในการต่อสู้ นามแฝงของแฮกเกอร์เปรียบเสมือนหน้ากากประจำตัว มันช่วยปกปิดตัวตนที่แท้จริง แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เป็นที่รู้จักและเป็นที่ยอมรับในหมู่แฮกเกอร์ด้วยกันหากผู้เป็นเจ้าของนามแฝงนั้นมีความสามารถมากพอ
และโค้ดเนมเอ็มทูเคนั้นก็คือนามแฝงที่มาร์คัสใช้โลดแล่นมาตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ในโลกของแฮกเกอร์
"นาย..." ชายหนุ่มที่ได้ยินนามแฝงของตัวเองชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงที่เอ่ยเรียก นามแฝงแฮกเกอร์ที่ติดแบล็คลิสต์ของอันโนวเพราะการผันตัวไปเข้าร่วมกับหน่วยงานของรัฐผุดเข้ามาในหัวเขาทีละชื่อ และหนึ่งในนั้นก็คือนามแฝงที่ยังคงเป็นที่พูดถึงของเหล่าแฮกเกอร์ในกลุ่ม แม้จะเคยมีข่าวว่าเจ้าตัวได้หันไปจับมือกับพวกรัฐบาลหลุดออกมาให้ได้ยินเมื่อหลายปีก่อนก็ตาม "ดีบีดี?"
แดนเนลไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกลับไป ร่างผอมโปร่งเดินไปยังเก้าอี้ตัวที่เหลืออยู่แล้วนั่งลง แผ่นหลังบางเอนพิงกับพนักด้วยท่าทีสบาย ๆ ดวงตากลมของเขาเหลือบมองรูปถ่ายที่อยู่ในแฟ้มประวัติแวบหนึ่ง ก่อนจะเบือนขึ้นมาสบตากับผู้ต้องสงสัยที่นั่งอยู่อีกฟากของโต๊ะ
"ฉันไม่อ้อมค้อมแล้วกันนะมาร์คัส" เสียงทุ่มของเจย์เดนดังขึ้น และมันก็เป็นสัญญาณของการเปิดฉากการสอบสวนในครั้งนี้ "บอกเรามาว่านายรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับไมเคิลแอนเจโลและริชาร์ดบ้าง?"
"แล้วผมจำเป็นต้องรู้อะไรบ้างล่ะ?"
มาร์คัสสวนตอบพร้อมรอยยิ้มเยาะโดยไม่ยอมละสายตาออกจากใบหน้าของแดนเนล และท่าทีทั้งหมดนั้นก็ตกอยู่ในการสังเกตของเจย์เดน สิ่งที่มาร์คัสกำลังทำกับแดนเนลคือการท้าทายอย่างหนึ่ง และมันก็มาจากการที่เจ้าตัวรู้ถึงสถานะของตัวเองในยามนี้ดีว่าตนยังมีสิทธิ์ในการต่อรองและยังไม่ได้หมดหนทางไปเสียทีเดียว
แต่สิ่งหนึ่งที่เจย์เดนคิดว่ามาร์คัสอาจจะยังไม่รู้ คือเจ้าหน้าที่ของรัฐแต่ละหน่วยงานนั้นต่างก็มีความสามารถในการสอบปากคำที่ต่างกันออกไป สำหรับเจย์เดน เขาเน้นการมัดตัวผู้ต้องสงสัยหรือผู้ต้องหาด้วยหลักฐาน ก่อนจะจบด้วยการยื่นข้อเสนอที่คุ้มค่าไปให้หากเจ้าตัวยอมให้ความร่วมมือแต่โดยดี นั่นเป็นสูตรสำเร็จของเจ้าหน้าที่เอฟบีไอส่วนใหญ่ แน่นอนว่าอาจมีบางครั้งที่เจ้าหน้าที่เอฟบีไอมีการเล่นนอกกฎ หากก็ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบ่อยนัก ด้วยเพราะสถานะของผู้ใช้กฎหมายที่ล้อมกรอบเอาไว้ให้พวกเขาจำต้องทำอะไรให้ถูกตามขั้นตอน
ทว่าวิธีการสอบปากคำของพวกซีไอเอนั้นมีรูปแบบที่หลากหลายกว่าและไม่เคยมีแบบฉบับที่ตายตัว ในบางครั้งที่อีกฝ่ายให้ความร่วมมือ การสอบปากคำอาจเป็นเพียงแค่การสนทนาธรรมดาทั่วไป แต่ส่วนใหญ่แล้วมันมักจะไม่เป็นเช่นนั้น วิธีการของพวกซีไอเอจึงไม่ค่อยต่างจากคาดคั้น ข่มขู่ และทรมานเพื่อเค้นเอาความจริงสักเท่าไหร่นัก ทว่านั่นไม่ได้เป็นเพราะพวกซีไอเอไม่มีกรอบคอยควบคุมเหมือนที่เอฟบีไอมีแต่อย่างใด
ความจริงข้อหนึ่งที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้คือเจ้าหน้าที่ทุกคนไม่ว่าจะมาจากหน่วยงานใดก็ตามนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ และยังคงเป็นประชาชนของสหรัฐอเมริกาอยู่ นั่นหมายความว่ากฎหมายของประเทศมีอำนาจเหนือเจ้าหน้าที่ทุกคนเสมอ แต่สาเหตุที่ทำให้วิธีการของซีไอเอดูเหมือนไม่ค่อยมีกรอบบังคับนั้นเป็นเพราะซีไอเอส่วนใหญ่ถนัดการเล่นนอกกฎในที่ลับตาคนเสียมากกว่า
เจย์เดนไม่รู้ว่าความสามารถในการสอบปากคำของเจ้าหน้าที่ซีไอเออย่างแดนเนลนั้นอยู่ที่ระดับไหน และถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากให้มาร์คัสยอมให้ความร่วมมือกับเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่ทุกอย่างจะตกไปถึงมือคนจากหน่วยงานที่ขึ้นชื่อด้านการถนัดเล่นนอกกฎอย่างคนที่กำลังนั่งอยู่ข้างกายเขา
"ถ้านายยังอยากจะเล่นเกมยื้อเวลาฉันก็ไม่มีปัญหา แต่บอกไว้อย่างหนึ่งนะว่านั่นมันไม่ใช่วิธีที่ฉลาดเอาเสียเลย" เจย์เดนกดเสียงเรียบนิ่ง "เพราะถ้านายไม่ยอมให้ความร่วมมือ ฉันก็คงช่วยนายจากข้อหาสมรู้ร่วมคิดกับริชาร์ดเจาะระบบของกระทรวงกลาโหมไม่ได้"
"นายจะเงียบอยู่อย่างนี้แล้วเดินเข้าคุกไปพร้อมโทษเต็ม ๆ หรือจะยอมบอกเรื่องที่เป็นประโยชน์กับเราแล้วได้รับการลดหย่อนโทษก็เลือกเอา"
"
เรา? นายใช้คำว่า
เรากับพวกเอฟบีไองั้นเหรอ?" มาร์คัสเลิกคิ้วสูงเมื่อได้ยิน สายตาที่เขาใช้มองไปยังแดนเนลนั้นเต็มไปด้วยความหยามเหยียดและแรงอารมณ์ "ถ้าอย่างนั้นที่เขาบอกว่านาย
ทรยศก็เป็นความจริงงั้นสินะ แถมตอนนี้นายยังจะลากฉันไปด้วยอีก ไปตายเสียเถอะดีบีดี"
"ใจเย็นน่า ฉันก็แค่แนะนำเฉย ๆ" แดนเนลไหวไหล่เล็กน้อย ท่าทีไม่ยี่หระต่อการโดนสบถคำหยาบใส่ของเจ้าตัวนั้นเป็นอะไรที่เจย์เดนลงความเห็นว่ามันคือการกระทำที่แสนจะยียวนคู่สนทนาอย่างที่สุด และเขาก็เกือบคิดว่าแดนเนลคงไม่ใส่ใจถ้อยคำเหล่านั้นเสียแล้ว หากไม่ได้ยินประโยคถัดมา "แต่ฉันจะบอกอะไรให้นะ เขาไม่มีวันสนใจหรอกว่านายจะเป็นตายร้ายดียังไง เพราะสุดท้ายแล้วอย่างนายมันก็เป็นได้แค่หมากตัวหนึ่งบนกระดานที่เขาจะเขี่ยทิ้งไปเมื่อไหร่ก็ได้ นายไม่ได้มีค่าอะไรกับเขาขนาดนั้นหรอกเชื่อฉันสิ อย่างสำคัญตัวเองไปหน่อยนักเลย"
"นายมันจะไปรู้อะไร คนที่ไร้ค่าน่ะมันนายต่างหาก"
มาร์คัสกัดฟันกรอด
"นั่นสิ ฉันมันไม่รู้อะไรหรอก" แดนเนลยิ้มเหยียดรับ "เลือกในสิ่งที่นายคิดว่ามันจะดีกับตัวเองที่สุดเสียเถอะมาร์คัส ฉันบอกได้แค่ตอนนี้น่ะไม่ว่าจะอันโนวหรือริชาร์ดก็ไม่มีใครช่วยให้นายรอดไปได้ทั้งนั้น ถ้านายโชคดีหน่อยก็อาจได้ไปลำบากอยู่ในคุกสักห้าปีสิบปี หรือไม่...ไอ้พวกคนที่มันหนุนหลังริชาร์ดอยู่ก็จะพากันยกขโยงมาปิดปากนายก่อนที่นายจะได้ไปลำบากในคุกเสียอีก นายไม่มีทางรู้หรอกว่าคนพวกนั้นมันทำอะไรกับนายได้บ้าง นายไม่มีทางรู้เลย"
เจย์เดนไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองหรือไม่ แต่เขารู้สึกว่าสิ่งที่แดนเนลเพิ่งเอ่ยออกมาเมื่อครู่ไม่ได้เป็นเพียงแค่ถ้อยคำข่มขู่ธรรมดาทั่วไปที่เหล่าเจ้าหน้าที่นิยมใช้เมื่อมีการสอบสวนเท่านั้น แต่เป็นการบอกเล่าความจริงที่แฝงลึกไปด้วยความรวดร้าวไร้การปรุงแต่งใดอยู่ทั้งในน้ำเสียงและสายตา ราวกับแดนเนลต้องการเตือนมาร์คัสเรื่องการเลือกที่ว่าด้วยใจจริง และมันก็ได้สร้างความรู้สึกสะเทือนใจในอะไรบางอย่างซึ่งไร้ที่มาที่ไปให้กับคนฟังอย่างเขา
แดนเนลยังคงนั่งพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีไม่ยี่หระต่อสิ่งใดบนโลกใบนี้อย่างที่เจ้าตัวชอบทำมาโดยตลอด แต่เจย์เดนกลับคิดว่าความนิ่งเฉยที่ชวนให้คนมองเกิดความรู้สึกหงุดหงิดนั้น อาจเป็นเพียงแค่เกราะที่แดนเนลใช้ปิดบังไม่ให้ผู้อื่นสังเกตเห็นถึงความแหลกสลายลึก ๆ ที่เจ้าตัวพยายามซ่อนมันไว้ ซึ่งเขาคิดว่ามันได้ผลมากทีเดียว ทว่าน่าเสียดายที่ในตอนนี้มันไม่อาจปิดบังเขาได้อีกต่อไป
"เป็นแบบนี้เองเหรอ? วิธีการสอบสวนของคุณน่ะ"
เจย์เดนหันไปเอ่ยกับเจ้าของร่างผอมโปร่งที่ยืนอยู่ข้างกาย หลังจากที่การสอบปากคำผู้ต้องสงสัยอย่างมาร์คัสเสร็จสิ้น และทั้งคู่ก็ก้าวออกมาจากห้องสอบปากคำเป็นที่เรียบร้อย
ท้ายที่สุดแล้วมาร์คัสก็ยอมให้ความร่วมมือกับพวกเขาด้วยการบอกข้อมูลทั้งหมดที่ตนรู้เพื่อแลกกับความปลอดภัยของตัวเอง และนั่นก็ถือเป็นการยืนยันว่าข่าวกรองที่ริชาร์ดมีกลุ่มมาเฟียรัสเซียหนุนหลังอยู่นั้นเป็นความจริง
ข้อมูลส่วนใหญ่ที่ได้มาจากมาร์คัสนั้นเป็นข้อมูลที่พวกเขารู้กันดีอยู่แล้ว รวมถึงเรื่องที่ริชาร์ดได้ทำการสร้างรากฐานให้กับตนเองตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาด้วย แต่สิ่งที่แดนเนลเพิ่งได้รับรู้ คือการที่ริชาร์ดได้แผ่ขยายอำนาจด้วยการใช้ชื่อเสียงและผลประโยชน์ในการดึงตัวสมาชิกจากอันโนวให้มาเข้าร่วมกับเขาได้ไม่น้อย
และมาร์คัสก็เองเป็นหนึ่งในนั้น ชายหนุ่มเริ่มต้นจากการเป็นโนเนม ก่อนจะค่อย ๆ พัฒนาความสามารถของตนไปทีละขั้นจนในที่สุดโค้ดเนมเอ็มทูเคของเขาก็เริ่มเป็นที่พูดถึงในอันโนว ริชาร์ดเข้าหาเขาในตอนนั้น และมาพร้อมกับข้อเสนอที่จะทำให้เขาได้พบกับความท้าทายและน่าสนุกยิ่งกว่าสิ่งที่เขากำลังทำอยู่
ความทะนงตนคือองค์ประกอบหนึ่งของเหล่าแฮกเกอร์ส่วนใหญ่ และความเย่อหยิ่งจองหองเหล่านั้นก็เป็นแรงผลักดันชั้นดีที่ทำให้พวกเขากล้าที่จะทำในสิ่งผิดกฎหมาย มันคือความท้าทายและการก้าวข้ามขีดจำกัดของตน คือการค้นหาความตื่นเต้นในชีวิต คือสิ่งเสพติดชนิดหนึ่งที่ยากจะถอน และแน่นอนว่ามาร์คัสมีมันอย่างเต็มเปี่ยม
ทั้งความต้องการส่วนตัวไปจนถึงความนับถือที่เขามีในตัวของริชาร์ดทำให้มาร์คัสตัดสินใจเข้าร่วมกลุ่มดังกล่าวอย่างรวดเร็ว เขาในตอนนั้นต้องการเพียงแค่เรื่องสนุกและความท้าทาย กว่าจะรู้ถึงความอันตรายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังก็เป็นตอนที่เขาอยู่ในจุดที่ยากจะถอนตัว เขาถลำลึกเกินไปโดยที่ไม่มีอำนาจมากพอสำหรับการต่อรอง ท้ายที่สุดแล้วทุกการกระทำของเขาจึงกลายเป็นการแสวงหาผลประโยชน์
กฎหลักของโลกฝั่งนั้นคือทำอย่างไรก็ได้ให้ตนสูญเสียน้อยที่สุด ไม่มีข้อเสนอที่ยุติธรรมหรือการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม มีเพียงผู้ที่ได้ผลประโยชน์มากที่สุดเท่านั้นที่จะอยู่รอด
และแดนเนลก็ใช้กฎนั้นในการบีบให้มาร์คัสยอมให้ความร่วมมือด้วย
"แบบไหน?"
"ก็แบบที่ขุดหลุมพรางเอาไว้ ใช้ตัวเองเป็นเหยื่อล่อ แล้วก็ตกลงไปในนั้นพร้อมกับอีกฝ่าย"
"แล้วมันไม่ดีหรือไง?" แดนเนลเลิกคิ้วถาม "อย่างน้อยมันก็สำเร็จ"
"แต่คุณไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น" เจย์เดนสบตากับคนตรงหน้า "ผมไม่อยากให้คุณเอาตัวเองไปกระแทกกับทุกสิ่ง มันยังมีวิธีอื่นอีกมากที่ทำให้คุณได้ในสิ่งที่ต้องการโดยที่คุณไม่ต้องใช้ตัวเองเป็นเครื่องมือ"
ร่างผอมโปร่งเผยยิ้มบางเบาออกมาเมื่อได้ยิน
"ความเถรตรงของคุณเป็นเรื่องดีนะเจย์เดน แต่มันใช้ไม่ได้กับทุกคนหรอกนะรู้ไหม" แดนเนลเอ่ย "คุณคิดว่าการที่มาร์คัสเข้าร่วมกับริชาร์ดเป็นเพราะอยากได้ชื่อเสียงหรือเงินทองเหรอ? มันไม่ใช่แค่นั้น แต่มันคือความเคารพ ความไว้เนื้อเชื่อใจ และการจะให้เขาหักหลังไอดอลของตัวเองแบบทันทีทันใดน่ะมันไม่ใช่เรื่องที่ง่ายเลย"
"เพราะงั้นคุณเลยยอมเอาเอาความเจ็บปวดของตัวเองไปแลก เพื่อคำให้การที่อาจจะมีหรือไม่มีประโยชน์ก็ได้อย่างนั้นใช่ไหม"
"เปล่าเลย ทุกสิ่งที่ผมบอกเขาไปน่ะคือความจริงที่เขารู้ดีอยู่แล้วต่างหาก"
"รวมถึงเรื่องที่เขาบอกว่าคุณเป็นคนทรยศด้วยงั้นเหรอ?"
"นั่นก็ใช่ ผมเป็นคนทรยศจริง ๆ" แดนเนลยอมรับ "อันโนวคือสถานที่หล่อหลอมและส่งให้ผมมายืนอยู่ตรงนี้ ตรงหน้าคุณนี่ เพื่อมาไล่จับเพื่อนเก่าของตัวเอง ไล่จับพวกเดียวกันในอดีต บางทีชีวิตมันก็น่าตลกนะว่าไหม"
ร่างผอมโปร่งแค่นยิ้มออกมาเมื่อเอ่ยจบ เพราะไม่ว่าอย่างไรความจริงที่เขาเป็นหนึ่งในตัวหลักของซีไอเอที่กวาดแฮกเกอร์จากอันโนวจำนวนไม่น้อยเข้าคุกไปในช่วงหลายปีมานี้ก็ไม่มีทางเปลี่ยน บางคนสามารถปกปิดตัวตนมาได้นับสิบปี ทว่าเขาก็เป็นคนลากไส้คนพวกนั้นออกมา กระชากหน้ากากและเผยโฉมของคนเหล่านั้นในที่แจ้ง
มันจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยสักนิดหากมาร์คัสจะตราหน้าว่าเขาเป็นคนทรยศ แดนเนลรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้วตั้งแต่วันที่เขาตกลงเซ็นสัญญาตกลงร่วมงานกับซีไอเอ เขารู้เรื่องทั้งหมดนี้ดีและรู้มาโดยตลอด
[tbc.]
***หากมีข้อมูลที่ผิดพลาดประการใดก็สามารถบอกเรามาได้เลยนะ เราจะรีบทำการปรับแก้ให้อย่างเร็วที่สุดค่ะ***
________________________________________
ตอนนี้เป็นตอนที่เหนื่อย...เหนื่อยโฮก...เหนื่อยมากจริงๆค่ะ
ไม่รู้จะให้แสดงอารมณ์ยังไงกันครบทุกคน /ปาดเหงื่อ
สาพาบว่าให้เราไปเขียนฉากไล่ล่ายิงปืนโป้งป้างติดกันสิบตอน
ยังเหนื่อยน้อยกว่าเขียนฉากสอบสวนเสียอีก ;w;)
โกหกนะ ฉากไล่ล่าสิบตอนก็เหนื่อย...
หากเจอคำผิดหรือประโยคที่อ่านแล้วแปลกๆงงๆก็สามารถทักท้วงมาได้เลยนะคะ
แล้วเจอกันตอนหน้าค่ะ
#ฟิควรบจด
how to comment ใน minimore
Note : ฟิคเรื่องนี้เกิดจากจินตนาการของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ไม่เกี่ยวข้องกับศิลปิน สถานที่ และเหตุการณ์ใดๆ และไม่ได้มีเจตนาใด ๆ จะทำให้ศิลปินเสื่อมเสียทั้งสิ้น
ชอบตอนเจย์เดนสังเกตแดนเนลสอบสวนมาร์คัส กับบทสนทนาเจย์เดนกับแดนเนลตอนท้ายๆ ด้วย อ่านแล้วคิดตลอดว่าสื่อคาแรคเตอร์ได้ดีจริงๆ แดนเนลซับซ้อนมาก พยายามปกปิดความรู้สึกด้วยการใช้คำพูดแบบไม่รู้สึก แต่สุดท้ายข้างในมันก็ออกมาอยู่ดี นี่คิดด้วยว่าแดนเนลคงยิ่งมองริชาร์ดเป็นยิ่งกว่าไอดอล จากลักษณะการพูดเวลาริชาร์ดคุยกับแดนเนลในตอนก่อนๆ บางทีก็สงสัยว่าแดนเนลคิดกับริชาร์ดยิ่งกว่าเพื่อนรึเปล่า ไม่งั้นก็ครอบครัว แต่อย่างหลังก็คงไม่มั้ง...?
แดนเนลก็รู้ดีว่าต้องยอมรับผลของสิ่งที่เคยทำไปและการตัดสินใจหลังจากนั้น สิ่งที่แตกสลายซ่อมไปก็ไม่เหมือนเดิม แต่เราก็จะเชียร์เจย์เดนคนจริงใจต่อไป ให้มาช่วยเยียวยาและประคับประคองจิตใจแดนเนลได้ในซักวันค่ะ ถ้าพูดอย่างขี้ชิปคือเป็นสิ่งใหม่ๆ ที่ต่างออกไปแต่ดีต่อใจแน่นอน~