คงมีเหตุผลมากมายที่จะสนับสนุนทางเลือกของเหล่าบัณฑิตปริญญาตรีอย่างพวกเราๆ อย่างสมเหตุสมผล บางคนอาจจะมองว่าเป็นการเปิดช่องทางโอกาสความก้าวหน้าของตนในระยะยาว บางคนอาจลองทำงานจนค้นพบสิ่งที่สนใจที่อยากลงลึกต่อ หรือบางคนอาจจะแค่เบื่อหน่าย ไม่ชอบใจชีวิตการทำงานที่เป็นอยู่ก็เป็นได้ บางคนอาจจะไม่สามารถตอบได้ด้วยซ้ำไปว่าทำไม
สำหรับผม มันออกจะเป็นลักษณะ luck into it อยู่สักหน่อย ไม่ใช่ว่าจะดิสเครดิตตัวเองว่าไม่พร้อมหรือไม่มีศักยภาพ แต่ด้วยเหตุการณ์ ปัจจัยหลายๆ อย่างมันเรียงร้อยและเอื้ออำนวย ทำให้ได้มาเรียนต่อเฉพาะทางในวิชาชีพเดิมนี้
การตัดสินใจครั้งนั้น ถูกทำเมื่อเรามีความคิดความอ่านที่โตขึ้น ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น การศึกษาที่เกิดขึ้นจึงเป็นกิจกรรมที่ 'มีวัตถุประสงค์' ขึ้นกว่าสมัยเด็ก เรารู้ว่าเราทำไปเพื่ออะไร และต้องการเก็บเกี่ยวสิ่งไหนกลับไปเมื่อสำเร็จหลักสูตร
ตอนเรียนต่อเป็นยังไง
ยาก ยากมาก ต้องยอมรับเลยว่าไม่ได้เตรียมตัวไปรับมือกับการเรียนมิติใหม่เช่นนี้
ต้องปรับตัวกับจังหวะการอยู่ในระบบของสถานที่ใหม่ เพื่อนร่วมรุ่นที่ต่างออกไป
ต้องพึ่งตัวเองขึ้นมาก ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง รับผิดชอบตัวเองในทุกๆ รายละเอียด
สิ่งสำคัญที่ทำให้เราผ่านไปได้คือการหมั่นตรวจทาน เป้าหมาย 'จริง' ของตัวเอง
สิ่งอันตรายคือ อย่าถูกความกดดันกลืนกิน จนเผลอยื่นศักดิ์ศรีหรือตัวตนของเราไปให้คนอื่น ไม่มีใครติดหนี้ใคร เราสมัครเข้ามาเรียน มีสิทธิเสียงเท่าๆ กับการที่เข้าเลือกเราเข้ามาเรียนเช่นกัน จงประคองทุกด้านให้สมดุล เรามาเรียนรู้ ไม่ได้มาแข่งขันหรือเปรียบเทียบ
สุดท้ายคือการเข้าใจและยอมรับว่า (สำหรับผม) สิ่งนี้คือการลงทุน และการลงทุนมีความเสี่ยงเสมอ ไม่มีประโยชน์ที่จะมางอแงเรียกร้องความคุ้มค่าในอนาคต เลือกแล้วก็ต้องยอมรับและทำให้ดีที่สุดจะดีกว่า
จบแล้วไปไหน
เมื่อเข้าสู่โลกแห่งความจริง เราป็นเหมือนลูกเจี๊ยบอ่อนประสบการณ์ในสนามการทำงานที่คนวัยเดียวกันเริ่มที่จะโชกโชน เพราะเขามีโอกาสได้ลองสนามก่อน อาจจะปีหนึ่ง ไปจนถึง สอง สาม หรือ สี่ปี
สิ่งที่สำคัญไม่แพ้ดีกรี ก็คือความสามารถในการหาที่ยืนในการทำงานของแต่ละคน ใบเซอร์ฯเป็นเหมือนหนึ่งในอาวุธหรือเครื่องมือที่จะถางทางใหม่ๆ ให้เรา แต่ท้ายที่สุดแล้ว แก่นความสามรถของแต่ละบุคคลต่างหาก ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
เราเคยสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะมีชีวิตการทำงานที่สมดุล แบ่งเวลาเพื่อ ร่างกาย คนที่รัก และ ความฝัน อย่างไม่ขี้เหนียว ซึ่งพบว่าทำได้ยากอย่างที่คนเขาว่าไว้จริงๆ
เรียนจบแล้วมีความสุขไหม มี แต่ก็มีความทุกข์ในรูปแบบใหม่เข้ามาเยี่ยมเยียนเช่นเดียวกัน
ความทุกข์แสนหนักหน่วงที่เข้ามาพร้อมกับพายุฮากิบิส เขย่าปลุกผมขึ้นจากชีวิตพักหลังที่คอนเอียงกระตุ้นให้สลัดมวลตะคุ่มที่คลุมเครือการใช้ชีวิตตอนนี้ ให้ตระหนักกับตัวเองว่า อะไรสำคัญ เราอยากพัฒนาเป็นผู้ใหญ่วัย 30 แบบใด อย่างน้อยๆ มันก็ทำให้ผมได้กลับมาพบเจอกับงานเขียนอีกครั้ง
ขอให้พัฒนาต่อไปเรื่อยๆ อย่าหยุดพยายาม
เดินต่อไปเรื่อยๆ อย่าสูญเสียการทรงตัว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in