เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แอ็ดมิทจิตเวชNoot Tharara
เข้าใจโรคไบโพล่าร์ จากมุมมองผู้ป่วย
  • เราว่าเราๆ ท่านๆ ต้องเคยผ่านนิยาย หรือดูละคร แล้วพบตัวละครที่เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย บทจะดีก็ดี๊ดี บทจะร้ายก็ร๊ายร้าย แล้วบทสรุปของตัวละครนี้ก็คือเป็นโรคไบโพล่าร์

    นั่นแค่ละครกับนิยายนะ ถ้าเคยอ่านนิยายในเว็บเด็ดดี เว็บยอดนิยมของวัยใสไทยแลนด์ จะพบอาการโรคไบโพล่าร์ที่แอดว๊านซ์กว่านี้ไปอีก เช่น ตัวละครที่เป็นแฟนเก่าพระเอกตบตี ทำร้ายร่างกาย ด่าทอนางเอกสารพัด แล้วก็สลบไป ตื่นขึ้นมาก็จำไม่ได้ว่าตัวเองร้ายใส่นางเอกยังไง กลายเป็นคนดี อ่อนไหวง่าย ร้องไห้รัวๆ แล้วพระเอกกับนางเอกก็มารู้ทีหลังว่าตัวละครนี้เป็นโรคไบโพล่าร์ โอ่โห่ นี่มันนิยายแฟนตาซีแล้ว

    เมื่อหายอึ้งกับความแอดว๊านซ์ เราก็เลยคิดได้ว่า น่าจะลองเล่าอาการของโรค จากมุมมองของผู้ป่วย เพื่ออรรถรส ความสมจริงที่ดีขึ้นของนิยายในเว็บเด็ดดี


    ต้องอธิบายกันแบบวิทย์ๆ ก่อนว่าโรคนี้เป็นโรคทางอารมณ์ เกิดจากความสมดุลของสารเคมีในสมองผิดปกติ ทำให้เรารู้สึกนึกคิดผิดปกติไปด้วย ความคุมไม่ค่อยได้ อารมณ์จะสวิง 2 episode ได้แก่ Mania กับ Depress คร่าวๆ ก็ประมาณนี้

    ทำไมต้องอธิบายกันแบบวิทย์ๆ ก่อนน่ะหรอ เพราะจากประสบการณ์เราและเพื่อนผู้ป่วยด้วยกัน เมื่อคนรอบข้างรู้ว่าเราเป็น ทุกคนต้องเคยเจอคำถามนี้ 'มึงไปทำเวรทำกรรมกับใครไว้รึเปล่า แล้วเจ้ากรรมนายเวรเขาจะมาเอาไปอยู่ด้วย' ฟังแล้วก็ปวดตั้งแต่ใจลงไปถึงม้าม ทำเวรทำกรรมอะอาจจะเคย แต่โรคนี้ไปสะเดาะเคราะห์แล้วสบายใจขึ้นแต่อาการไม่ดีขึ้นนะคะ เราต้องไปหาหมอและกินยา

    และโรคนี้ก็แบ่งเป็น 2 type ได้แก่
    1. Bipolar I disorder คือ มีอาการเมเนีย สลับกับช่วงซึมเศร้า หรืออาจมีอาการเมเนียเพียงอย่างเดียวก็ได้
    2. Bipolar II disorder คือ มีอาการซึมเศร้า สลับกับช่วงไฮโปเมเนีย (hypomania)



    อาการของโรคนี้จะสวิงเป็นสองแบบ คือ ร่าเริง กับ ซึมเศร้า สิ่งที่เราเห็นคนเข้าใจผิดในจุดนี้คือ บางคนที่ดูสื่อที่ให้ความรู้สึกเศร้า สะเทือนใจ ก็ร้องไห้ตาม สักพักเจอบางอย่างที่ทำให้หัวเราะ ก็หัวเราะตาม หรือ ตอนอยู่ในห้องคนเดียวเราก็รู้สึกซึมๆ เศร้าๆ พอได้ออกไปข้างนอก ไปเจอเพื่อนเจอแฟน ก็รู้สึกสดใสกระปรี้กระเปร่า ก็เลยสงสัยว่าตัวเองเป็นโรคไบโพล่าร์เปล่าหว่า เพราะอารมณ์เปลี่ยนแปลงปุ๊บปั๊บ (แต่บางคนเป็นแบบนี้ก็รู้ว่าไม่ใช่โรค แค่พูดเล่นเฉยๆ )

    ต้องอธิบายกันว่า อาการ Mood Swing  ของโรคนี้เนี่ย ไม่ได้สลับขั้วปุบปับภายในชั่วโมงสองชั่วโมงนะ แต่เราอยู่ในแต่ละขั้วนานเป็นสัปดาห์ บางทีหลายสัปดาห์ไปอี๊กกก นานเป็นเดือนๆ ก็มี๊๊๊๊๊๊

    มา เราจะเล่าถึงอาการเมื่อเราอยู่ในแต่ละขั้วให้ฟัง

    Mania episode จากที่หาข้อมูลมา บางทีก็เรียกว่า Manic episode ขั้วนี้เรียกเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า 'ขั้วร่าเริง' คือร่าเริงจริง คึกคัก สมองแล่น มั่นอกมั่นใจ พูดไว พูดมาก อัธยาศัยดีผิดปกติ สมาธิสั้นขึ้น อยากทำนั่นอยากทำนี่ไปหมด อยากซื้อ อยากใช้จ่าย ถ้าเราเริ่มมีอาการที่กล่าวมานี้ล่ะก็ Hello, Mania episode is coming to town!!

    คึกคักร่าเริงแล้วดีมั้ย ดี ดีตอนนั้น หลังจากนั้นชิบหายเลยนะคะ อะยกตัวอย่างให้เห็นภาพ จากตัวเราเนี่ยแหละ ช่วงที่เราแมเนียมาก เราไปเดินห้างทู้กกกวัน ซื้อของมันทู้กกกวัน บางอันเราก็อยากได้เอง ก็ซื้อออ บางอันเราคิดว่าเราน่าจะได้ใช้ในวันนึงนะ ก็ซื้อออ บางอันเห็นแล้วนึกถึงคนนั้นคนนี้จัง เขาน่าจะชอบ ก็ซื้อออ ไปกับใครก็เลี้ยงเขา มีความสุขจังเลย

    ตอนนั้นเราทำงานฟรีแลนซ์ รับงานยับ อะไรเข้ามารับหมด ไอเดียมามาก สมองพุ่งมาก ไม่เคยรู้สึกฉลาดขนาดนี้มาก่อน แฮปปี้ที่ได้ทำที่ได้คิด สมองแล่นมาก ความคิดตีกันในหัวไม่หยุด จนนอนไม่หลับ กินยานอนหลับก็ไม่หลับ

    เรื่องพูดมากนี่หายห่วง ปกติก็พูดมากอยู่แล้ว ทีนี้พูดมากหนักไปอีก จนเพื่อนบอกว่าพูดมากมากจริงๆ จนตัวเราเองก็รำคาญตัวเอง

    เมื่อถึงนัดหมอ พอเล่าอาการให้ฟังจบ คุณหมอก็เตือนว่า "หมอไม่อยากให้คุณรับงานเยอะเกินไปนะคะ คือตอนนี้คุณแมเนี่ยอยู่ คุณจะสนุกกับการทำงาน แต่มันจะพังตอนคุณกลับไปอีกขั้วนึงนะคะ" นอกจากนี้หมอก็ยังให้ทำบันทึกรายรับรายจ่ายมาส่งหมอด้วย ตอนนั้นก็ยังนึกภาพไม่ออก

    ไม่นานหลังจากนั้นเราก็สลับขั้ว โอ่โห่ เหมือนก่อปราสาททรายสูงสองเมตรแล้วมันล้มทับตัวเองอะ หลังจากซื้อนั่นซื้อนี่มา เงินก็หมด เงินเก็บที่วางแผนการใช้ แผนก็ล่มไม่เป็นท่า ของนี่ก็ไม่รู้ซื้อมาทำไม รู้สึกผิดกับครอบครัวจัง เราใช้เงินไร้สาระขนาดนี้ น้ำตามา1

    เรื่องงาน ไอเดียที่คิดค้างไว้ก็แห้งคาหัวอยู่นั่นแหละ เพราะไม่มีกะจิตกะใจ ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น เห็นกองงานแล้วรู้สึกว่านายจ้างโหดร้ายกับเราจัง ไลน์คุยงานทั้งวันทั้งคืน เราไม่สบายเขาก็ไม่สน (เอ๊าอีนี่ ก็มึงรับงานเองอะ) แต่กระนั้นก็ฝืนตัวเองทั้งน้ำตาปิดจ๊อบที่รับมาแล้ว แล้วก็งดรับงานไปเลย

    *เคสเรานี่ยังเล็กน้อยนะ มันมีเคสแบบฉันรวย ฉันมีเงิน ซื้อของให้ตัวเองไม่พอ ซื้อทองแจกคนอื่นไปอี๊กกก ทั้งยังเล่นหุ้น ลงทุนนั่นนี่ แบบนี้นี่พอดีเพรสทีนี่หนักเลยค่ะ หมดตัวแถมหนี้บึม เศร้าหนักเลยทีนี้

    *มีเคสมีอำนาจพิเศษด้วยนะ แบบฉันมองเห็นอนาคต ฉันสื่อสารกับเทพได้ ฉันฟันแทงไม่เข้า แรกๆ ผู้ป่วยประเภทนี้จะเปิดสำนักทรงเจ้าก่อน รับดูดวง รับคุยกับเทพ สื่ิอสารกับวิญญาณ ใบ้หวย พอใบ้แล้วไม่ถูกก็จะแสดงอิทธิฤทธิ์โดยการฟันแทงร่างกายตัวเองโชว์ นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นของการหามกันส่งห้องผู้ป่วยฉุกเฉิน ตามด้วยหอพักผู้ป่วยจิตเวช

    ที่ * ไว้คืออาการของ Bipolar I คือจะแมเนียรุนแรงมาก Bipolar II มาไม่ค่อยถึงขั้นนี้ เท่าที่เราเจอ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักจะได้แอ็ดมิทตอนที่อยู่ขั้วแมเนียเนี่ยแหละ


    Depress episode เรียกง่ายๆ ว่าขั้วซึมเศร้า ขั้วนี้ของผู้ป่วยโรคไบโพล่าร์จากเหมือนกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเลย เป็นจุดที่ทำให้ยากต่อการวินิจฉัยว่าจริงๆ แล้วเราเป็นไบโพล่าร์หรือซึมเศร้ากันแน่ อาการคือ เศร้าไปหมด หดหู่ เก็บตัว ไม่อยากสุงสิงกับใคร ไม่อยากมีชีวิต ไม่อยากทำอะไร ไม่มีสมาธิทำอะไรเลย กินไม่ได้ นอนไม่หลับหรือนอนมากไป มีเรื่องตายวนเวียนอยู่ในหัว บางทีก็มีหงุดหงิดร่วมด้วย

    'เอ๊า ถ้าเหมือนกัน งั้นกินยาตัวเดียวกันได้ป่ะ' ไม่ได๊ ไม่ได้นะคะ เพราะยาต้านเศร้าของผู้ป่วยโรคซึมเศร้าเนี่ย เขาซึมเศร้าอย่างเดียว เขาต้องกินยาเพื่อไปกระตุ้นให้ร่าเริงขึ้นเท่านั้น ส่วนผู้ป่วยไบโพล่าร์ที่มีสองขั้ว ต้องกินยาที่คอยดึงอารมณ์ทั้งสองขั้วให้สมดุลนะคะ ถ้าขืนไปกินยาต้านเศร้าของผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ยาจะไปกระตุ้นขั้วแมเนียค่ะ จะทำให้ร่าเริงเกินไป ซึ่งไม่ดีค่ะ

    ส่วนตัวเรานี่ถ้ากำลังจะเปลี่ยนจากขั้วแมเนียมาเป็นขั้วดีเพรส เราจะหงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียง่าย อะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมดอยู่ประมาณหนึ่งสัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะทรานฟอร์มจากขั้วแมเนียเข้าสู่ขั้วดีเพรสอย่างเต็มตัว

    เช้าลืมตาขึ้นมาก็เจอแต่เรื่องเดิมๆ ไม่มีใครมาเติมชีวิตให้เป็นเรื่องใหม่ ไม่อยากลุกออกจากเตียง อยากหลับอีก ถ้าหลับแล้วไม่ตื่น หายไปเลยยิ่งดี แต่ก็ไม่ได้ สักพักเราก็ลุกไปทำกิจวัตรอย่างไม่มีใจจะทำ ก็คนมันไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้วอะ จะอาบน้ำกินข้าวไปทำไม 

    พอคิดได้ว่าไม่อยากมีีชีวิต ก็รู้สึกเสียดายข้าว เสียดายเงินที่พ่อแม่ทุ่มเทเลี้ยงเรามา รู้สึกผิด เราไม่น่าได้เกิดมาเลย พอรู้สึกงี้น้ำตาก็มา

    พอคิดถึงวันพรุ่งนี้ก็มองไม่เห็นอนาคต ก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่ เห็นแค่ความตายเท่านั้น แต่เราก็ไม่ได้อยากตายป่ะวะ เรายังไม่อะไรที่อยากทำตั้งเยอะแยะ ไหนจะครอบครัวที่เรารักอีก เพื่อนอีก เมื่อความอยากตายที่เราควบคุมไม่ได้กับความอยากอยู่ที่เรารู้สึกตีกัน ก็สับสน ไม่รู้จะทำไงต่อไปดี ร้องไห้หนักเข้าไปอีก

    หลับตาลงก็มีแต่ภาพตัวเองทำร้ายร่างกาย แขวนคอเอย ถ่วงน้ำเอย กระโดดจากที่สูงเอย ทำไมมีแต่ภาพแบบนี้อยู่ในหัว ปัดเท่าไหร่ก็ไม่ยอมออก มันกำลังจะบอกอะไรเรารึเปล่า หรือเรามันสมควรตายจริงๆ แล้วก็ร้องไห้จนหลับไป

    ตอนแรกเราก็อดทน ไม่ยอมบอกใคร เพราะคิดว่ากินยาแล้วมันต้องดีขึ้น ยิ่งทนยิ่งนับวัน อาการก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเราทนไม่ไหว ตัดสินใจบอกครอบครัว แล้วก็ไปหาหมอก่อนนัด

    ซีนที่เราไปหาหมอครั้งนี้คือ เดินร้องไห้ตั้งแต่ข้ามสะพานลอยหน้าโรงพยาบาล เดินผ่านแผนกต่างๆ ไปจนถึงแผนกจิตเวช พยาบาลถามก็พูดไม่รู้เรื่อง ร้องไห้สะอึกสะอื้นหนักมาก ขนาดตรงนั้นมีหมอผู้ชายคนที่เราแอบปลื้มเราก็กลั้นน้ำตาไม่ไหว หลังจากนั้นเราก็ได้แอ็ดมิทจิตเวชรอบที่สอง

    ..................................................................

    ถามว่าเรารู้สึกเหมือนเป็นคนสองบุคลิกมั้ย ตอบว่า ไม่ค่ะ ตั้งแต่เป็นโรคนี้ก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนยังไงแล้วค่ะ มันสวิง มันตีกันไปหมด เราก็ไม่เข้าใจตัวเราเองเหมือนกัน อาจจะเพราะเรายังอยู่ในช่วงที่ต้องปรับตัวอยู่ ในวันข้างหน้าถ้าปรับตัวได้แล้ว เราว่าเราน่าจะอยู่กับโรคนี้ง่ายขึ้นค่ะ

    ส่วนเพื่อนที่รีเควสมาว่าอยากอ่านแอ็ดมิทจิตเวชรอบสาม เราอยากให้ใจเย็นๆ นะคะ นี่แอ็ดมิทเพราะป่วยนะเฮ้ย ไม่ใช่คุณติ๊ก กัญญารัตน์ที่ไปญี่ปุ่นรัวๆ เพื่อถ่ายรายการเซย์ไฮ

    สุดท้ายนี้ คอมเม้นต์ถามได้ ติชมได้นะคะ เรายินดีตอบ

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Reen Nasreen (@fb1003355549859)
ตอนแรกจะหาข้อมูลเกี่ยวกับการแอดมิทจิตเวช จะเป็นยังไงบ้าง อะไร ยังไง. มาเจอบล็อกนี้ อ่านเพลินจนต้องติดตาม ( ส่วนตัวไม่ได้ป่วยค่ะ แต่พ่อป่วย เลยมาศึกษา ). ภาษาเข้าใจง่ายมากค่ะ อ่านไปก็เข้าใจความรู้สึกของคนเขียนมาก เรียบเรียงคำพูดได้อินมากค่ะ
Seong Yuii (@hug_yui)
ขอบคุณมากนะคะ ชอบอ่านมากเลยค่ะ
Noot Tharara (@Nootsstories)
@hug_yui ยินดีมากเลยค่ะ ขอบคุณมากเหมือนกันนะคะ =)