เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
แอ็ดมิทจิตเวชNoot Tharara
ก่อนที่จะได้แอ็ดมิทจิตเวช
  • บันทึกลง Blog ครั้งแรกเมืื่อ 14/07/16


    เรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องราวก่อนที่เราจะได้แอดมิดเข้าหอพักผู้ป่วยจิตเวชที่เราเล่าไปก่อนหน้านี้

    เรื่องมันเริ่มจากการที่เรามีอาการนอนไม่หลับมานานมาก เป็นระยะเวลา 4 ปีกว่าๆ ตั้งแต่ช่วงปลายๆ ม.6 จนเรียนจะจบมหาวิทยาลัย นอกจากนี้เรายังมีอาการนอนกัดฟัน เคยเครียดลงกระเพาะ

    อาการนอนกัดฟันมันส่งผลให้เราเป็นโรคข้อต่อขากรรไกรอักเสบด้วย(นอกจากนอนกัดฟันยังมีอีกหลายสาเหตุนะคะ เช่น การเคี้ยวข้าวข้างเดียว (ซึ่งเราก็เคี้ยวข้าวข้างเดียวด้วย) หรือเกิดจากการกระแทกจากอุบัติเหตุ) เราก็ไปรักษา เพราะทนอาการปวดไม่ไหว คุณหมอฟันก็แนะนำเราว่าเป็นเพราะเราหลับไม่ลึกเราถึงนอนกัดฟัน ซึ่งก็จริง เราเป็นคนหลับไม่ลึก หลับยาก และตื่นง่าย คุณหมอบอกว่าเรามีความเครียด เราก็บอกว่าเราไม่มีความเครียดอะไรนะคะ คุณหมอบอกว่าบางครั้งเราก็เครียดไม่รู้ตัว อาการของเรามันเป็นอาการของคนมีความเครียด คุณหมอก็แนะนำให้ไปหาจิตแพทย์ดู

    เราก็ว่าจะไปแหละ แต่คงรอว่างๆ ก่อน

    รอไป รอมา รู้ตัวอีกทีเราก็เริ่มเป็นคนหงุดหงิดง่าย และเซนสิทีฟมากจนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเลย จากที่เป็นคนเฮฮา เป็นตัวโจ๊กของกลุ่มเราก็เริ่มเงียบ เราเริ่มมีความคิดเรื่องฆ่าตัวตายเข้ามาในหัวเองบ่อยๆ เช่น เวลาที่เราเห็นท่อน้ำใหญ่ๆ หรืออะไรที่แขวนเชือกได้ เราก็จะนึกภาพตัวเองแขวนคออยู่บนนั้น เห็นบ่อน้ำ ก็จะนึกภาพตัวเองนอนอยู่ก้นบ่อ เห็นหน้าต่างหรือระเบียง ก็นึกภาพตัวเองปีนลงไป มันเป็นความคิดที่เราไม่ได้คิดขึ้นมาเอง มันเข้ามาในหัวเราเอง ทุกครั้งที่เห็นสิ่งเหล่านี้เราพยายามที่จะไม่มอง นอกจากนี้ เรายังมีความคิดด้านลบ คือคิดว่าตัวเองไม่สมควรอยู่บนโลกนี้ เก็บทุกคำพูด ทุกตัวอักษร ของทุกคนมาคิดมากและไปทางด้านลบ คิดแล้วก็นั่งร้องไห้เงียบๆ คนเดียวบ่อยมาก จนช่วงนั้นเราลดการเล่นโซเชี่ยลเน็ตเวิร์คลงไปเลย รวมถึงหลบหน้าเพื่อน ไม่ไปปัจฉิมนิเทศ เราไม่อยากทำนิสัยไม่ดี หรือทำตัวหงุดหงิดใส่เพื่อน(โดนทำรายงาน 20 หน้าเลย เป็นไงล่ะมึง)

    ตอนนี้แหละที่เรารู้สึกตัวว่ามันไม่ปกติ เราเองก็คอยต้านความคิดความรู้สึกลบๆ เหล่านั้นอยู่ เรารู้สึกว่าเราต้องไปหาหมอ เราก็เลยไปหาหมอที่โรงพยาบาลของมหาลัย โดยให้เหตุผลกับเพื่อนว่า เพราะนอนไม่หลับ(ตอนนั้นเรายังไม่เล่าอะไรให้เพื่อนฟังเลย) พอไปโรงพยาบาล หมอก็คิดว่าเราต้องพบจิตแพทย์ ซึ่งต้องไปจองคิวไว้ก่อน คิวยาวมาก แบบเป็นเดือน ตอนนั้นเราคิดว่าเราทนถึงตอนนั้นไม่ได้แน่ๆ ขนาดเราได้ยานอนหลับจากหมอมา ความคิดแรกที่แว้บเข้ามาในหัวเลยคือ อยากลองกินทั้งหมดนี้พร้อมกัน แล้วเราจะทนต่อไปเป็นเดือนๆ ได้ยังไง ตอนนั้นขณะที่นั่งรอรับยานอนหลับ เพื่อนก็แซวเราในไลน์ แล้วเราก็โมโหแบบความคุมตัวเองไม่ได้ ทะเลาะกับเพื่อนในไลน์ แล้วก็นั่งร้องไห้ที่หน้าแผนกจ่ายยานั่นแหละ พอถึงคิวเรา เราก็คุยกับเภสัชด้วยเสียงสะอึกสะอื้น หลังจากที่ทะเลาะแล้วเราก็เริ่มบอกเพื่อนเรื่องความคิดฆ่าตัวตาย เราก็เริ่มเล่าเราเรื่องนี้ให้เพื่อนในกลุ่มฟัง

    หลังจากวันนั้น เราก็พยายามโทรหาโรงพยาบาลที่มีแผนกจิตเวชที่เป็นโรงพยาบาลรัฐ เพราะเราไม่อยากให้ครอบครัวรู้เรื่องนี้ เราโทรไปสอบถามเรื่องการนัดและการจองคิวแทบทุกที่ พบว่าคิวยาวเป็นเดือนหมด สุดท้ายเราก็เลยตัดสินใจโทรเล่าเรื่องนี้ให้แม่ฟัง เพราะเรากลัวว่าชั่ววูบนึงถ้าเราเผลอทำตามความคิดที่เราไม่ได้คิดเองขึ้นมา ครอบครัวเราควรรู้สาเหตุบ้าง ซึ่งตอนนั้น พ่อ แม่ น้อง อยู่กันครบครอบครัว ก็เลยรู้เรื่องนี้พร้อมกันหมด แม่เราร้องไห้ แล้วพยายามเข้าใจเรา แม่เราบอกว่าให้ไปโรงพยาบาลเอกชนเลย

    ตอนนั้นต้องขอบคุณครอบครัวกับเพื่อนมากๆ ที่พยายามเข้าใจเรา ความพีคคือเพื่อนที่เราทะเลาะด้วยในไลน์ มันเป็นคนโทรไปถามแผนกจิตเวชที่โรงพยาบาลเอกชนนั้นให้เรา แล้วยังเป็นคนไปเป็นเพื่อนเรากับเพื่อนในกลุ่มที่เป็นรูมเมทเราอีกคนนึง(จริงๆ เพื่อนคนนี้ปากหมามาก แต่การกระทำคือใจดีมาก มากๆ เรารักเธอนะ ไม่อยากบอกส่วนตัว เขิน) พอเราได้พบหมอ(จิตแพทย์) หมอก็ให้ยาเรามากิน ตอนนั้นหมอบอกว่าเราเป็นโรควิตกกังวล กับมีภาวะคิดเนกาทีฟ พอกินยาเราก็รู้สึกดีขึ้นนะ บวกกับช่วงนั้นเรายุ่งๆ กับการทำโปรเจคด้วย เราแอคทีฟมาก ขยันผิดปกติวิสัยมาก ความคิดเรื่องงานพุ่งสุดๆ (แต่ด้วยความที่งานมันหนัก เพื่อนเราที่เป็นรูมเมทเลยช่วยทำรายงานปัจฉิมนิเทศ 20 หน้านั้นให้ ขอบคุณอีกครั้งมา ณ ที่นี้ด้วยค่าาา)

    จริงๆ หมอบอกว่าเราต้องนัดมาปรับยาอย่างต่อเนื่องนะ แต่เรากำลังจะเรียนจบ เราเลยบอกว่า ขอแค่พยุงอาการไม่ให้แย่จนถึงช่วงนั้นก็พอ แล้วเราจะกลับไปรักษาที่โรงพยาบาลใกล้บ้านที่มีแผนกจิตเวช ซึ่งเราโทรถามแล้ว ไม่ต้องต่อคิว มาวันนี้ได้พบจิตแพทย์วันนี้

    หลังจากเรียนจบ เรามาพบจิตแพทย์ที่โรงพยาบาลที่เรารักษาอยู่ปัจจุบัน ตอนนั้นหมอก็ถามอาการเรา เราก็เล่าทั้งหมด หมอก็วินิจฉัยว่าเข้าข่ายโรคไบโพล่าร์ แต่อาการยังไม่แน่ชัด หมอก็ให้ยามากิน แล้วอาทิตย์หน้านัดมาให้

    1 สัปดาห์ผ่านไป

    พบว่าช่วงที่เรากินยานั้น เราอารมณ์ดี แอคทีฟมากกว่าปกติเยอะมาก ใช้เงินเยอะ ช่างพูดช่างคุยกว่าปกติไปอีก เราขยันมาก อยากทำนั่นทำนี่ ช่วงนั้นเรารับงานเยอะเลย เมื่อมาพบหมอแล้วหมอถามอาการ หมอก็เลยฟันธงว่าเราเป็นไบโพล่าร์ และเตือนว่าไม่อยากให้รับงานเยอะ เพราะพอเราเข้าอีกขั้วของอารมณ์ เราจะทำอะไรไม่ได้เลย งานที่รับมาก็จะเสีย หมอไม่อยากให้เราทำงานด้วยซ้ำ อยากให้เราพักผ่อน ทำอะไรที่ทำแล้วสบายใจก็พอแล้ว แล้วหมอก็ให้ยามากิน มีตัวนึงที่จะช่วยดึงให้อารมณ์เราเสถียร อาทิตย์หน้าให้มาเจาะเลือดดูระดับยาด้วย

    อันนี้เป็นเว็บไซต์ที่อธิบายโรคไบโพล่าร์นะคะ(มีสาระนะวันนี้) http://m.pantip.com/topic/33099319?

    เราจะใช้คำว่า 'ช่วงแอคทีฟ' แทนช่วงที่เราคึกคักนะคะ และจะใช้คำว่า 'ช่วงดาวน์' แทนช่วงที่เราซึมเศร้า

    เราเป็นคนเคร่งเรื่องอะไรที่หมอสั่งมาก ถ้าหมอสั่งเราจะทำตามทุกอย่างอย่างเคร่งครัด เรารับงานน้อยลง เรางดคาเฟอีนตั้งแต่ไปหาจิตแพทย์คนแรกจนทุกวันนี้ เรากินยาตรงเวลาทุกวัน และไม่ทำงานหลังอาหารเย็นตามที่หมอบอก (อันนี้ขอนอกเรื่อง ตอนที่เราเป็นข้อต่อขากรรไกรอักเสบ เรากินแต่โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ตุ๋น วนๆ กันอยู่เป็นเดือนแหน่ะ แบบไม่กินอย่างอื่นเลย อยากกินจอลลี่แบร์ก็ต้องอมให้มันละลาย ทุกวันนี้เราก็กินข้าวปกติ แต่ถ้าเจออะไรที่แข็งหรือเหนียวเราก็จะคายหรือไม่กินเลย) ผลตรวจเลือดเราเลยออกมาเป็นที่พอใจของหมอมาก กินยาต่อไป

    หลังจากหาหมอไม่กี่วัน เราเริ่มหงุดหงิดง่าย เรารู้เลยว่าเป็นสัญญาณของช่วงดาวน์ และก็จริง เราขี้หงุดหงิดอยู่สองสามวัน แล้วเราก็ดาวน์ ความคิดลบๆ เริ่มถาโถมเข้ามา ภาพการฆ่าตัวตายเข้ามาอีกครั้ง เราเริ่มไม่อยากทำอะไร เรารู้สึกว่าไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร เรามีความคิดว่า ถ้าเราตายคนอื่นจะเศร้าไม่นานหรอก ช่วงดาวน์ครั้งนี้มันรุนแรงกว่าครั้งก่อนมาก ภายนอกเราดูปกติทุกอย่าง พูดคุยกับคนรอบข้างได้เป็นปกติ ยังยิ้ม ยังหัวเราะ แต่ในหัวเรานี่มีเรื่องฆ่าตัวตาย และเหตุผลสนับสนุนให้ฆ่าตัวตายเป็นร้อยเป็นพัน

    เราพยายามคิดต้านความคิดตัวเอง เรารู้ว่านี่คืออาการของโรคที่เราเป็นอยู่ เราจะไม่ทำตามสิ่งที่อยู่ในหัว แต่ตอนนั้นมันเหมือนจะไม่ไหว ความคิดต้านมีแค่ 40% ส่วนที่เหลือเข้าสู่ด้านมืดไปแล้ว

    ประจวบกับเราเจอคำพูดญาติ ประมาณว่า เราเรียนจบมาแล้วยังขอตังค์แม่ ค่าใช้จ่ายเราก็เยอะ เขานะให้เงินลูกใช้แค่เดือนแรกหลังเรียนจบ เรียนจบมาแล้วทำงานไม่ได้มันไม่ต่างอะไรกับไม่ได้เรียนเลย

    เขาก็พูดในเชิงสอนแหละ เรารู้ว่ามันคือความหวังดี แต่หัวเรามันประมวลผลเป็นเหตุผลส่งเสริมในการฆ่าตัวตาย ตอนนั้นในหัวเรามีคำว่า ตายๆ ไปซะก็จบแล้ว ไม่ต้องคิดเรื่องอนาคต ไม่เป็นภาระพ่อแม่อีกต่อไป ไม่ต้องห่วงว่าท่านจะไม่มีใครดูแลหรอก ท่านมีลูกตั้งอีก 2 คน คนรอบตัวเราจะเศร้าไม่นาน เดียวเขาก็ลืมๆ เราไปแล้ว โลกนี้มันยุ่งยากเกินไป รู้สึกตัวเองอ่อนแอเกินสำหรับโลกนี้ เราอยู่ไม่ไหวหรอก

    อีกทั้งตอนนั้น เรามีปัญหาเรื่องงาน มันอาจจะเกิดจากอารมณ์เราด้วย เรารู้สึกว่างานมันไม่แฟร์กับค่าแรง ทำให้เรารู้สึกว่าโลกนี้มันแย่ มีแต่คนขี้เอาเปรียบที่เราสู้ไม่ไหว

    แต่เราก็พยายามคิดต้านความคิดลบๆ อีก เราพยายามบอกตัวเองตลอดว่านี่คืออาการของโรค เราต้องผ่านมันไปได้ มันเคยมีคนผ่านมันไปได้แล้ว เราเองก็ต้องทำได้

    เราหลีกเลี่ยงญาติคนนั้นด้วยการไปนอนกับเพื่อน แล้วเราก็ทำยาหาย หนักเลยทีนี้ จากที่มีความคิดต้านอยู่ 40% มันลดเหลือแค่ 10% แล้ว เราเข้าสู่ด้านมืดแล้วตอนนั้น มันเหมือนกับว่าเราพร้อมจะปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างที่เรารักและรักเราทั้งหมด แล้วปลดตัวเองจากความรู้สึกทรมานนี้สักที

    เราคิดอย่างหนักว่าจะตายด้วยวิธีไหนดี ไม่ใช่กระโดดตึกละหนึ่ง กรีดข้อมือก็ไม่ เราไม่ชอบให้ศพดูสยองและเป็นตำนานเล่าขาน จะกินสารพิษฆ่าตัวตายก็กลัวว่ามันจะไม่ตาย แล้วเป็นโรคอื่นเพิ่มอีก อย่างน้อยๆ ก็โรคไตอะ เราก็เลยคิดว่าหาที่ถ่วงน้ำตัวเองดีกว่า จมอยู่ก้นสระ ไม่มีใครเห็นหรอก แต่ต้องเขียนจดหมายลาก่อน เราเองก็ไม่ชอบการไปไม่ลา เราเลยคิดว่าเราจำเป็นต้องลาคนอื่นก่อน เราว่าจะเขียนลาในบล็อกนี้แหละ

    เรานอนคิดทั้งหมดนี้บนเตียงที่มีเพื่อนนอนดูรายการวาไรตี้ในคอมอยู่ข้างๆ เราเองก็นอนเล่นคอม น้ำตาไหลเงียบๆ กับความคิดของตัวเอง พอน้ำตาไหลมากๆ ก็ง่วง ก็เลยจะนอน ตอนนั้นก็ลังเลว่าพรุ่งนี้เช้าจะไปตามนัดหมอดีมั้ยนะ ไหนๆ ก็จะตายแล้ว จะไปดีมั้ยนะ

    ขอบคุณที่ 10% ที่เหลืออยู่มันชนะ ทำให้เราได้ไปนั่งร้องไห้เล่าความคิดต่างๆ นานา ที่เกิดขึ้นในช่วงดาวน์ที่ขาดยาให้หมอฟัง แล้วก็ได้แอดมิดจิตเวชครั้งแรก

    ทุกวันนี้ถามว่าเราตัดความคิดเรื่องฆ่าตัวตายออกไปได้รึยัง ไม่เลย มันยังคงมีเข้ามาเรื่อยๆ แต่เราก็ต้านได้สบายมากอยู่ ถามว่าอยากใช้ชีวิตต่อไปมั้ย แน่นอน เพราะก่อนที่เราจะเป็นโรคนี้เราก็แพลนชีวิตของเราไว้แล้วเหมือนกัน เราก็อยากจะทำตามนั้นถ้าเป็นไปได้ แต่ถ้าถามว่าถ้าตายก่อนล่ะ ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้เหมือนกับว่าอยู่ต่อไปได้ก็ดี แต่ถ้าตายก่อนก็ไม่ใช่สิ่งที่เรากลัวแล้ว เพราะใช้ชีวิตคุ้มแล้วหรอ? ไม่เลย แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่กลัว แต่จริงๆ เราก็หวังว่าจะได้ทำตามแพลนชีวิตที่วางไว้มากกว่าตายแหละ


    *หมายเหตุ เนื่องจากเรื่องนี้เราเขียนลงบล็อกของเราก่อนจะย้ายมาไว้ที่นี่ ดูจากวันที่มันก็หลายเดือนก่อนหน้านี้ เราจะขอสปอยล์ว่า หลังจากแอดมิดจิตเวชครั้งแรก มันมีแอดมิดจิตเวชรอบสองอยู่ ซึ่งเราดราฟท์ไว้หมดแล้ว และจะปล่อยวันละ 1 ตอน ฉะนั้น..


    to be continued…

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in