เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Once in Glacier National Parkleedeepk
First day of work
  • เช้าวันที่ 30 พฤษภาคม 2017


    เราตื่นมารับประทานอาหารเช้าที่ EDR โรงอาหารพนักงานของที่นี่จะมีเวลารับประทานอาหารเป็นช่วง ๆ เช่น อาหารเช้า 7.30-10.00 น. อาหารกลางวัน 11.00-13.30 น. และอาหารเย็น 16.30-19.00 น. หากมาไม่ทันก็จะไม่ได้กินเลย ต้องกดตู้ซีเรียลกินประทังชีวิตแทน บางวัน EDR ก็จะปิดเพื่อทำความสะอาดทำให้พวกเราต้องไปหาที่นั่งเล่นที่อื่นแทน


    อาหารเช้าวันนี้เป็นเบคอน ไส้กรอก และไข่คน เราบีบซอสมะเขือเทศและตักมะเขือเทศในสลัดบาร์มากินด้วย 6-7 ลูก และไม่ลืมที่จะกดนมสดมาดื่มแกล้มด้วยสักแก้ว รอบนี้เรากด whole milk ซึ่งเป็นนมไขมันเต็มทำให้ไม่จืดเหมือนรอบก่อนแล้ว ช่างเป็นมื้อเช้าที่มีความสุขจริง ๆ


    ตารางงานเราวันแรกคือ 14.00 น. ทำให้เรามีเวลาเหลือเฟือในช่วงเช้านี้ เราและโจเริ่มเดินรอบ ๆ โรงแรมเพื่อสำรวจสถานที่เพิ่มเติม นอกจากตัวโรงแรม Lake McDonald Lodge ที่มีห้องอาหาร Russell’s และ Lucke’s Lounge แล้ว ยังมีร้านพิซซ่า Jammer Joes อยู่เยื้องกับโรงแรมอีกด้วย แต่ร้านนี้จะเปิดให้บริการช่วงกลางเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป ดังนั้น โลเคชั่นหลักที่เราจะได้ทำงานคือครัวใหญ่ในโรงแรมนั่นเอง นอกจากนี้หลังโรงแรมยังมีท่าเรือที่ให้บริการล่องเรือชมรอบทะเลสาบ หรือใครสนใจเช่าเรือคายัคก็สามารถมาเช่าได้ที่นี่ อีกฝั่งของโรงแรมยังมีโมเท็ลเล็ก ๆ แยกออกมา รวมถึงร้านขายของฝากอีกด้วย หากข้ามถนนไปอีกฝั่งก็จะเป็นเทรลสำหรับเดินป่า มีทั้งโซนทะเลสาบ โซนภูเขาและโซนป่าให้เดินชมธรรมชาติ


    เราและโจไปนั่งเล่นที่ชายหาดริมทะเลสาบ มองออกไปเห็นวิวทะเลสาบแมคโดนัลด์ที่ถูกล้อมรอบไปด้วยภูเขา ลูกตรงกลางน่าจะเป็นโซน Logan Pass ที่เราอยากไป อุทยานแห่งชาติเกลเช่อเป็นสถานที่ที่คนมักมาท่องเที่ยวเยี่ยมชมธรรมชาติช่วงฤดูร้อน แม้ว่าฝั่งตะวันตกของอุทยานจะสามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ตลอดปี แต่เนื่องจากอุทยานอยู่ในรัฐมอนทานาซึ่งอยู่ทางตอนเหนือของประเทศ ทำให้มีหิมะตกหนักในฤดูหนาว กว่าหิมะโซนตรงกลางของอุทยานจะละลายพอให้สัญจรระหว่างฝั่งตะวันออกและตะวันตกก็ต้องรอจนถึงช่วงกลางเดือนมิถุนายนไปจนถึงต้นเดือนกรกฎาคม 


    อุทยานแห่งชาติเกลเช่อนี้ มีถนนที่ชื่อว่า Going-to-the-Sun อยู่ ซึ่งเป็นถนนที่ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในถนนที่สวยที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยจะปีนี้จะเปิดให้สัญจรตั้งแต่วันที่ 28 มิถุนายน - 3 กันยายน 2017 เราทำการบ้านก่อนมาทำงานที่นี่แล้ว ถ้าถนนเปิดเมื่อไหร่ เราจะไปหลายเทรลแถว Logan Pass, Siyeh Pass และไปหาพี่ ๆ ฝั่ง Many Glacier ตอนนี้ก็ทำได้แค่ดูวิวภูเขาฝั่งนั้นไปก่อนจากตรงนี้



    ใกล้บ่ายสองเต็มที เรากับโจแยกย้ายกันไปเตรียมตัวเข้างาน ยูนิฟอร์มครัวถูกสวมทับเสื้อยืดตัวเก่งของเรา เสื้อยูนิฟอร์มผ้าหนาสีดำถูกติดกระดุมอย่างเรียบร้อยและกลัดป้ายชื่อ Leedee ทับไว้ เราสวมกางเกงสีขาวดำลายตารางหมากรุก พร้อมรองเท้าผ้าใบนันยางสีดำที่เตรียมมาจากไทย จริง ๆ นายจ้างแจ้งว่าให้เราเตรียมรองเท้ากันลื่นสำหรับใช้ทำงานในครัวมา แต่เพื่อนที่เคยมาทำงานปีที่แล้วบอกกับเราว่าใส่นันยางมาก็ได้ ใช้ได้เหมือนกัน ไม่ลื่นด้วย ซึ่งนับว่าโชคดีด้วยล่ะ เพราะตั้งแต่มาอเมริกาเรายังไม่เจอรองเท้ากันลื่นไซส์เราเลย ถ้าหาไม่ได้จริง ๆ คงมีผลกับการเริ่มงานด้วย 

    ก่อนออกจากห้องเรายังค่อย ๆ ลงรองพื้น แต่งหน้าทาปาก ปัดมาสคาร่าให้ขนตาเด้งที่สุดในชีวิต มาต่างถิ่นทั้งที ขอแต่งหน้าหน่อยเถอะ เพราะอยู่ไทยเราไม่เคยแต่งหน้าไปเรียนเลยแม้แต่นิดเดียว เราหยิบหมวกแก๊ปสีดำซึ่งเป็นยูนิฟอร์มอีกชิ้นสวมทับผมหางม้าเราก่อนรีบวิ่งไป clock in เข้างาน

    เฮนรี่ ผู้ช่วยเชฟ จะเป็นพี่เลี้ยงสอนงานเรากับโจในวันนี้ เริ่มแรกเฮนรี่ให้เราแบ่งหน้าที่กับโจว่าใครจะประจำที่ตรงไหน มีต้นทางกับปลายทาง โดยการทำงานล้างจานที่นี่คือพนักงานเสิร์ฟ ผู้ช่วยพนักงานเสิร์ฟ หรือแม้แต่คนครัวเอง จะนำภาชนะและอุปกรณ์ต่าง ๆ มากองไว้ให้เราที่เคาท์เตอร์ คนที่ประจำอยู่ต้นทางจะต้องเรียงภาชนะเหล่านี้บนถาดสี่เหลี่ยมขนาดพอดีกับเครื่องล้างจาน หรือหากเป็นพวก utensils เล็ก ๆ เช่น ช้อน ส้อม มีด ถ้วยน้ำจิ้ม ก็จะต้องเรียงลงบนถาดเหลี่ยมที่มีช่องถี่เพื่อป้องกันไม่ให้ของเหล่านี้ตกลงไปในเครื่องล้างจาน นอกจากจะต้องเรียงภาชนะแล้ว คนต้นทางยังต้องฉีดน้ำใส่จานและภาชนะ หรือพยายามขัดคราบฝังแน่นออกก่อน เพื่อที่เวลาใส่เครื่องล้างจานแล้วจะได้ไม่ต้องล้างซ้ำอีกรอบกรณีคราบไม่หลุดจริง ๆ 


    เราที่อาสาเป็นคนต้นทาง สวมถุงมือพร้อมฉีดน้ำลงบนจานใบแรกในครัวใหญ่แห่งนี้


    ฟื้ดดดดด... 

    น้ำที่ฉีดกระเด็นใส่หน้าตัวเองเรียบร้อย 


    หลังจากทุลักทุเลกับการหามุมและองศาที่เหมาะสม เราเริ่มใช้สายฉีดได้คล่องแคล่วขึ้น พอดันถาดใส่เครื่องล้างจานแล้ว ราว 30 วินาทีถัดมา ถาดนั้นก็ไปปรากฏที่ฝั่งโจ โดยโจซึ่งเป็นคนปลายทางต้องนำภาชนะต่าง ๆ มาเรียงผึ่งไว้ก่อน จากนั้นจึงทยอยเก็บเข้าชั้นวางจานและภาชนะ ส่วนพวก utensils นั้น โจจะแยกถาดออกมาเพื่อให้พนักงานเสิร์ฟและผู้ช่วยพนักงานเสิร์ฟเข้ามาจัดการกันเอง เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำ utensils เหล่านี้จะเป็นคราบน้ำง่ายมาก ดังนั้นฝั่งหน้าบ้านต้องเข้ามาช่วยกันเช็ดคราบน้ำออกให้เรียบร้อยก่อนที่จะนำไปจัดเรียงต่อในห้องอาหาร


    ตี๊ดดด ตี๊ดดด ตี๊ดดดด


    เสียงเครื่องล้างจานดังขึ้นมาแบบไม่มีสาเหตุ เราและโจตกใจมากเพราะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เฮนรี่รีบเดินมาจากอีกฝั่งของครัว


    สบู่ล้างจานหมด...


    เฮนรี่พาโจไปหลังครัวเพื่อชี้ตำแหน่งอุปกรณ์ที่ต้องใช้ พวกเขากลับมาพร้อมสบู่สีม่วงก้อนยักษ์ 1 ก้อน โจค่อย ๆ ใส่สบู่ในช่องข้าง ๆ เครื่องล้างจาน เฮนรี่บอกว่าเรากับโจต้องศึกษาการทำงานและทำตัวให้คุ้นเคยกับเครื่องล้างจานเข้าไว้นะ เพราะหลังจากนี้ครัวจะยุ่งมาก จะไม่มีใครวิ่งมาช่วยเรากับโจได้ทันเวลาอย่างวันนี้แล้ว 


    อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังเป็นปลายเดือนพฤษภาคมอยู่ ครัวเราจึงไม่ยุ่งมาก วันแรกของการทำงานเราช่วยกันปิดครัวเสร็จราว 21.40 น. เดี๋ยวนะ... ทำงานได้ชั่วโมงละ 8.75 USD ถ้าเลิกเร็วแบบนี้ก็ได้เงินไม่ครบหรือเปล่านะ


    เนื่องจากเป็นระบบ clock in clock out นั่นหมายความว่าค่าแรงเราจะถูกนับตามจริง โดยอิงจากเวลาเข้าออกงานของเรา ซึ่งถ้าเลิกเร็วแบบนี้ไปเรื่อย ๆ เราอาจขาดทุนจากการมาทำงานครั้งนี้ได้ ก่อนมาเราศึกษาในกลุ่ม WAT แล้ว มีทั้งคนที่ขาดทุนจากการเข้าร่วมโครงการ หรือได้กำไรหลายแสน ส่วนใหญ่คนที่ขาดทุนมักบอกว่าตั้งใจมาใช้ชีวิต ไม่ได้อยากทำแต่งาน บางคนต้องจ่ายค่าบ้านแพงมหาโหด หรือบางคนได้งานในเมืองใหญ่ที่ค่าครองชีพไม่สัมพันธ์กับรายได้ ส่วนคนที่ได้กำไรหลายแสนมักมีงานสองทำด้วย หรือทำงานที่มีทิปเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ไปเสิร์ฟ นอกจากจะได้ค่าจ้างรายชั่วโมงแล้วยังได้ทิปเพิ่มเข้ามาอีก 

    ส่วนงานครัวของเรา นอกจากจะได้ค่าจ้าง 8.75 USD/ชั่วโมงแบบไม่มีทิปและยังไม่ได้หักภาษีแล้ว ยังต้องจ่ายค่าบ้านอีกสัปดาห์ละ 92.5 USD แต่ยังดีที่ค่าอาหาร 3 มื้อใน EDR ถูกรวมไปกับค่าบ้านแล้ว ทำให้เรามักคิดปลอบใจตัวเองว่าอย่างน้อยก็ได้กินข้าวฟรี และนั่นก็หมายความว่าเราแทบไม่ต้องเสียเงินเพิ่มเลยนอกจากจะซื้อของกินจุบจิบตามร้านค้าในอุทยานเอง แต่ทำงานไม่ครบ 8 ชั่วโมงแบบนี้ก็อาจจะขาดทุนได้เหมือนกันนี่นา...

    เราไม่อยากขาดทุน เพราะการมาเข้าร่วมโครงการ Work & Travel ของเรา เราใช้เงินของตัวเองทุกบาททุกสตางค์ โดยเรารู้ว่าถ้าเราเข้ามหาวิทยาลัยไปมันจะมีโครงการแบบนี้อยู่ โครงการที่ให้เด็กระดับมหาวิทยาลัยได้ไปทำงานที่อเมริกา ตอนนั้นเราอยู่ม.6 แล้วเดินไปเจอป้ายโครงการที่โรงอาหารมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เราเริ่มเก็บเงินตั้งแต่ตอนนั้น ทั้งทำงานร้านอาหาร สอนพิเศษ และทำงานแอดมินช่วยอาจารย์ที่คณะ เรารู้สึกว่าเราทุ่มเทขนาดนี้ อย่างน้อยที่สุดเราต้องเหลือเงินไปเที่ยวต่อและคืนทุนค่าโครงการให้ได้

    ดังนั้น ทางเดียวที่จะเก็บเงินเพิ่มคือ...
    ทำโอที

    แต่จะทำโอทียังไงก่อน!

    เรื่องของเรื่องคือเชฟสตีฟเป็นคนจัดตารางงาน แล้ววันไหนไม่มีคนล้างจานกะเย็น เชฟจะใส่ช่องว่างไว้ ซึ่งเป็นช่องให้ใครก็ได้มากรอกชื่อตัวเองเพื่อทำงานกะดึก (17.00-22.00 น.) ตารางงานสัปดาห์นี้เต็มแล้ว เพราะเราและโจได้ทำกะดึกจนจบสัปดาห์ ส่วนวันก่อนหน้า มีชื่อบุคคลปริศนาหลากหลายชื่อจับจองสล็อตเวลาล้างจานช่วงเย็นนี้ไว้ แสดงว่าถ้าเชฟอัปเดตตารางงานสัปดาห์หน้า เราต้องรีบมาจองโอทีบ้างสินะ (ถ้าไม่ได้งานกะ 14.00 น.)

    หรือไม่ก็ต้องขอเชฟทำงาน 6 วัน/สัปดาห์แทน

    อย่างหลังน่าจะเสี่ยงน้อยกว่า เพราะเรามีโอกาสโดนจับมาทำงานกะเย็นมาก เท่าที่สังเกตตารางงาน ของคนอื่น หากได้ทำงานกะเย็น เชฟก็จะให้ทำงานกะเย็นไปตลอดจนกว่าจะถึง day off หลังจากนั้นถึงค่อยสลับมาทำงานกะเช้า (10.00-18.00 น.) บ้าง ถ้าต้องทำกะเย็นสลับเช้าคงจะเหนื่อยน่าดู 

    เรากับโจช่วยกันกดเครื่องคิดเลขในโทรศัพท์อีกที ว่าสิ่งที่พวกเราตัดสินใจมันคุ้มค่ากับการลงทุนมาที่นี่จริงไหม ก่อนจะแยกย้ายกันไปพักผ่อน กลับมาที่ห้องไม่เจอริน่าเราเลยรีบจัดของไปอาบน้ำ ส่องกระจกเห็นสภาพหน้าที่บรรจงแต่งของเรากลับสู่สามัญเรียบร้อยแล้ว สงสัยได้แต่งหน้าวันแรกและวันสุดท้ายจริง ๆ ช่วงสี่ทุ่มห้องน้ำหญิงเริ่มเงียบแล้ว ถ้าคนอื่นไม่เข้านอนก็คงจะไปนั่งเล่นที่ EDR กัน 

    น้ำอุ่นที่ตู้ฝักบัวตกใส่ตัวเราที่ยืนล้างจานมาตลอดหลายชั่วโมง 
    อย่างน้อยก็เป็นการจบวันที่ดี
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in