เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แอ็ดมิทจิตเวชNoot Tharara
แอ็ดมิทจิตเวชรอบสอง: Deep Down
  • บันทึกลง Blog ครั้งแรกเมืื่อ 02/09/16


    ถ้าไม่มีมูล หมาคงไม่ขี้ฉันใด ถ้าไม่มีอาการ คงไม่ต้องแอดมิดฉันนั้น

    ดังคำสุภาษิตญี่ปุ่นที่ว่า " 火のないところに煙は立たぬ" ที่ซึ่งไม่มีไฟ ย่อมไม่มีควัน

    ทำมาเป็นมีภาษาญี่ปุ่นลึกซึ้ง จริงๆ ก็ก้อปกูเกิ้ลมา แค่พิมพ์ 'ถ้าไม่มีมูล หมา' เพื่อหาประโยคเต็ม สุภาษิตญี่ปุ่นนี้มันก็ขึ้นมาด้วย ก็เลยเอามาใส่ด้วยเท่ๆ แค่นั้นแหละ

    เข้าเรื่องสักที เรื่องราวในหัวข้อนี้เราจะเล่าถึงความรู้สึกของเรา ที่มาที่ไปก่อนถึง 20 วันนั้นฉันแอดมิด

    ดังที่เราเล่าไปในตอนที่แล้ว สาเหตุอาจมาจากการที่เราโดนปรับยา หรือปัจจัยอื่นเราก็ไม่รู้ เราใช้ชีวิตปกติหลังเรียนจบของเราในบ้านนอกบ้านนาไปวันๆ ตื่นเช้ามาไปช่วยป้าขายขนมที่โรงเรียนประถม พักเที่ยงก็เล่าเรื่องผีให้เด็กกรี๊ดแตกเล่นๆ ตอนบ่ายก็เก็บของกลับบ้านมานั่งเล่นคอมบ้าง เกมบราวน์ฟาร์มบ้าง ตกเย็นมาก็ถอดหัวออกหากิน ล้อเล่น แฮ่ เอาใหม่ ตกเย็นมาก็ออกกำลังกายบ้าง ไปนั่งเม้านั่งคุยกับบรรดาป้าๆ บ้าง แล้วก็อาบน้ำ กินข้าว เล่นคอม เข้านอน จบแล้ว 1 วันของเรา

    ใช้ชีวิตแสนสนุกเรียบง่ายสบายๆ อย่างนี้ทุกวัน เรายังยิ้ม ยังหัวเราะ ยังเล่นมุก ยังเล่าเรื่องผีให้เด็กๆ ฟัง ยังช่วยป้าขายของตามปกติ ทุกวันที่ปกติของทุกคน แต่ในใจเราเริ่มเปลี่ยนไปทุกวัน เราเริ่มคิดมาก คิดในแง่ร้าย คิดถึงการยอมแพ้ต่อการมีชีวิต คิดถึงวิธีการฆ่าตัวตาย คิดถึงคำบอกลาที่จะทำให้คนข้างหลังเราเศร้าน้อยที่สุด เราควบคุมความคิดพวกนี้ไม่ได้ เราเจ็บปวดที่ต้องต่อสู้กับตัวเองในใจทุกวันว่านี่เป็นอาการของโรคที่เราเป็น เราไม่ได้อยากตาย เราทรมานกับการขอร้องให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ทุกวัน ในขณะที่ภายนอกเราปกติ ป้าๆ เราเขาไม่รู้ว่าเราเป็นโรคนี้เขาก็ดูไม่ออกแม้ว่าเราจะไปหาหมอบ่อยโดยอ้างว่าไปหาหมอฟัน

    ทุกครั้งที่อยู่คนเดียว ในหัวเราจะคิดแต่เรื่องเหล่านั้น น้ำตาเราก็ไหลไม่หยุด รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอเกินกว่าจะอยู่บนโลกใบนี้ ไม่อยากสู้อะไรเลย แต่เราก็ยังรักครอบครัวเรา ภาพที่แม่ทำกับข้าวให้เรากินทุกเช้าก่อนไปโรงเรียนแล้วพ่อก็ไปส่งที่โรงเรียน ภาพที่น้องชายคนเล็กชอบแอบมาหอมแก้มเรา ชอบอวดนู่นนี่นั่นแบบเด็กๆ กับเรา ภาพน้องสาวเรา(อีนุ่นมีความดีอะไรวะ ข้ามไปก่อน) ภาพป้าเราที่ตั้งใจทำอาหารที่เราอยากกินทุกวัน ภาพลุงเราที่ขับรถไปส่งเราไปขึ้นรถบัสไปโรงบาล ภาพที่เราได้ทำสิ่งที่ชอบกับเพื่อน ภาพที่เพื่อนกอดเราแล้วบอกว่าเราต้องได้เจอกันอีกนะ บทสนทนาวางแผนอนาคต ความฝันที่เราอยากทำ สิ่งที่เราอยากลอง เหตุการณ์ตลกๆ หรือเหตุการณ์ยากลำบากที่ผ่านมาด้วยกัน

    เราเสียใจที่จะทำให้คนที่เรากล่าวถึงมานี้เสียใจ แต่เราก็ทนแทบไม่ไหวกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่แล้ว เป็นเหตุผลที่เราร้องไห้ทุกครั้งที่อยู่คนเดียว หนักเข้าก็เริ่มเก็บตัวแล้วร้องไห้ มันทรมานจริงๆ นะ แม้ไม่ได้เจ็บอะไรที่ร่างกายเลย

    เราอยากจะทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง เราเป็นคนที่เชื่อว่าโลกหลังความตายคือความดับสูญ มืดสนิท แต่สิ่งดีๆ คนดีๆ ที่กล่าวมาข้างต้น คือเหตุผลที่เราขอร้องอ้อนวอนตัวเองให้ทนมีชีวิตอยู่ก่อน มันจะต้องดีขึ้น เราต้องผ่านมันไปได้ เพราะคนอื่นก็เคยผ่านมันไปได้แล้ว แต่ถึงจะคิดได้อย่างนั้น เราก็ไม่สามารถควบคุมความคิดเราได้ มันไม่เคยหยุดคิดหรือหยุดตีกันเลยในหัวเรา จนกว่าเราจะร้องไห้จนหลับไปนั่นแหละ

    แม้ว่าจะแอดมิดเข้าไปรักษาตัวในโรงพยาบาลแล้ว มีหมอ พยาบาล บุคลากรเฉพาะทางสำหรับผู้ป่วยจิตเวชคอยดูแลตลอด มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้เราดีขึ้นในช่วงแรกๆ เราคุยกับทุกคนในนั้นทั้งน้ำตา น้ำตาเราไหลไม่หยุดเลยไม่รู้ทำไม วันๆ ถ้าไม่มีกิจกรรมกลุ่ม หรือว่าง เราก็จะเอาแต่นอนหันหน้าเข้าผนังแล้วร้องไห้ หมอจะเข้ามาคุยกับเราทุกเช้าเย็น เราก็คุยกับหมอไปร้องไห้ไป มันแย่ไปหมด เหมือนเราจมดิ่ง วนอยู่แต่ในความคิดของตัวเอง หาทางออกไม่เจอ จริงๆ ตอนที่เราอยู่ในนั้นเราหวังจริงๆ ว่าการแอดมิดครั้งนี้จะเป็นการเปิดประตูให้เราหาทางออกของตัวเองเจอ และไม่เป็นแบบนี้อีก

    วันแรกที่เราแอดมิด แม่เราก็โทรมา แล้วถามว่าแอดมิดอีกแล้วหรอ ทำไมคิดอะไรแบบนั้น(นางหมายถึงความคิดในแง่ร้าย) เศร้าอะไรหรอ เราพยายามทำน้ำเสียงให้เป็นปกติที่สุด แล้วก็บอกแม่ว่า หมอให้มาปรับยาเฉยๆ เหมือนครั้งที่แล้วแหละ ไม่มีอะไรหรอก แม่เราก็บอกว่ารีบหายรีบออกมา จะพาไปเหมาเซ็นทรัล เรารู้ว่ามันเป็นประโยคที่แม่พูดให้เราผ่อนคลายและมีกำลังใจที่จะอยากออกมา แต่ประโยคนั้นทำเราร้องให้จนพูดไม่เป็นภาษา แม่เราก็ร้องไห้ตาม หลังจากนั้นเราก็คุยกันด้วยประโยคทั่วไป เช่น กินข้าวยัง น้องไปไหน แม้ว่าจะคุยเรื่องที่ผ่อนคลายลงแล้ว เราก็ยังร้องไห้หนักอยู่ จนพยาบาลต้องขอให้วางสาย หลังจากวางสายจากแม่ เราก็กลับไปนอนร้องไห้หนักมากๆ ที่เตียงต่อ สะอื้นลั่นหอผู้ป่วยจิตเวชเลย จนพยาบาลเข้ามาถาม พยายามชวนคุยเราก็ไม่คุยด้วย วันนั้นเราร้องไห้อยู่เกือบสองชั่วโมง

    วันต่อมาแม่เราก็มาเยี่ยม แม่ซื้อผลไม้กับนมไวตามิ้ลค์รสที่เราชอบกินมาถูกด้วย เราก็ถามก็คุยกัน ด้วยประโยคปกติที่คนเราชอบถามคนป่วย เป็นไงบ้าง ดีขึ้นมั้ย หมอบอกจะได้ออกตอนไหน อะไรแบบนั้นเรานอนเล่นบนตักแม่จนหมดเวลาเยี่ยม แล้วแม่ก็กลับไป ผ่านไปประมาณ 20 นาที แม่เราก็เข้ามาอีกในสภาพที่ดูก็รู้ว่ารีบมา เดินมาที่เตียงเรา ตอนนั้นเรากำลังนอนซึมๆ อยู่ แม่ซื้อครีมอาบน้ำกับโฟมล้างหน้ามาให้ เพราะนึกขึ้นได้ว่าเราไม่ชอบใช้สบู่ก้อน นอกจากนั้นก็มีขนมปัง เอาไว้เผื่อเราไม่กินอาหารของโรงบาล หลังจากแม่กลับไป เราก็นอนร้องไห้อีกจนถึงเวลาอาบน้ำก็ร้องไห้ต่อให้ห้องน้ำ

    วันแม่ แม่ก็มาเยี่ยมเรา แล้วขอเราสิ่งเดียวคือขอให้เราหายจากโรคนี้ก็พอ แลกกับอะไรก็ได้

    วันนึงพ่อแม่เรามาเยี่ยมและได้พูดคุยกับหมอในห้องเล็กๆ เรารู้สึกเจ็บไปหมดที่เห็นแม่เช็ดน้ำตาออกมาจากห้อง ตอนนั้นเราต้องกลั้นน้ำตาตัวเอง แล้วเดินยิ้มเข้าไปหาแม่ ถามว่าร้องไห้ทำไม นี่ไงหนูดีขึ้นแล้ว เดี๋ยวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ได้ออกแล้ว แม่เราก็เช็ดน้ำตา เรารู้ว่าตอนนั้นแม่ก็พยายามกลั้นมันไว้ไม่ให้มันไหลออกมาอีกเหมือนกัน คุยกันสักพักเราก็บอกให้กลับได้แล้ว หมดเรื่องคุยแล้ว หลายๆ วันมาเยี่ยมทีก็ได้

    เราออกจากวังวนความคิดความรู้สึกที่เราควบคุมไม่ได้ของตัวเองไม่ได้ ไม่ว่าหมอจะสอนให้เราฝึกวิธีทางจิตวิทยานั่นนี่ หรือพูดอธิบายอะไร เราก็เหมือนจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ เพราะเราไม่เคยหลุดพ้นออกจากความคิดความรู้สึกพวกนั้นได้เลย

    สารภาพว่าหัวข้อนี้เราพิมพ์ไปทั้งน้ำตา เรายังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ดี



    to be continued…


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in