ถึง คนที่กำลังอ่านจดหมายของผมฉบับนี้
ผมมีบางอย่างจะบอก
พ่อของผมชอบเล่านิทานให้ผมฟัง ตั้งแต่เด็ก ๆ จนถึงตอนนี้ พ่อเล่านิทานก่อนนอน ทำท่าประกอบให้ด้วย ผมเคยบอกให้พ่อเลิกเล่านิทาน แต่พ่อยืนยันว่าจะเล่านิทานก่อนนอนให้ผมฟังจนผมอายุครบ 13 ปี ก็แล้วแต่พ่อเลยครับ
พ่อชอบเล่าเรื่องเล่าที่ปู่เคยเล่าให้พ่อฟัง เล่าเรื่องที่พ่อเคยเจอมา เรื่องของตัวเอง เรื่องของเพื่อน หรือแม้กระทั่งเรื่องที่ได้ยินมาอีกที บางครั้งก็ชอบเล่าเรื่องปีศาจ หรือไม่ก็เรื่องลี้ลับ
หลาย ๆ คนคงคิดว่าผมสนิทกับพ่อมากแน่ ๆ แต่ไม่ใช่ครับ ผมไม่มีความผูกพันกับพ่อเลยแม้แต่น้อย คนอื่นคงจะมองว่าผมกับครอบครัวเป็นครอบครัวสุขสันต์ นั่นคือสิ่งที่หลาย ๆ คนเห็น แน่นอนว่าพ่อผมอยากให้เป็นอย่างนั้น
ตอนเด็ก ๆ ผมเชื่อเรื่องนิทานหลอกเด็กของพ่อมากจนกระทั่งเชื่อว่ามีปีศาจอยู่ในบ้าน คอยจับเด็กที่ไม่ยอมนอนไป พอโตมาแล้วผมถึงได้รู้ว่า พี่ที่เคยมาอยู่ที่บ้านผมไม่ได้โดนปีศาจจับตัวไป แต่พี่เขาย้ายออกไปเรียนที่นอกเมือง ผมมารู้ความจริงเอาตอน 10 ขวบ ตอนที่พี่เขากลับมาเยี่ยมที่บ้านผม
แต่พอโตมา ผมถึงได้รู้ว่ามีปีศาจอยู่ในบ้านจริง ๆ ที่ไม่ใช่จากนิทานหลอกเด็กที่พ่อชอบเล่าให้ฟัง แต่เป็นสิ่งที่ผมเจอมากับตัว ...
อย่างที่ผมบอกในตอนแรก คนอื่น ๆ ภายนอกมองว่าครอบครัวผมคือครอบครัวสุขสันต์ แต่ลึก ๆ แล้ว สิ่งที่ผมเจอ คือความเลวร้ายอย่างหนึ่งในชีวิตเลยก็ว่าได้ ถึงแม้ว่าผมจะไม่เคยมีบาดแผลทางร่างกาย แต่บาดแผลทางจิตใจ ผมมีมากมายนับไม่ถ้วน เวลาออกไปเจอหน้า หรือออกไปข้างนอกด้วยกัน สิ่งที่ผมต้องทำคือพยายามฝืนยิ้ม อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการเสแสร้งเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ว่าได้
ผมโดนบีบทุกทาง ถูกบังคับ โดยการบอกว่าเป็นความหวังดี ผมไม่เข้าใจว่าถ้าคนเราหวังดีต่อคนอื่นจริง ทำไมถึงต้องบีบบังคับคนอื่นให้ทำตามสิ่งที่ใจเขาคิดด้วย ผมไม่ชอบเลย แต่ถ้าผมไม่ทำตามเขา คนที่โดนทำร้ายคือผม
ผมเคยโดนกล้อนผมให้แหว่งเสี้ยวนึงก่อนออกไปเรียนตอนเช้าเพราะผมทำไม่ถูกใจเขา ผมโดนเพื่อนล้อ โดนรังแกจากที่โรงเรียน กลายเป็นคนที่ไม่กล้ายุ่งกับใคร อย่าถามถึงเพื่อนสนิทเลยครับ เพราะผมไม่มีแม้กระทั่งเพื่อน จนกระทั่งสี่ปีสุดท้ายในโรงเรียน
จากที่ผมเคยเป็นเด็กหัวไว ตอนนี้ผมกลายเป็นเด็กหัวช้า ไม่ใช่ว่าผมคิดไม่ออก หรือว่าผมเรียนไม่รู้เรื่องนะครับ แต่เป็นเพราะสิ่งที่ผมเจอที่บ้าน ทำให้ผมคิดเยอะเกินไป เยอะเกินกว่าที่จะกล้าพูดออกมา ผมประเมินความเสี่ยงทุกด้าน ผมคิดแล้วว่า ถ้าผมนิ่งเงียบ มันจะทำให้ผมเสมอตัว รอดที่จะโดนรังแกในหลาย ๆ ด้าน เป็นการปกป้องตัวเองที่ดีระดับหนึ่ง
แต่เมื่อผมโตขึ้นมา นั่นก็ทำให้ผมรู้เลยว่าเป็นสิ่งที่ผิด และแย่เอามาก ๆ มันทำให้ผมไม่กล้าคิดอะไรนอกกรอบเพราะกลัวว่าจะมีสิ่งอื่นตามมา ผมคิดเยอะมาก จนคนอื่น ๆ บอกว่าผมคิดเยอะเกินไป ความกังวลใจทำให้ผมแย่กว่าที่คิด
แน่นอนว่าเวลาน้องของผมทำอะไรผิด คนที่โดนหนักคือผม เวลาให้ทำงานบ้าน คนทำก็คือผม เพราะแม่บอกว่าโตแล้วต้องทำงานบ้านเองเป็น พอผมถามว่าเมื่อไหร่น้องจะต้องทำบ้าง ทุกคนบอกว่า เดี๋ยวน้องอายุเท่าผมเมื่อไหร่ค่อยให้ทำ เพราะตอนนี้น้องยังเด็กอยู่
น้องผมคิดว่าแม่เสกเงินได้ อยากได้อะไร แม่ก็ซื้อให้หมด ส่วนผมอยากได้แค่ไหนก็ต้องประหยัด ไม่ใช่ว่าผมหาเงินเองได้แล้ว แต่ผมรู้ว่ากว่าจะได้เงินมา มันต้องทำงานขนาดไหน ผมอยากได้อะไร ผมก็เก็บเงินซื้อเอง แต่ผมเห็นน้องใช้เงินของแม่เยอะเกินกว่าที่ผมเคยใช้ ผมท้วง แต่ไม่เกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างเหมือนเดิม ราวกับคำพูดของผมไม่มีความหมาย
ผมไม่อยากจะพูดถึงน้องซักเท่าไหร่ เพราะน้องของผมมักจะได้แต่อะไรดี ๆ ตลอด เวลาผมสอบได้คะแนนดี ไม่มีใครพูดถึง แต่ถ้าเป็นน้องของผมสอบได้คะแนนดี ทุกคนพูดถึงกันไม่เคยหยุด ถ้าผมสอบตก ผมโดนพูดเรื่องนั้นทั้งเทอม ต่อให้ผมได้คะแนนวิชาอื่นดีก็ตาม แต่ถ้าน้องผมสอบตก พูดถึงแค่วันนั้นวันเดียว และไม่มีการซ้ำเติมต่ออีก ใช่ครับ ผมอิจฉาน้อง ที่น้องได้อะไรดี ๆ ตลอด ผมก็ได้นะ แต่ไม่มากเท่าน้อง ทั้งในอายุเท่านั้น หรืออายุปัจจุบันของผมก็ตาม เวลาผมอยากได้อะไร ส่วนมากมักจะเป็นของที่ผมเก็บเงินซื้อเอง แต่ถึงยังไง น้องผมก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิตของผมแล้วล่ะ ไม่มีใครเข้าใจผมได้ดีเท่าน้อง
การที่ผมเป็นเด็กเก็บตัวแบบนี้มันแย่ถึงแย่มาก ๆ สังคมผมแคบ เพื่อนมีน้อยมาก ผมเคยตามโลกไม่ทันจนกระทั่งผมมีเพื่อนทางอินเทอร์เน็ต ถึงกระนั้น ผมเองก็ยังโดนเหมือนกับที่ผมเคยโดนสมัยยังเด็ก แต่โชคดีที่มีเพื่อนส่วนหนึ่งจริงใจกับผม
ทุกวันนี้ผมใช้ชีวิตอยู่กับโลกออนไลน์มากกว่าพบปะคนจริง ๆ เพราะผมรู้สึกสบายใจกว่าที่จะต้องเผชิญหน้ากับคนอื่น ๆ สาเหตุมาจากตอนเด็ก ๆ นี่แหละครับ ผมไม่อยากให้เขียนลงเรื่องนี้หรอก เพราะคงไม่มีใครอยากรู้ถึงปัญหาหรือสิ่งที่ผมต้องเผชิญล่ะมั้ง
ปีศาจร้ายของผมยังคงตามหลอกหลอนผมอยู่จนถึงทุกวันนี้ เปลือกนอกคนอื่นมองว่าผมเป็นเด็กยิ้มง่าย มีความสุขตลอดเวลา แต่สิ่งที่ผมมีความสุขจริง ๆ มันหายากเอามาก ๆ เพราะทุกวันนี้ผมไม่รู้ว่าสิ่งไหนคือสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขจริง ๆ ผมรู้แค่ว่ามีแค่บางสิ่งที่พอจะทำให้ผมลืมสิ่งแย่ ๆ ที่ผมต้องเจอมาในแต่ละช่วงเวลา
ผมตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ ใช้เวลาเยียวยาจิตใจได้ดีระดับหนึ่ง ในเวลาหนึ่งปีที่ไปหาหมอ ไม่มีการใช้ยาช่วยแต่อย่างใด ตอนนั้นก็รู้สึกดีขึ้นนะครับ ดีขึ้นเรื่อย ๆ ไต่มาเป็นระดับ แต่ก็ยังไม่วาย มีคำพูดตอกย้ำผมเสมอว่าคนที่ไปพบจิตแพทย์เป็นคนบ้า ผมเป็นโรคประสาท ฯลฯ แต่ผมรู้ตัวเองดีว่าคนที่ไปพบจิตแพทย์ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนบ้าก็ไปพบหมอได้เช่นกัน
เมื่อผมเรียนจบมหาวิทยาลัยแล้ว ผมก็ยังคงถูกบีบบังคับอยู่ทุกทาง ถึงแม้ว่าจะมีอิสระบ้างเล็กน้อย แต่ก็ยังมีคำกระทบกระเทียบ มีคำพูดแย่ ๆ มาคอยทำร้ายจิตใจอยู่เสมอ นานวันเข้า ก็มากขึ้นเรื่อย ๆ ผมเหนื่อยที่จะต้องทนอยู่กับสิ่งแบบนี้อีกต่อไป
ผมรู้สึกโดดเดี่ยวเกินกว่าที่ใครจะเข้าใจ เพราะขนาดครอบครัวของผมเองยังไม่เข้าใจผมเลย ขนาดผมบอกไปเท่าไหร่ พูด อธิบายมากเท่าไหร่ ก็ดูท่าทีแล้วว่าไม่เข้าใจ เขาบอกว่าผมต้องปรับ แล้วก็ต้องปรับ ผมต้องปรับตัวเองอีกขนาดไหน เพื่อที่จะถูกใจเขา
สถานที่ที่ผมมีความสุขคือนอกบ้าน และในห้องนอนเล็ก ๆ ของตัวเอง ผมใช้เวลากับโลกอินเทอร์เน็ต ใช้เวลากับหนัง ซีรี่ส์ เพลง หนังสือ กีตาร์ น่าจะมีแค่ไม่กี่อย่างที่สร้างความสุขให้ผมได้ ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นความสุขในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่มันคือความสุขสำหรับผม
จนมาถึงวันนี้ วันสุดท้าย ผมอยากจะทิ้งทุกอย่างไว้ข้างหลัง แล้วอยากจะไปมีความสุขตลอดไป
ขอให้โชคดีครับ
เจค
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in