เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Once in Glacier National Parkleedeepk
Work-in-process
  • หลายเดือนถัดมา 

    หลังจากทราบว่าผ่านสัมภาษณ์กับนายจ้างเรียบร้อยแล้ว ทางเอเจนซี่ได้เรียกพวกเราเข้ามาชี้แจงเรื่องเอกสารเพิ่มเติม พร้อมทั้งนัดหมายวันเวลาสัมภาษณ์วีซ่า J1* กับทางสถานทูต ซึ่งเอเจนซี่ที่เราไปด้วยนั้นไม่ได้บังคับจองตั๋วด้วยแต่อย่างใด ขอแค่จองตั๋วหลังจากผ่านสัมภาษณ์วีซ่าเรียบร้อยแล้วก็พอ เนื่องจากมีหลายกรณีที่ผู้เข้าร่วมโครงการตกสัมภาษณ์ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้

    เราได้คิวสัมภาษณ์ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2017 ซึ่งเราเริ่มงานสิ้นเดือนพฤษภาคม 2017 ทำให้เรามีเวลา 3 เดือนเท่านั้นในการจองตั๋ว จองที่พัก และจองที่เที่ยว ที่เราต้องรีบจองล่วงหน้าเพราะที่ Glacier National Park เราจะไม่สามารถใช้โทรศัพท์หรืออินเทอร์เน็ตได้ (ถ้าได้ก็จะช้ามาก เพราะเป็นเขตอุทยานและมีภูเขามาก ทำให้ค่อนข้างอับสัญญาณ โดยเอเจนซี่แจ้งไว้แต่แรกแล้วในรายละเอียดงาน ซึ่งเข้าใจได้ ประกอบกับเพื่อนที่เคยไปมาปีก่อนบอกว่าจริง ๆ สามารถใช้อินเทอร์เน็ตได้แต่ต้องเดินมาตรงล็อบบี้โรงแรม หรือไม่ก็ที่ Visitor Center) ด้วยความแพนิคเราจึงทำเรื่องเสี่ยงมาก ๆ เรื่องหนึ่งคือ...

    จองตั๋วเครื่องบินก่อนสัมภาษณ์วีซ่า!

    " หาาาา ตั๋วไปเมกา 29k เองหรอ! ได้แวะเกาหลีวันนึงด้วย เอาเลยแก! "
    " เค จองละ "
    มีคนเสนอก็ต้องมีคนสนอง เพื่อนที่จะไปด้วยกันจองตั๋วให้ทันทีและไม่มีคำถามต่อ เราได้ไฟลท์ของ Korean Air ที่มีการ transit ที่กรุงโซลราว 10 ฃั่วโมง ทำให้เราสามารถออกไปเดินเล่นในเมืองได้ในช่วงต่อเครื่อง ตั๋วราคานี้จะเป็นการบิน BKK-ICN-SEA และกลับจาก LAX-ICN-BKK

    เยี่ยมเลย ได้ไปเกาหลีตั้ง 2 รอบใน 1 ทริป!
    * ไม่แนะนำให้จองตั๋วก่อนสัมภาษณ์วีซ่านะคะ สุดท้ายเราก็ยังมองว่ามันเสี่ยงมาก ๆ จำนวนเงินที่เสียไปนั้นไม่คุ้มเลยหากถูกปฏิเสธวีซ่า *

    เรารับความเสี่ยงได้เพียงเท่านี้ ที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วรถไฟ Amtrak, โรงแรม, ตั๋วบัส Greyhound เราซื้อหลังจากสัมภาษณ์วีซ่าผ่านหมดเลย รวมถึงบัตรเข้าชมสถานที่ต่าง ๆ ที่เราปักหมุดไว้อีกด้วย

    บรรยากาศในห้องสัมภาษณ์ค่อนข้างตื่นเต้น ปกติเด็ก WAT จะสร้างกลุ่มแชร์ประสบการณ์กันใน facebook ว่าวันนี้เจอเจ้าหน้าที่คนนี้, โดนถามอะไรบ้าง, ต้องเตรียมตัวอย่างไร ซึ่งค่อนข้างมีประโยชน์กับคนที่จะไปสัมภาษณ์มาก เพราะบางทีหน้างานเราตื่นเต้นกันจริง ๆ การซ้อมสัมภาษณ์ก่อนก็ช่วยให้เราคุ้นเคยกับคำถามและ mood & tone มากขึ้น พอถึงคิวเราสัมภาษณ์ เจ้าหน้าที่ผู้ชายถามไม่เยอะ ส่วนใหญ่เน้นถามว่าไปไหน ทำไมเลือกรัฐนี้ กลับเมื่อไหร่ กลับมาทำอะไร โดยตอนนั้นเราอยู่ปี 2 กำลังจะขึ้นปี 3 ยังไงก็ต้องกลับมาเรียนอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ! ทำให้การสัมภาษณ์วันนั้นราบรื่นและผ่านฉลุย

    เดือนพฤษภาคม 2017 
    ทางเอเจนซี่เราส่งข้อมูลและ instruction ต่าง ๆ มาให้ศึกษาก่อนเดินทาง รวมถึงข้อมูลวันปฐมนิเทศทั้งของไทยและของ Glacier National Park โดยมีการแจ้งสิ่งของต้องห้ามนำเข้าอเมริกา, เอกสารที่ต้องเตรียม, การปฏิบัติตัว, เบอร์ติดต่อขอความช่วยเหลือ รวมถึงการส่งรายงานข้อมูลให้กับเอเจนซี่ฝั่งอเมริกาเป็นระยะ เนื่องจากต้องมีการเช็คอินผ่านโทรศัพท์ด้วยว่าเราไปถึงแล้ว/กลับประเทศแล้ว ตามลำดับ

    พร้อมออกเดินทางแล้ว!

    *J1 Visa คือวีซ่าชั่วคราวสำหรับชาวต่างชาติที่เข้าร่วมโครงการแลกเปลี่ยนที่ได้รับการรับรองแล้ว ซึ่งโครงการ Work & Travel ก็เป็นหนึ่งในนั้น โดยมีทั้งเอเจนซี่ฝั่งไทยและฝั่งสหรัฐ ฯ ประสานงานให้ หากถูกเลิกจ้างกะทันหันและไม่สามารถหางานใหม่รองรับได้ ถือว่าวีซ่าสิ้นผลทันที อย่างไรก็ตาม สามารถอยู่ในอเมริกาได้ไม่เกิน 30 วันหลังจากวีซ่าหมดอายุ 

    เพิ่มเติม: เนื่องจากอุทยานอยู่ที่รัฐมอนทานา หากนั่งเครื่องบินไปลงที่นั่นเลย สนามบินที่ใกล้ที่สุดคือ Kalispell City Airport แต่เรามองว่าเป็นพอร์ตเล็ก เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางอีกหลายหมื่นเราจึงเลือกไปลงที่ Seattle แล้วนั่งรถไฟ Amtrak เข้ามาที่ Columbia Falls แทน
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in