ภูมิหลัง
ฮาร์ตเกิดที่คันซัสในปี 1890 และรู้ตัวตั้งแต่อายุยังน้อยว่าไม่ได้รู้สึกสบายใจกับเพศกำเนิดของตนเอง เขาเคยพูดกับพ่อแม่ว่าถ้าพ่อแม่ยอมให้เขาตัดผมสั้นเสีย เขาก็จะได้เป็นผู้ชายเต็มตัว คุณพ่อของฮาร์ตเสียชีวิตเมื่อเขาอายุได้เพียงสามปี เขาจึงบอกกับแม่ว่าหลังจากนั้นเขาจะเป็น "ผู้ชายของบ้าน" ให้กับเธอเอง (''man of the house'') ถึงแม้คุณแม่จะมองว่าสิ่งที่ลูกสาวพูดนั้นเหลวไหล แต่ในครอบครัวก็ไม่ได้มีการต่อต้านอะไรมากมายนัก
คุณแม่ของฮาร์ตแต่งงานใหม่และย้ายไปอยู่กับคุณตาคุณยายที่โอเรกอน แม่ พ่อเลี้ยง และตายายช่วยกันเลี้ยงดูเขา เขาผูกพันกับตายายมาก ตายายเองก็ค่อนข้างจะเคารพอัตลักษณ์ทางเพศของเขาโดยที่ไม่ได้ถามคำถามอะไรมากมายนัก ไม่ได้ว่าเรื่องที่เขาใส่เสื้อผ้าผู้ชายหรือทำงานผู้ชาย คุณตาผู้เป็นเหมือนบุคคลต้นแบบของฮาร์ตก็ยอมให้เขาตามไปที่ทำงาน แล้วก็ทำของเล่นให้เล่นด้วย ตายายเรียกเขาว่า หลานชาย (แทนที่จะเป็นหลานสาวตามเพศกำเนิดตอนนั้น) ในคำจารึกบนหลุมศพ
ฮาร์ตอยู่ทางขวาค่ะ (public domain)
จนกระทั่งเขาย้ายไปที่อัลบานีในนิวยอร์ก เหตุการณ์จึงเปลี่ยนผัน
เมื่อเขาย้ายไปโรงเรียนในอัลบานี เขาก็ต้องเครื่องแบบนักเรียนผู้หญิง ซึ่งข้อนี้ทำให้ฮาร์ตขุ่นเคืองอยู่พอควร อย่างไรก็ตาม เป็นช่วงที่อยู่ในโรงเรียนนี่เองที่เขาคนพบว่าตัวเองชอบผู้หญิง แม้ว่าเขาจะไม่ได้สร้างความสัมพันธ์กับใครมากกว่ามิตรภาพเลยก็ตาม ฮาร์ตใช้ชื่อผู้ชาย ซึ่งเป็นเรื่องประหลาดในสมัยนั้นเลย
ตอนที่อยู่มัธยมเขามักจะถูกล้อเลียนเรื่องลักษณะท่าทางอยู่เสมอ ซึ่งกลายเป็นทำให้เขาทบทวนเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศของตนเองมากขึ้นไปอีก และหลักเลี่ยงการเข้าสังคม หันไปสนใจการเรียนแทน
หลังจากจบโรงเรียนมัธยมแล้วก็เข้าศึกษาต่อวิทยาลัย เขาเป็นนักศึกษาที่มุ่งมั่นกับการเรียนและเข้าร่วมกิจกรรมหลายอย่าง ที่วิทยาลัยเขาได้พบกับเอวา คุชแมน (Eva Cushman) ผู้หญิงที่เขาตกหลุมรัก
เอวา คุชแมน (public domain)
คนส่วนใหญ่มองว่าฮาร์ตเป็นหญิงสาว ดังนั้นความสัมพันธ์ของเขากับคุชแมนถูกมองว่าเป็นความสัมพันธ์แบบเลสเบี้ยน ช่วงนี้เพื่อนนักเรียนของเขาก็ดูรับได้นะ ในสิ่งพิมพ์ต่างๆของวิทยาลัยก็พูดถึงความสัมพันธ์ของทั้งคู่ในลักษณะสนับสนุน ฮาร์ตเคยกระทั่งได้ตีพิมพ์บทกวีเกี่ยวกับคุชแมนในหนังสือพิมพ์วิทยาลัย โดยเขียนจากมุมมองของชายคนหนึ่งที่ตกหลุมรักเธอ
เมื่อคนรอบตัวดูจะรับได้ ฮาร์ทจึงเริ่มยอมรับตัวเองมากขึ้นและเขาก็เริ่มกลับมาสวมใส่เสื้อผ้าผู้ชายบ้างในบางโอกาส อย่างไรก็ตาม เสื้อผ้าผู้ชายน้กลับสร้างความร้าวฉานให้ความสัมพันธ์ของเขากับคุชแมน เนื่องจากเธออยากให้เขาใส่กระโปรงมากกว่า ฮาร์ตเริ่มมีเพื่อนหญิงมากขึ้น ทั้งในแบบเป็นเพื่อนจริงๆบ้าง เพื่อนที่ดูไม่จริง (เอนๆไปทางชู้สาว)บ้าง เขาเริ่มรู้สึกว่าความสัมพันธ์กับผู้ชายยากที่จะรักษา และมีปัญหากับนักเรียนชายบางคนที่เขาไม่รับรัก ฮาร์ทเป็นเลิศทั้งในด้านสังคมและด้านวิชาการ แต่สถานการณ์ทางการเงินของเขากลับตรงกันข้าม
เงินที่เขาได้มาจากมรดกพ่อส่วนใหญ่เอาไปใช้กับเอวา โดยที่เขาก็ปกปิดเรื่องหนี้จากเธอไว้เพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แม้ในที่สุดทั้งคู่ก็เลิกกันก็ตาม หลังจากที่จบความสัมพันธ์กับเอวาแล้ว ฮาร์ตก็ไปคบกับผู้หญิงที่อายุมากกว่าคนหนึ่งและได้รับการสนับสนุนจากเธอ จากนั้นเป็นต้นมาเขาก็มีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมาเรื่อยๆโดยไม่ได้ถูกสังคมตีตราอะไรมากมายนัก จนกระทั่งเขาบรรลุนิติภาวะเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่เขาถึงจะได้รู้ว่าลักษณะความสัมพันธ์และรูปแบบความรักของเขาไม่ไเป็นที่ยอมรับในสังคม
ปี 1910 เขาเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด
แพทย์พบจิตแพทย์
ฮาร์ตไปหาจิตแพทย์ด้วยอาการกลัวเสียงปืน ทว่าไม่นานนักก็ได้ค้นพบสิ่งอื่นที่เปลี่ยนชีวิตเขาไปโดยสิ้ยเชิง จิตแพทย์ เจ อัลเลน กิลเบิร์ต ได้ให้คำปรึกษาเรื่องที่ฮาร์ตชอบผู้หญิง และฮาร์ตผู้ซึ้งรู็แล้วว่าสังคมไม่ได้ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นก็ได้ขอให้จิตแพทย์ช่วยรักษาเขา แต่การบำบัดโรค*ไม่ประสบผลสำเร็จ และยังทำให้เขาหงุดหงิดอีกด้วย
*สมัยนั้นใช้วิธีการบำบัดที่เรียกว่า conversion therapy ซึ่งค่อนข้างสุดโต่งและรุนแรง มีกระทั่งการช็อตไฟฟ้า
หลังจากที่ไม่สามารถบำบัดได้สำเร็จฮาร์ตก็ขอให้หมอผ่าตัดแปลงเพศให้เขา โดยเขายกเคสต่างๆมาโน้มน้าวจิตแพทย์ด้วย เขารู้ว่าเขาไม่สามารถที่จะหยุดชอบผู้หญิงได้ และอยากจะอยู่ในสังคมแบบผู้ชายมากกว่า หนึ่งในเหตุผลที่คนให้ความสนใจคือเขาพูดว่า ถ้าผ่าตัดแปลงเพศให้เขาเสียก็เท่ากับการทำให้เขาเป็นหมัน เขาจะได้ไม่ส่งต่อยีนส์ของเพศตัวเอง (ซึ่ง ณ ขณะนั้นถูกมองว่าผิดเพศนั่นแหละ) ต่อไปให้ลูกหลานรุ่นถัดไป
หลังจากพิจารณาแล้ว จิตแพทย์ก็ยอมรับคำขอของฮาร์ต ฮาร์ตกลายเป็นเคสแรกในอเมริกาที่จิตแพทย์เสนอให้ผ่าตัดเอาอวัยวะที่ยังแข็งแรงออกด้วยเหตุผลเรื่องอัตลกษณ์ทางเพศ
การผ่าตัดแปลงเพศเกิดขึ้นในปี 1918 .
"...I came home to show my friends that I am ashamed of nothing."
"...ผมกลับบ้านมาเพื่อแสดงให้มิตรสหายของผมเห็นว่า ผมไม่ละอายใจต่อเรื่องใดทั้งนั้น"
– Alan L. Hart
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in