เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Sleeveless Loverainbowflick17☂️
Lou Sullivan เสสรวลด้วยสุขสันต์, รู้จักกับ เกย์ทรานส์แมน

  • ในไทยไม่คุ้นเคยกับความต่างระหว่างอัตลักษณ์ทางเพศ การแสดงออกทางเพศ และเพศวิถี จึงอาจไม่คุ้นเคยกับผู้ชายข้ามเพศที่เป็นเกย์ หรือผู้หญิงข้ามเพศที่เป็นเลสเบี้ยนเท่าใดนักเช่นกัน ครั้งนี้ก็เรียบเรียงเรื่องของคุณ ลู ซัลลิแวน (Lou Sullivan) แบบสั้น ๆ ขึ้นมาเพื่อให้เห็นว่านอกจากจะไม่ใช่เรื่องแปลกแล้ว ยังไม่ใช่เรื่องใหม่ด้วย ซัลลิแวนเป็นผู้ชายข้ามเพศที่เปิดเผยต่อที่สาธารณะว่าเป็นเกย์เป็นคนแรก (แปลวาก่อนหน้านี้ก็มีแน่นอน แต่คนซัลลิแวนเปิดเผยตัวเองเป็นคนแรก) เกิดขึ้นช่วงศตวรรษที่ 20 


    "I wanna look like what I am but don’t know what someone like me looks like,” 

    ฉันอยากจะดูเหมือนสิ่งที่ฉันเป็น แต่ยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันเป็นลักษณะเป็นแบบไหน

     “I mean, when people look at me I want them to think—there’s one of those people that reasons, that is a philosopher, that has their own interpretation of happiness. That’s what I am.”
    เวลาที่คนมองมาที่ฉัน ฉันอยากให้เขาคิดว่าฉันเป็นหนึ่งในคนที่รู้จักพิจารณาใช้เหตุผล เหมือนกับนักปราชญ์ เป็นคนที่รู้จักจะตีความความสุขของตัวเอง นั่นแหละคือตัวฉัน 

    ซัลลิแวนเขีียนในไดอารี่ขณะที่เธอยังเป็นเด็กสาวชานเมืองอายุ 15  ปี 


    ท้าวความ


    Photo courtesy GLBT Historical Society เข้าถึงจาก Radio Milwaukee 

    ซัลลิแวนเติบโตในครอบครัวคาทอลิกในฐานะลูกสาว เข้าเรียนที่โรงเรียนประถมและมัธยมคาทอลิก เขาเริ่มเขียนบันทึกเมื่ออายุ 10  ปี เล่าความคิดเรื่องอยากจะเป็นเด็กผู้ชาย และจินตนาการถึงการเป็นเกย์ 
     
    เขาแสดงความสับสนเกี่ยวกับตัวตนของตัวเองอย่างต่อเนื่องในช่วงวัยรุ่น ในหนังสือชีวประวัติของเขาเล่าเอาไว้ว่าเขาพยายามไปหาหนังสือในห้องสมุดที่เกี่ยวกับคนที่มีเพศกำเนิดเป็นผู้หญิง ที่อยากเป็นผู้ชาย และชอบผู้ชาย แต่ก็ไม่พบ*
    *found no mention anywhere of individuals born female who identified as gay men
    ความสนใจที่เขามีให้กับบทบาททางเพศของเพศชายปรากฎให้เห็นในงานเขียน โดยเฉพาะงานเขียนจำพวกเรื่องสั้น บทกวี และไดอารี่ เขามักจะทดลองเขียนเรื่องเกี่ยวกับรักเพศเดียวกันในหมู่ผู้ชาย และเรื่องเกี่ยวกับตัวตนทางเพศ

    เมื่ออายุได้ 17 ปี เขาเริ่มต้นความสัมพันธ์กับคนรักผู้ชายคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ชายที่มีความเป็นผู้หญิงอยู่ในตัว (ภาษาแบบเข้าใจง่ายที่ใช้กันช่วงนี้ก็คือ ออกสาว) ทั้งคู่มักจะลองสลับบทบาททางเพศกันด้วย

    คิดว่าแฟนคนนี้คือคนที่เขาเรียกในไดอารี่ด้วยชื่อย่อว่า J คนที่เขาใช้คำบรรยายถึงเป็นต้นว่า  “one of the first times I’ve really been turned on kissing,” (หนึ่งในไม่กี่ครั้งที่ผมรู้สึกวูบวาบจริง ๆ ตอนจูบกัน) 


  • ไปเป็นผู้ชายที่ซานฟรานซิสโก 


    Photo courtesy GLBT Historical Society เข้าถึงจาก Radio Milwaukee 

    ปี 1973 ซัลลิแวนเรียกตัวเองว่าเป็น transvestite (ซึ่งตอนนั้นความหมายคือคนที่มองตัวเองเป็นคนละเพศกับเพศกำเนิดแต่ไม่ได้อยากเข้ารับการผ่าตัด หรือคนที่ชอบแต่งตัวเป็นอีกเพศ แต่ปัจจุบันไม่ค่อยใช้เท่าไหร่แล้วค่ะ) และตั้งแต่ปีนี้ก็เริ่มแต่งตัวเป็นผู้ชายเต็มตัวไปตลอด 

    ปี 1975 เรียกตัวเองว่าผู้ชายข้ามเพศ เขาจากบ้านเกิดไปฟรานซิสโกกับแฟน เพื่อจะหาที่ที่จะยอมรับในตัวตนเขาได้ และเพื่อที่จะได้รับฮอร์โมนสำหรับการข้ามเพศ ครอบครัวเขาสนับสนุน ให้ชุดสูทผู้ชายกับนาฬิกาเป็นของขวัญการออกเดินทางด้วย

    เรื่องครอบครวยอมรับนี้มีเรื่องน่าสนใจอีกก็คือตอนที่เขาอ่านบทความเรื่องแปลงเพศเป็นผู้ชายให้แม่ฟัง แม่เขาบอกว่าถ้ารู้ว่ามันสามารถผ่าตัดอะไรแบบนี้ได้ตอนที่ยังอายุน้อยกว่านี้ เธอเองอาจจะทำด้วยก็ได้

    เมื่อไปฟรานซิสโกแล้วเขาก็เข้าทำงานในบริษัทแห่งหนึ่ง โดยเข้าทำงานในฐานะผู้หญิงแต่แต่งตัวเป็นผู้ชาย เขาใช้ชีวิตอย่างเปิดเผยว่าเป็นเกย์ แต่กลายเป็นว่าการที่เขาเปิดเผยว่าเป็นเกย์ทำให้เขามีปัญหาเรื่องการเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ เพราะสังคมมองว่ามันประหลาดที่เขาไม่ได้เป็นคนข้ามเพศที่ชอบเพศตรงข้ามตามขนบสมัยนั้น

    ตอนที่จะรับการเข้าผ่าตัดเขาต้องตอบคำถามเรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อจะได้ดูว่ามันมีความ "เป็นผู้หญิง" หรือว่า "เป็นผู้ชาย" มากพอหรือเปล่า

    ในไดอารี่มีบันทึกเรื่องราวตอนนี้เอาไว้ว่า

    How the hell am I supposed to answer that?? Oh, I put cream + sugar in my coffee, that’s feminine; I like to watch boxing matches on TV, that’s masculine; I put bath oil in the tub, that’s feminine; and I use Brut deodorant, that’s masculine. [. . .] I left there rather discouraged. I first went to a bar (masculine!) and then home to cry (feminine!)

    จะตอบได้ยังไงวะ อ๋อ ผมใส่ครีมกับน้ำตาลเวลาดื่มกาแฟ นั่นดู "เป็นผู้หญิง" ผมชอบดูมวย นั่นดู "เป็นผู้ชาย" ผมใส่น้ำมันอาบน้ำลงอ่างอาบน้ำ นั่นดูผู้หญิง ผมใช้โคโลญยี่ห้อ Brut อันนั้นผู้ชาย ... ผมออกมาจากที่นั่นอย่างค่อนข้างท้อ ไปบาร์ (ผู้ช้ายผู้ชาย) แล้วก็กลับบ้านมาร้องไห้ (ผู้หญิ๊งผู้หญิง!)



    การถูกปฎิเสธการผ่าตัดนี้ทำให้ซัลลิแวนเริ่มรณรงค์ให้ถอดการรักเพศเดียวกันออกจากข้อจำกัดในการที่จะเข้ารับการผ่าตัดแปลงเพศ



    อยู่เป็นผู้ชายปีสุดท้าย (ที่ซานฟรานซิสโก)


    Photo courtesy GLBT Historical Society เข้าถึงจาก gcn

    ปี 1976 เขากลับมาพบกับวิกฤติความสับสนเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศตัวเองอีกครั้ง และใช้ชีวิตแบบผู้หญิงที่เป็นผู้หญิงสาวตามขนบ ชอบเพศตรงข้ามต่อไปเป็นเวลาสามปี จนปี 1979 ถึงจะพบกับเพทย์และนักบำบัดที่เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น และให้เขาเริ่มใช้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนสำหรับเตรียมการแปลงเพศ

    ปี 1986 ซัลลิแวนเข้ารับการผ่าตัดแปลงอวัยวะเพศ


    แต่ในปีเดียวกันนั้นเขาก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น HIV และพบว่าเหลือเวลาใช้ชีวิตอีกเพียง 10 เดือน คาดว่าเขาติดเชื้อมาจากช่วงที่ผ่าตัดหน้าอก

    "I took a certain pleasure in informing the gender clinic that even though their program told me I could not live as a Gay man, it looks like I'm going to die like one."

    ผมไปบอกกับคลินิกแปลงเพศอย่างปิติเลยแหละว่า แม้เขาจะไม่ยอมให้ผมใช้ชีวิตเป็นเกย์ แต่สุดท้ายแล้วดูเหมือนว่าผมจะได้ตายเหมือนเกย์อยู่ดี 



  • ทิ้งไว้ให้สังคม


    Photo courtesy GLBT Historical Society เข้าถึงจาก Radio Milwaukee 

    “A big fear of mine is that I will die before the gender professionals acknowledge that someone like me exists, and then I really won’t exist to prove them wrong,” 

    สิ่งที่ผมกลัวมากคือกลัวจะตายก่อนที่คนศึกษาเรื่องเพศจะได้รับรู้ว่ามีคนแบบผมอยู่ แล้วผมก็จะไม่ได้พิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่าที่พวกเขาคิดมันผิด


    สิ่งที่ซัลลิแวนเปลี่ยนไม่ใช่แค่เพศแต่เป็นสิ่งอื่นในสังคม รวมไปถึงขั้นตอนการแปลงเพศที่ส่งต่อมาถึงปัจจุบันด้วย

    ซัลลิแวนเป็นผู้บุกเบิกการเคลื่อนไหวของผู้ชายข้ามเพศ (female-to-male (FTM)) ระดับรากหญ้า เขาก่อตั้ง FTM International ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรแรก ๆ ที่จัดตั้งขึ้นเพื่อผู้ชายข้ามเพศโดยเฉพาะ การเป็นนักกิจกรรมเคลื่อนไหวและการทำงานในกลุ่มชุมชนของซัลลิแวนมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากต่อการเติบโตของคอมมูนิตี้ชายข้ามเพศในช่วงปลายทศวรรษ 

    ที่สำคัญที่สุด เขาเป็นคนที่โน้มน้าวให้สมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (the American Psychiatric Association; APA) และ องค์กรดูแลสุขภาพคนข้ามเพศโลก (the World Professional Association for Transgender Health; WPATH) ให้ตระหนักถึงการมีอยู่ของผู้ชายเกย์ข้ามเพศ เขาตั้งใจที่จะเปลี่ยนทัศนคติของคนต่อคนข้ามเพศที่รักเพศเดียวกัน และเปลี่ยนข้อจำกัดในเรื่องการแปลงเพศ โดยให้ลบเพศวิถี (sexual orientation, คือรักเพศไหน) ออกไปจากภาวะความไม่พอใจในเพศ (Gender Identity Disorder, GID) และออกจากเกณฑ์การพิจารณาผ่าตัดแปลงเพศ 

    ทางด้านงานเขียนนอกจากไดอารี่ของเขาเอง ซึ่งเป็นหลักฐานของผู้ชายเกย์ข้ามเพศแล้ว เขายังเขียนหนังสือคู่มือสำหรับผู้ชายข้ามเพศเล่มแรกขึ้นมา เขียนจดหมายข่าว F.T.M. หนังสือ “Information for the Female to Male Cross Dresser and Transsexual,” เล่มที่เขาบอกว่าสำคัญที่สุดในชีวิต และเขียนหนังสือชีวประวัติของแจ็ค บีร์ การ์แลนด์ (Jack Bee Garland) ผู้ชายข้ามเพศอีกคนที่อาศัยอยู่ในฟรานซิสโก คนที่เป็นเหมือนกับญาติทางจิตวิญญาณของเขา

    งานเขียนอื่น ๆ 
    • "A Transvestite Answers a Feminist" in Gay People's Union News (1973)
    • "Looking Towards Transvestite Liberation" in Gay People's Union News (1974)
    • Female to Male Cross Dresser and Transsexual (1980)
    • Information for the Female to Male Cross Dresser and Transsexual (1990)
    • From Female To Male: The Life of Jack Bee Garland (1990)
  • หนังสืออ่านเพิ่มเติม

    We Both Laughed in Pleasure: The Selected Diaries of Lou Sullivan
    by Louis Graydon Sullivan, Ellis Martin (Editor), Zach Ozma (Editor), Susan Stryker (Introduction)
    เป็นรวมไดอารี่ของซัลลิแวน ซึ่งดูแล้วเขาค่อนข้างมีอารมณ์ขันนะคะ (และก็เป็นที่มาของชื่อบทความนั่นเอง) ถ้าใครชอบพวกข้อความที่ตัดมาจากไดอารี่ที่เป็นตัวสีฟ้า ๆ ข้างบนก็น่าจะชอบเล่มนี้เหมือนกัน 

    หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
    ตอนที่เคยเขียนเกี่ยวกับผู้ชายข้ามเพศค่ะ

    References
    Lou Sullivan. (2009, February 24). Retrieved from https://en.wikipedia.org/wiki/Lou_Sullivan

    Lybarger, J. (2019, September 16). Lou Sullivan’s Diaries Are a Radical Testament to Trans Happiness. Retrieved from https://www.newyorker.com/books/page-turner/lou-sullivans-diaries-are-a-radical-testament-to-trans-happiness

    Mac, A. (2019, September 23). Lou Sullivan's Diaries Show the Transformative Power of Queer History. Retrieved from https://www.them.us/story/interview-we-laughed-in-pleasure-lou-sullivan
     

    คำผิด/คำถาม ติดต่อได้ตามช่องทางด้านล่างค่า ขอบคุณค่า
    dm twitter : @rainbowflick17
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in