บันทึกลง Blog ครั้งแรกเมืื่อ 02/09/16
เมื่อสถานการณ์ดำเนินมาถึงที่จุดที่เรามีว่าที่ฆาตรกรมานอนร่วมห้อง เราจึงต้องพักการร้องไห้กับกำแพงไว้ก่อน แล้วลองถามชื่อพี่เตียงข้างๆ ที่ดูจะคุยง่ายที่สุด เผื่อว่าเราต้องช่วยกันเอาชีวิตรอด ซึ่งก็คือพี่มิ่ง เออ แกคุยง่ายจริงๆ พอเราเริ่มคุยกับพี่มิ่ง แกก็พาเราคุยไปทั่ว ไปๆ มาๆ เลยสนิทกันหมด รวมถึงน้องคนนั้นด้วย น้องมีน(นามสมมติ) จริงๆ น้องเป็นคนตลกนะ คุยสนุก จนเราลืมความรู้สึกตอนกลัวน้องตอนแรกไปเลย แต่ยกเว้นยายทอง ที่เรามีโลกส่วนตัวกับกำแพงฉันใด ยายทองก็มีโลกส่วนตัวกับห้องน้ำฉันนั้น ถ้ายายทองไม่อยู่ที่เตียงแปลได้ว่าแกอยู่ห้องน้ำแน่นอน
หลังจากนั้นเราก็ชวนกันคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้ ประสบการณ์ต่างๆ เหมือนเรามีเพื่อน อาการซึมเศร้าเราก็ลดลง ต้องยกความดีความชอบนี้ให้น้องมีนจริงๆ ที่ทำให้พี่คิดจะผูกมิตรกับคนอื่น
ไปๆ มาๆ เรากับน้องมีนก็กลายเป็นคู่ที่สนิทกันที่สุด อาจจะเพราะวัยใกล้กัน ตามกันต้อยๆ ตลอด ได้ฉายาว่าแฝดนรก เพราะชอบสังเกตุพฤติกรรมยายทองแล้วมาขำ
แต่จริงๆ เรารักยายทองนะ มีวันนึงแม่เราบอกจะมาเยี่ยม แล้วก็ติดธุระด่วนมาเยี่ยมไม่ได้ เราก็ไม่ได้แซ๊ดอะไรนะ ก็นั่งเล่าให้พี่มิ่งซึ่งเตียงอยู่ข้างๆ ยายทองฟัง แกได้ยินแกก็บอกว่า "มาๆ เดี๋ยวเป็นแม่ให้วันนึงก็ได้" แล้วก็อ้าแขนให้เรา เราก็ตลกนะ แต่เราก็กอดกับแก เราเลยแหย่ไปว่า เป็นแม่ลูกกันคืนนี้เรานอนเตียงเดียวกันเนาะ ยายทองก็บอก ได้ๆ ไปขนหมอนขนผ้าห่มมาเลย(จริงๆ เขาห้ามนอนเตียงคนอื่นเด้อจ้า) เราก็ขนหมอนขนผ้าห่มมานอนเตียงเดียวกับยายทอง นังน้องมีนก็ไม่ยอมน้อยหน้า นางก็ขนหมนขนผ้าห่มมานอนกับพี่มิ่งเตียงข้างๆเหมือนกัน ไม่นาน ยายทองก็ทำอาชีพของแก คือเข้าห้องน้ำ เราก็นอนคลุมโปงรออยู่บนเตียงคนเดียว สักพักเจ้าหน้าที่ก็เข้ามา เหมือนเตรียมจะทำอะไรสักอย่าง สะกิดๆ เรา "ยายทองๆ ได้เวลาแล้ว" เราก็เปิดผ้าห่มมา เจ้าหน้าที่ก็ตกใจ ถามหายายทองใหญ่เลย เราก็บอกแกเข้าห้องน้ำ วันนี้เราเป็นลูกแกเราเลยมานอนกับแก อบอุ่นๆ พยาบาลรีบไล่เรากับนังมีนกลับเตียงเลย และคำว่าได้เวลาที่เจ้าหน้าที่(ตั้งใจจะ)พูดกับยายทองคือ ได้เวลาฉีดยา เราเกือบโดนฉีดยาที่ก้นแทนยายทองแล้วมั้ยล่ะวันนั้น
นอกจากสังเกตพฤติกรรมยายทองแล้ว เรายังชอบเปิดคอนเสิร์ตด้วย นำทีมโดยน้องมีน เพราะน้องเขาเสียงดีจริงนะ เราก็ได้แต่กรี๊ดกร๊าด เป็นแฟนคลับให้ เพราะร้องเพลงแล้วเหมือนท่องบทร้อยแก้ว พี่มิ่งกับพี่ปอก็มากรี๊ดกร๊าดด้วย ส่วนยายทองเป็นแม่ยก ไปจิ๊กขนมพยาบาลมาเป็นรางวัล บางทีก็เป็นหางเครื่องด้วย(แม้ว่าจะเป็นเพลงช้า)
พอมีสังคมเราก็รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นนะ ไม่นอนร้องไห้แล้ว จนนักศึกษาแพทย์ที่เขามาสัมภาณ์เราวันที่เข้ามาแรกๆ ยังทักเลย เรายินดีตอบคำถามมาก เพราะเขาหล่อ ตอบไปก็เขิลไป อยากให้มาถามบ่อยๆ ถ้ายังไม่ชัดเจนก็เอาไลน์เราไว้ไลน์ถามก็ได้(คิดในใจ)
นอกจากในหอหญิง เรายังมีมิตรในหอชายด้วยนะ เริ่มจากตาสวง(สะ-ว๋ง) เป็นตาอ้วนๆ แก่ๆ แกชอบมาแหย่เราเวลาเราดูทีวี แกจะพูดงงๆ วนไปวนมา แซะเราเบาๆ บางครั้งก็ทำสายตาเจ้าชู้ใส่ ซึ่งมันดูตลกมากกว่า ชอบมาหยอกเราเล่นประจำ จนวันนึงเราเดินผ่านแกที่กำลังคุยกับผู้ป่วยชายคนใหม่ หน้าตาดูเด็กกว่าเราสี่ห้าปี ตาสวงกวักมือเรียกเรา เราก็เข้าไป นึกว่ามีอะไร แกบอกว่า "มาฟังมันพูดแทนที ขี้เกียจฟัง ปวดขา จะไปนอน" แล้วแกก็เดินไป เราก็ทำหน้างงๆ ยังไม่ทันตอบอะไร น้องผู้ชายคนนั้นก็หันมา ช้อนสายตามองเราแล้วถามเราว่า "พี่พร้อมจะฟังเรื่องของผมรึเปล่าล่ะครับ" ในใจตอนนั้นคือ ตาสวงปูทางมาแบบนี้ มึงถามกูต่ออีกด้วยประโยคนี้ ด้วยท่าทีแบบนี้ ถ้ากูตอบว่า "ไม่" กูก็เหี้ยสิ ก็เลยกลายเป็นว่า ตั้งใจจะเดินไปดูทีวี เสือกบังเอิญผ่านตาสวงกับเด็กนี่พอดี๊ กูเลยอดดูทีวี แล้วมานั่งฟังชีวประวัติมัน ได้ความว่า มันชื่อบอล(นามสมมติ) ตอนนี้อยู่มอหก ที่มีปัญหามาจากครอบครัว จับใจความได้แค่นี้ ได้แต่พยักหน้าทำหน้าเข้าอกเข้าใจมันไปแบบงงๆ อยู่เกือบชั่วโมง ฟังมันเสร็จก็ถึงเวลากินข้าวพอดี กว่าจะกินข้าวเสร็จ หนังที่เราตั้งใจจะไปดูก็จบพอดี ปวดใจ
วันต่อมาก็มีผู้ป่วยชายใหม่เข้ามา เอ๊ะ หน้าคุ้นๆ นั่นมันพี่หลีดที่แอดมิดพร้อมเราครั้งที่แล้วนี่ ออกพร้อมกันด้วย จำได้ เราก็ดีใจ พี่หลีดเป็นคนใจดี เฮฮา อะไรที่เราแกะไม่ได้เราก็ใช้แกแกะให้ตลอด เราเลยเรียกแกว่าพ่อหลีด ที่นี้อีบอลมันผูกเชือกเสื้อคนป่วยไม่เป็น มันก็ให้พี่หลีดผูกให้ เรากับมันเลยเป็นลูกพี่หลีดเป็นครอบครัวไปเลย(โดยมีแม่เป็นยายทอง)
เคสของน้องบอลดูเหมือนจะหนักนะ แอดมิดครั้งแรกก็โดนช๊อตไฟฟ้าเลย และต้องช๊อตถึง 6 ครั้ง โหววว ปัญหามันอยู่ที่ผลข้างเคียงของการช๊อตไฟฟ้า คือหลังจากช๊อตไฟฟ้า คนเรามักจะลืมว่าเรามาอยู่ที่นี่ได้ไง เธอเป็นใคร ที่นี่ทีไหน เดินเซๆ พูดงงๆ บางคนก็เป็นแค่บางอาการ บางคนก็เป็นทุกอาการ และอีน้องบอลมันเป็นทุกอาการ ปัญหาคือ หลังจากตื่นจากการช๊อตไฟฟ้า มันก็จะถามคนแถวนั้นว่าที่นี่ที่ไหน มันมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง พ่อหลีดที่มักจะเป็นคนแถวนั้นของมันก็ต้องคอยตอบคำถามซ้ำๆ มันจำพี่หลีดได้ จำชื่อเราได้ แต่จำไม่ได้ว่าเราคือใคร ดังนั้นมันก็จะเริ่มเล่าปัญหาชีวิตของมันให้เราฟังใหม่ เราบอกว่าแกเล่าไปแล้ว มันก็เถียงว่าตอนไหน มันไม่ยอม แล้วมันก็เล่าต่อไป แม้ว่าเราจะนั่งดูทีวีไม่มีท่าทีสนใจมันสักนิดก็เถอะ นอกจากนี้ มันยังชอบไปเกาะเค้าท์เตอร์พยาบาล ขอทุกวันว่าอยากจะออกพรุ่งนี้ เจอหมอก็ขอหมอ มันทำแบบนี้ทุกวันจริงๆ แล้วเราก็เห็นว่ามันก็ได้คำตอบเดิมกลับมาว่า "ไม่ได้นะคะ" เรากับพ่อหลีดต้องคอยห้ามมันไม่ให้ไปก่อกวนหมอ ครั้งนึงเราสะใจมาก เราบอกมันว่า แกไปถามทุกวัน แล้วเขาก็ปฏิเสธแกทุกวัน วันนี้ก็จะปฏิเสธอีก ไม่ต้องไปหรอก มันก็ยังรั้นจะไป เราเลยพนันว่า ถ้าหมอไม่ปฏิเสธมัน เราจะยกของเยี่ยมของเราทั้งหมดในตู้แช่ให้มันหมดเลย(ซึ่งก็มีส้มโอกับมะม่วงเปรี้ยว) แล้วถ้าหมอปฏิเสธมา น้องบอลคนดีบอกว่าจะยกเค้กในตู้เย็นให้เลย
แน่นอนว่า เราได้กินเค้ก แต่ก็ไม่ได้กินคนเดียวหรอก กินกันสามคนนี่แหละ พ่อหลีด เรา น้องบอล เค้กอร่อยมากกก
นอกจากกับผู้ป่วยด้วยกันแล้ว เรายังผูกมิตรกับป้าแม่บ้านด้วยนะ แกเอ็นดูเราจนเรียกเราว่าลูกสาวคนเล็ก เราขออะไรได้หมด มันเลยทำให้เตียงเรามีหมอนแบบนุ่ม 3 ใบ (หมอนโรงบาลจะมีแบบนุ่มกับแบบหนังแข็งๆ) และผ้าห่ม 5 ผืน และเราไม่ชอบอากาศหนาว ป้าแกก็จะไม่เปิดแอร์ฝั่งเราเลย ไงล่ะ เส้นใหญ่ก็เงี้ย
สักพักเตียงพี่มิ่งก็ต้องเลื่อนออกไป เพราะจะมีเตียงใหม่เข้ามา ผ่านไปวันกว่าๆ ถึงได้รู้ชื่อเสียงเรียงนามกัน พี่ฝ้าย เป็นสาวสวย หุ่นวิคตอเรียส์ซีเคร็ตเลยแหละ เพราะแกรักการไปฟิตเนส หน้าก็สวยไม่ใช่แบบพิมพ์นิยม ผิวก็แทน นี่มันไอดอลในอุดมคติเราชัดๆ พอคุยกันก็ถูกจริตไปอีก นางก็แชร์ครีม แชร์เคล็ดลับความสวยนั่นนี่มา แถวยังพาฟิตซิกแพคอีกด้วย เพื่อนมาเยี่ยมก็เยอะ ขนมนางเยอะจนล้น เรากับนังมีนเลยได้อานิสงส์ขนมนมเนยไปด้วย
to be continued…
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in