เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แอ็ดมิทจิตเวชNoot Tharara
แอ็ดมิทจิตเวชรอบสอง: การมา
  • บันทึกลง Blog ครั้งแรกเมืื่อ 01/09/16


    หมายเหตุ แอ็ดมิทจิตเวชรอบสองจะไม่ได้เล่าเรื่องแบบไดอารี่นะคะ เพราะไม่ได้จด

    นี่ไม่ใช่ซี่รี่ส์ฝรั่งที่ต้องทำซีซั่นต่อไปเรื่อยๆ นะเหวย เรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้อยากให้มีภาคต่อหรอก แต่ว่า..

    ย้อนเวลาไป 5 วันก่อนแอดมิด เราไปหาหมอตามนัด อาการเราคงที่ คือ เฉยๆ ดาวน์ เฉยๆ ดาวน์ ไม่มีอาการ mania (ขั้วบวก) เลย คุณหมอก็เลยเพิ่มยาตัวนึงให้ จากกิน 2 เม็ดต่อวัน เป็น 3 เม็ดต่อวัน หลังจากนั้น

    วันแรก ซึม(ปกติ) แต่ก็ยังใช้ชีวิตได้ปกติ

    วันที่สอง คล้ายๆ วันแรก แต่ไม่ค่อยอยากทำอะไร

    วันที่สาม อยากอยู่คนเดียวมากขึ้น เริ่มคิดอะไรแง่ร้าย น้ำตาเริ่มมา

    วันที่สี่ เก็บตัวอยู่คนเดียว แล้วร้องไห้เงียบๆ

    วันที่ห้า เราก็ยังเก็บตัวเงียบๆ แต่วันนี้มันรู้สึกหนัก หน่วง จนรู้สึกเหมือนจะทนไม่ไหว เราร้องไห้ตลอดเลย เราเลยยอมบอกพ่อ ร้องไห้แล้วคุยกับพ่อ พ่อเราเลยให้ไปหาหมอก่อนนัด

    ...และเรื่องราวก็เริ่มต้นขึ้น

    หญิงสาวตื่นแต่เช้าเนื่องจากจังหวัดที่ตนอาศัยอยู่ห่างไกลจากโรงพยาบาลที่รักษาอยู่

    ตลอดการเดินทางโดยรสบัสประจำทางที่ขับโคตรพ่อโคตรแม่สโลว์ไลฟ์ แบบเทียบกับรถส่วนตัว ระยะทางเท่านี้เราจะใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง แต่อีรถนี่ใช้เวลา 4 ชั่วโมง ท้ายรถมีลังที่ใส่ไก่ชนตัวเป็นๆ ร้องอ่อกๆๆ ตลอดทาง รถก็เปิดเพลงไหมไทย ใจตะวันไปตลอดทาง ส่วนกู.. นั่งอยู่เบาะเยี้องๆ กับลังไก่ ร้องไห้คลอกับเสียงไก่เสียงเพลงผัวสำรองที่แม้จะใส่หูฟังเปิดเพลงของวงเดอะเยอส์แล้วก็ยังกลบไม่มิด หันหน้าออกหน้าต่างเพื่อซุกกับผ้าม่านสีฟ้าอมเหลืองขี้มูก ไม่อยากสบตาใคร โดยเฉพาะแม่ค้าขายไข่ปิ้งที่ขึ้นมาขายบนรถ

    เรานั่งน้ำตานองหน้าตั้งแต่ขึ้นรถ มีเพียงผ้าม่านสีฟ้าอมเหลืองขี้มูกคอยเช็ดน้ำตาให้ พอถึงหน้าโรงพยาบาล เราก็เดินร้องไห้ลงรถอย่างไม่อายคนบนรถ ร้องไห้ข้ามสะพานลอย ร้องไห้เดินเข้าตึก ร้องไห้เดินเข้าแผนกจิตเวช เดินร้องไห้เข้าไปเค้าท์เตอร์ พยาบาลถามว่ามาทำอะไร เราตอบไม่ได้ สะอื้นหนัก แบบว่า

    พยาบาล: วันนี้มาทำอะไรคะ

    เรา: ฮึก ฮึก มา ฮึก มา ฮึก กะ กะ ก่อนนัดค่ะ ฮึก ฮืออออ

    พยาบาลก็เลยลัดคิวให้เราชั่งน้ำหนักวัดความดัน แล้วไปนัดรอในห้องวีไอพีหลังเค้าท์เตอร์คนเดียว เราก็ขอกระดาษทิชชู่มาซับตาที่นองหน้า คุณพยาบาลก็ให้กระดาษทิชชู่ที่ใช้เช็ดมือสีน้ำตาลมาให้ ทีแรกก็แอบน้อยใจ ทำไมเอากระดาษเช็ดมือให้คนที่กำลังเศร้าใจมาซับน้ำตา แต่พอได้ซับ เออ มันซับดีว่ะ ร้องไห้ในห้องวีไอพีต่อไปยาวๆ

    รอไม่นาน เพราะน่าจะโดนลัดคิวให้ เราก็ได้พบคุณหมอที่เราหวังว่าจะเป็นผู้ชาย หรือคุณหมอหน้าตี๋ของน้องปลาคนนั้น แต่เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับคุณหมอผู้หญิงที่เราไม่เคยพบนั่งรออยู่ น้ำตาเราก็ไหลแรงขึ้นมาอีก น้อยใจในโชคชะตาชีวิต ทำไม ฮือออ

    คุณหมอก็ถามนั่นถามนี่และวินิจฉัยอาการ สรุปว่า เรามีความเศร้ามาก และมีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายสูง คุณหมอก็เลยบอกว่าจะให้เราแอดมิด ซึ่งเราคิดตั้งแต่แรกแล้วว่ายังไงเราก็จะไม่ยอมแอดมิด คุณหมอก็โทรไปกล่อมพ่อเรา พ่อเราก็บอกแล้วแต่น้อง(หมายถึงเรา) คุณหมอเลยหันมากล่อมเราอีกครั้ง เราร้องไห้หนักมาก พูดไม่รู้เรื่อง รู้ตัวอีกที สรุปว่าเราตกลงแอดมิด

    ไม่นาน เราก็กลับมาสู่บรรยากาศที่คุ้นเคยอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่เจอน้องปลา ตอนนั้นเราไม่คิดอะไรเลย ร้องไห้อย่างเดียว ไม่อยากคุย ไม่อยากกิน นอนหันหน้าเข้าผนังอย่างเดียว(เตียงเราติดกับผนัง)

    จบแล้วสำหรับเรื่องราวการมาของเรา

    แต่ครั้งนี้เราจะเล่าในพาร์ทการมาของคนอื่นด้วย

    เมื่อเราเข้ามา มีผู้ป่วยหญิงอยู่แล้ว 4 คน ได้แก่ ยายทอง พี่มิ่ง(นามสมมติ) พี่ปอ(นามสมมติ) วันแรกๆ เราไม่สนใจจะคุยกับใครเลย รวมถึงพยาบาล อย่ามายุ่งกับกู กูร้องไห้นอนมองกำแพงอยู่ ฮือออ

    จนวันถัดมา มีน้องคนหนึ่งเข้ามา พ่อแม่น้องก็พยายามกล่อมให้น้องอยู่ เตียงน้องอยู่ฝั่งตรงข้าม เยื้องๆ เรา เราก็นอนหันหน้าเข้ากำแพงไม่สนใจอะไร จนกระทั่งได้ยินท่อนนึงจากบทสนทนา

    น้อง: หนูไม่นอน ยังไงหนูก็ไม่นอน เราเอายาแล้วกลับไปกินที่บ้านก็ได้  หนูไม่ได้เป็นอะไร

    แม่น้อง: แต่หนูเอามีดจ่อคอน้านะลูก

    หือ? สันชาตญาณดิบของเราทำงานทันที ขอหันหลังให้กำแพงซักพักแล้วกลับไปมองหน้าน้อง คิดหนักเลยกู คืนนี้กูจะนอนไงวะ เตียงเราอยู่ในมุมที่พยาบาลมองเห็นตลอดเวลาใช่มั้ยวะ ถึงจะมีความคิดอยากฆ่าตัวตายแต่กูก็กลัวตายนะเหวย ฮือออ

    แล้วก็หันหน้ากลับไปร้องไห้กับกำแพงต่อ



    to be continued…


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Supattra May (@fb1015527269716)
เข้มแข็งมาก ใจทำด้วยอะไร