บันทึกลง Blog ครั้งแรกเมืื่อ 02/09/16
แม้ว่าภายนอกเราจะดูอารมณ์ดีแค่ไหน ขี้เล่น ก่อกวนเจ้าหน้าที่เพื่อความสนุก ยุยายทองกดปุ่มฉุกเฉิน อารมณ์เราตอนนั้นอยู่ในช่วง mania แต่ในหัวเราก็มีความคิดแง่ร้ายคอยรบกวนอยู่เรื่อยๆ เราสนใจเกี่ยวกับการฆ่าตัวตาย เราสงสัยว่า ในนี้มิดชิดแค่ไหนกัน ปลอดภัยพอที่จะทำร้ายตัวเองไม่ได้หรอ ด้วยความที่ดูหนังสืบสวน ฆาตรกรรมมาเยอะ เราก็เลยลองวางแผนการฆ่าตัวตายในหอพักผู้ป่วยจิตเวชเล่นๆ
ขั้นแรกเลย เราสำรวจความเป็นไปได้ของสถานที่ก่อนว่ามีมุมไหนที่จะก่อเหตุได้บ้าง แล้วเราก็พบว่า ตรงระเบียงตากผ้าเช็ดตัวที่มีลูกกรงหนาแน่น และแข็งแรงมาก ซึ่งตรงระเบียงนี้จะมีเวลาเปิดปิด ช่วงเช้าจะเปิด 06.00 น. - 08.00 น. ช่วงเย็นจะเปิด 14.00 น. - 16.00 น. ช่วงเวลานี้จะไม่มีเจ้าหน้าที่มาพลุกพล่าน แต่คนไข้ก็อาบน้ำเสร็จก่อนเวลาตลอด ประตูของระเบียงจะถูกล็อคจากด้านระเบียง และเจ้าหน้าที่มักจะมาปิดตรงเวลาตลอดหรือไม่ก็ปิดเลท อืม ได้สถานที่ละ1
อุปกรณ์ เราเล็งเชือกมัดกางเกง ทีแรกเล็งชายผ้าห่ม แต่กว่าจะตัดทำเป็นเชือกเสร็จ โดนจับได้พอดี ตอนนอนที่เขาปิดไฟแล้ว เราก็ลองรูดสำรวจเชือกดู ว่าเขามัดเป็นปมไว้ตรงไหน ปรากฏว่าเขาไม่ได้มัด เขาเย็บติดกัน กางเกงโรงบาลมี 2 แบบ คือแบบเชือกผูกกับแบบยางยืด ซึ่งมันมีเชือกทั้งคู่ เราก็สำรวจแล้วว่าแบบเชือกผูกความยาวเชือกมากกว่า แต่ต้องหาอะไรมาตัด ยืมกรรไกรคงไม่ได้แน่นอน เราเลยยืมกรรไกรตัดเล็บ เราไม่ได้คิดจะยืมก็เดินเข้าไปยืมนะ เรารอดูช่วงเค้าท์เตอร์วุ่นๆ แล้วค่อยไปขอยืม เพื่อที่เจ้าหน้าที่จะได้จำไม่ได้ว่าเรายืมไป เราเก็บกรรไกรตัดเล็บไว้กับตัวเองนั่นแหละ ซ่อนไว้หลังกล่องนม ที่แม่บ้านจะไม่สนใจเปิดดู นางชอบจัดตะกร้าของใช้มากกว่า เพื่อสำรวจวุตถุอันตรายของผู้ป่วยด้วย อันนี้เรารู้ เราเลยซ่อนกรรไกรตัดเล็บไว้กับของกิน เราถือว่าอุปกรณ์ครบแล้ว การตัดเชือกกางเกงเป็นขั้นตอนที่ง่ายที่สุด แบบไม่ต้องวางแผนอะไรเลย
แต่มันก็แค่แผนการฆ่าตัวตายในหอพักผู้ป่วยจิตเวชที่เราคิดเล่น ไม่ได้จะทำจริงซะหน่อย
ตลอดเวลาที่เราอยู่ในนั้น แม้ว่าเราจะอาการดีขึ้นมากแล้ว แต่เราก็ยังโดนความคิดแง่ร้ายคอยมารบกวน จนเรารู้สึกว่า อยากอยู่ กับอยากตาย มันมีเปอร์เซ็นเท่ากัน เราก็บอกหมอเรื่องนี้นะ
วันนึง เราก็คิดแว้บสงสัยขึ้นมาว่า เรามาลองพยายามฆ่าตัวตายดูดีกว่า จะได้รู้ไปเลยว่าอยากตายหรืออยากอยู่ ถ้าอยากตายก็ได้ตายสมใจ ถ้าอยากอยู่แล้วเรารอดมาได้ความคิดความรู้สึกเราจะเปลี่ยนไปมั้ย
ว่างๆ เราก็เลยเขียนจดหมายลาไว้เล่นๆ เราจะได้รู้สึกว่ามันคอมพลีท
เราใจเย็นรอจนสบโอกาส ตอนที่เรารอคิวอาบน้ำอยู่นั้น ไม่มีใครอยู่แถวระเบียงเลย เราก็รื้อตะกร้าทิ้งผ้าที่ใส่แล้ว หากางเกงแบบผูก แล้วใช้กรรไกรตัดเล็บตัดเชือก สองสามชึ้บก็ขาดแล้ว เราตัดมาสองเส้น กันพลาด พอถึงคิวเราอาบน้ำ เราก็นั่งผูกปมในห้องน้ำอย่างประณีต แล้วค่อยอาบน้ำ โดยซ่อนเชือกไว้ในกระเป๋าเสื้อตัวใหม่ที่จะใส่
ทุกคนอาบน้ำเร็ว เราก็อาบน้ำ ทาครีม ทาโลชั่น เม้ามอยกับคนอื่นๆ ร่าเริงเป็นปกติ สักพักพอไม่มีใครเข้าห้องน้ำแล้ว เราก็เดินเข้าห้องน้ำ(มันมี 2 ห้อง) ไปปิดให้เหมือนมีคนเข้าไว้ห้องนึง แล้วก็ออกไประเบียง ล็อคประตูจากทางระเบียง ปีนขึ้นไปบนกรงเหล็ก จนคิดว่าสูงพอที่เท้าเราจะไม่แตะพื้นแน่นอน เราก็ทำการมัดเชือกกับกรงเหล็ก เพื่อให้เชือกไม่หลุดออกมาระหว่างทำการ เราขมวดปลายเชือกด้วย หลังจากนั้นก็ใส่คอตัวเองเข้าไปในบ่วง แล้วก็ปล่อยตัวเลย
บ่วงที่เรามัดเองกับมือทำงานดีมาก เชื่อกรูดลงมาไม่ติดขัดเลย แน่นด้วย แต่นาทีนั้น นาทีที่เราโดนเชือกมัดคอแน่นๆ ภาพความคิด ความสุข สิ่งที่เราอยากทำ ความฝัน เหตุผลที่เราควรมีชีวิตอยู่ที่หมดของเราก็เหมือนพุ่งชนหัวเราอย่างแรงมาก มันมาหมดเลย เหมือนสายรุ้งที่เข้ามาปัดเป่าเมฆครึ้มออกไปอะไรอย่างนั้นเลย นาทีนั้นเรากำลังจะปล่อยตัวเองให้ห้อยต่องแต่ง เราก็ขืนตัวขึ้นมา ทำทุกทางให้ตัวเองรอด เดชะบุญที่ปล๊ายๆ ปลายๆ หัวแม่เท้าเรายังแตะกับพื้น ตอนนั้นเราไม่รู้เราทำอีท่าไหน รู้แค่ว่าต้องไม่ใช่ตอนนี้ รู้แล้วว่าไม่อยากตาย เราก็คลายบ่วงสำเร็จ แกะเชือกออกจากกรง แล้วปาทิ้งลงถังผ้าใช้แล้ว ตอนนั้นถามตัวเองแบบออกเสียงเลยนะว่า "นี่กูทำอะไรอยู่วะ" แล้วก็ออกมาจากระเบียง ขึ้นเตียงนอน พร้อมกับความรู้สึกที่ว่า ตอนนี้มั่นใจแล้วว่ากูไม่ได้อยากตาย จะต้องอยู่ และผ่านพ้นอีโรคนี้ไปให้ได้
สักพักเราก็ออกไปเล่นโดมิโน่เฉย โดยไม่มีใครสังเกตเห็นรอยถลอกที่คอเรานอกจากพ่อหลีด นางถามเราว่าคอไปโดนอะไรมา เราทำตาล่อกแล่กไม่สนใจตอบ เขาก็พยักหน้าเหมือนรู้ แล้วก็ไม่ถามอะไรอีก
วันต่อมา หมอก็มาราวด์เช้าปกติ เราก็คุยปกติด้วยอารมณ์ดี จนหมอคุยจบแล้วกำลังจะไปราวด์เตียงอื่น เราก็พูดขึ้นว่า หมอคะ หนูมีไรจะสารภาพ หนูไปแขวนคอมาค่ะ แล้วเราก็โชว์ร่องรอย
หมอตกใจ ถามถึงแรงจูงใจ เพราะเราก็ดูอาการดีแล้ว ไม่มีแนวโน้มดูทำร้ายตัวเองเลย ใกล้ได้ออกแล้วด้วย(หลังจากเหตุการณ์นี้กำหนดการออกโรงพยาบาลของเราก็ถูกเลื่อนออกไป เนี่ยแหละ ถึงได้อยู่ตั้ง 20 วัน) เราก็เล่ากว่าเราสับสนว่าเราอยากไปหรืออยากอยู่ เราเลยลองให้มันรู้ไปเลย เราเล่าความรู้สึกตอนที่เชือกรักคอเราแน่น ความคิดที่พุ่งเข้ามาตอนนั้น ทำให้ตอนนี้เรามั่นใจแล้วว่าเราอยากอยู่แน่นอน โรคนี้เป็นแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นของชีวิตเรา เราจะไม่ตัดตัวเองแค่ตรงนี้ แต่ถึงอย่างนั้น เราก็โดนกาหัวให้เป็น pt suicide idea(ผู้ป่วยที่มีแนวโน้มทำร้ายตัวเอง) อยู่ดี ชื่อคล้าย suicide squad หนังที่กำลังเข้าเลย
หลังจากนั้นเราก็ได้เข้าห้องเย็น มีอาจารย์หมอ 1 ท่าน และหมออีก 4 คนนั่งล้อมวงถามเรา เราก็เล่าแบบที่เล่าให้หมอประจำตัวเราฟังนั่นแหละ
ตอนนี้ไม่ว่าจะยังไง เราจะอยู่ เราจะไม่ยอมแพ้โรคนี้ เรามั่นใจมาก นาทีที่เชือกรัดคอมันทำให้รู้ว่า นี่มันไม่แฟร์กับตัวเองและคนข้างหลังเลย เรายังมีความสุขได้อีกเยอะ โรคนี้มันเป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตเรา ไม่ใช่ทั้งหมดอะ
to be continued…
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in