เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Still images of melancholy ภาพนิ่งของความเศร้าjchang
A mother and an alien แม่และมนุษย์ต่างดาว





  • จำได้ว่ามีช่วงหนึ่งที่ฉันคลั่งไคล้ทฤษฎีของไอสไตน์ หลุมดำ ควอนตัม และอะไรก็ตามที่ทำให้  Stephen Hawking ได้รางวัลโนเบล 


    ตอนนั้นฉันใช้เวลาทั้งวันนั่งดูสารคดี และมีตอนนึงที่นักวิทยาศาสตร์ดั้งคำถามว่าเอเลี่ยนมีจริงรึเปล่า?


    นักวิทยาศาสตร์บอกว่ามันเป็นไปได้น้อยมากที่พวกเราจะเป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งเดียวในจักรวาลที่กว้างใหญ่

     
    ที่ว่ามนุษย์ต่างดาวมีจริงมั้ย คำตอบง่ายๆก็คือมี 


    แต่ก่อนจะเริ่มหาเราควรเลิกเรียกพวกเขา ‘มนุษย์’ต่างดาวเสียก่อน


    ควรเลิกคิดว่า สิ่งมีชีวิตที่เราตามหาคือ 'มนุษย์'


    จริงๆแล้วที่ดาวดวงอื่น มนุษย์อาจจะพัฒนาไปไกลมากจนไม่มีร่างเนื้อเหมือนมนุษย์​อย่างพวกเราหรือไม่อย่างงั้นก็อาจจะกลายเป็นอนุภาคเล็กๆที่เรามองไม่เห็นและไม่รู้จักเลยก็ได้ 


    คิดดูสิว่าทุกอย่างในโลกล้วนพัฒนาจากสิ่งที่ใหญ่ไปสู่สิ่งที่เล็กลงไปเรื่อยๆ ทั้งคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ หรือแม้กระทั่งอาหารที่ตอนนี้กลายเป็นเพียงยาอัดเม็ด 


    ไม่มีอะไรพัฒนารูปร่างภายนอกให้ใหญ่โตเทอะทะ ไดโนเสาร์ที่สูญพันธ์ไปแล้วบอกเราว่าอะไรใหญ่โตแบบนั้นมักมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน และถ้ามนุษย์จะมีชีวิตอยู่รอดในจักรวาลนี้ต่อไป พวกเราจะต้องเล็กลง และเล็กลงไปเรื่อยๆ 


    บอกตามตรงว่านี่เป็นทฤษฎีเดียวที่ฉันจำได้จากากรดูสารคดีอย่างบ้าคลั่งในฤดูร้อนนั่น และมันทำให้ฉันเชื่อว่า ความคิด ไอเดีย ไร้รูปร่างในหัวไม่มีขอบเขต คนเราสามารถคิดฝัน สร้างสรรค์อะไรก็ได้ในหัว สิ่งเดียวที่เป็นเหมือนปราการและรัวกั้นความคิดพวกนั้นคือร่างกายของเราเอง คือความจริงที่ว่าเรามีร่างกายเพียงร่างเดียวและร่างร่างนี่สามารถมีชีวิตอยู่ได้แค่ประมาณ 100 ปี และนี่คือเหตุผลเดียวที่ไอเดียบรรเจิดทุกอย่างเจอจุดจบก่อนที่มันมีโอกาสได้กลายเป็นจริง 



    “มันแย่มากๆ การเกิดเป็นมนุษย์ ติดอยู่กับร่างกายนี่ โลกใบนี้ ทั้งๆที่ในหัว ความคิดพาเราไปอยู่ที่โลกใบอื่นตั้งนานแล้ว” 



    ฉันจำได้ฉันพูดกับแม่ในตอนที่เราสองแม่ลูกไปเที่ยวทะเลด้วยกัน มันเป็นตอนพระอาทิตย์ตกดินและฉันเดินถ่ายรูปพระอาทิตย์มาได้เกือบชั่วโมง พร่ำเพ้อเป็นพันล้านครั้งว่าไม่มีอะไรสวยงามเท่ากับดวงอาทิตย์ที่หล่นไปในทะเล  ช่วงเวลาเดียวที่สีสันทุกอย่างปรากฎขึ้นพร้อมกันอย่างอิสระ ช่วงเวลาที่ฉันลุ่มหลงและคลั่งไคล้ที่จะเฝ้ามองราวกับความงามของมันเป็นบ่อพลังงานให้ฉันดูดกลืนได้อย่างไม่หมดสิ้น 


    แม่ไม่ได้ตอบคำถาม แต่มองฉันที่เอาแต่สนในภาพพระอาทิตย์ตก แม่บ่นแค่ว่าพระอาทิตย์ก็สวยดี แต่การนั่งดูอยู่เป็นชั่วโมงแค่เพราะมันสวยดูจะเป็นสิ่งที่แม่เข้าไม่ถึง 



    “ทำไมลูกถึงเป็นคนแบบนี้ได้นะ ทำไมถึงชอบคิดอะไรแบบนี้” 



    แม่ตอบคำถามฉันด้วยการตั้งคำถามกับตัวเอง หันไปมองแม่ ในชั่วนาทีนั้นฉันเห็นใบหน้าของคนแปลกหน้า คนที่ไม่รู้จักฉัน ไม่เข้าใจฉัน ดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยเคลือบไปด้วยความไม่รู้ก่อนจะถูกซ่อนไว้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น  ฉากหลังเป็นสีม่วงปนเหลืองที่ไร้ชื่อเรียกของท้องฟ้า แม่ที่ยืนทาบไปกับสีสันประหลาดพวกนั้นเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตจากดวงดาวที่ห่างไกล บางทีฉันอาจจะเคยเจอกับแม่แล้วในฝันที่เชื่อมต่อปลายจักรวาลสองฝั่งไว้ด้วยกัน แต่ตอนที่แม่พูดแบบนั้นออกมา พวกเราก็แค่คนแปลกหน้า 


    “แม่เป็นคนเลี้ยงมาเองนะ แม่จะไม่รู้ได้ยังไง” 


    ฉันพูดติดตลก แม่คลี่ยิ้มเหมือนพยายามหัวเราะแม้ว่าไม่ได้รู้สึกตลกเลยสักนิด สีหน้าบ่งบอกว่าผิดหวังที่แม่ไม่รู้จริงๆว่าฉันเป็นคนแบบนี้ได้อย่างไร  ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฉันมาอยู่ตรงหน้าแม่ได้ยังไง และตัวตนข้างในภายใต้ร่างกายของฉันเป็นยังไง 



    เป็นคำถามไร้เดียงสากับสีหน้าแบบนั้นของแม่ที่ฉันรู้สึกกลัว 



    แม้กระทั่งแม่ที่ให้กำเนิดและเลี้ยงฉันมายังไม่รู้เลยว่าฉันเป็นคนแบบนี้ได้ยังไง และฉันที่เป็นลูกของแม่จะมีโอกาสเข้าใจตัวเองได้อย่างไร 


    สายตาว่างเปล่าของแม่ทำให้ฉันรู้สึกว่าการรู้จักและเข้าใจใครสักคนมันช่างเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน  แม้กระทั่งแม่ที่ตั้งท้องฉันมาตลอดเก้าเดือนและสร้างฉันขึ้นมาเอง ยังตั้งคำถามว่าฉันมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง 




    มันน่ากลัว 



    คุณไม่รู้สึกเหรอ 


    มันแปลว่าไม่มีใครบนโลกรู้จักคุณเลย และในขณะเดียวกันคุณก็ไม่มีทางรู้จักคนอื่นบนโลกได้อย่างถ่องแท้เช่นกัน ระหว่างพวกเรามีช่องว่างขนาดใหญ่ที่ยาวหลายปีแสง 


    ในขณะที่พยายามตามหาเอเลี่ยนที่อยู่นอกโลก เราไม่เคยรู้เลยว่าเราต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันและกันตลอดเวลา ไม่เคยพยายามอย่างเต็มที่ที่จะตามหาพวกเขา ปล่อยให้ร่างเอเลี่ยนของพวกเขาซ่อนอยู่ภายใต้ร่างเนื้อและเสื้อผ้าที่เราคุ้นตา เราปล่อยให้กันและกันโดดเดี่ยวอยู่ในจักรวาลกว้างใหญ่ของจิตใจของเราเอง  



    “ไปกันเถอะ พระอาทิตย์ตกแล้ว ออกไปหาอะไรทานกัน” 



    แม่เปลี่ยนเรื่องตอนที่เห็นฉันเงียบไป ตอนนั้นฉันไม่แน่ใจว่าคำว่า แม่ เเปลว่าอะไรกันแน่ มันเป็นคำเหมือนของคำว่าเอเลี่ยนรึเปล่า ฉันไม่แน่ใจเลยสักนิด 



    “กินอะไรกันดี จะทานในโรงแรมหรือเบื่อแล้วอยากไปลองร้านอาหารข้างนอก” 


    แม่ถามต่อ  ยังปล่อยให้ฉันลอยเคว้างอยู่ในจักรวาลของตัวเองอย่างหวาดกลัว 




    “ไปกินอาหารทะเลดีมั้ย ปกติลูกไม่ค่อยได้กินใช่มั้ย ร้านที่อ่านเจอในนิตยสารชื่ออะไรนะ ไปกันดีมั้ย” 



    แม่หันมาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนที่สมองฉันจะบอกว่าคนตรงหน้าคือ แม่ของฉัน  



    เอเลี่ยนที่รักฉัน 

    และอยากพาฉันไปทานอาหารทะเล 





    “ยังไงก็ได้ ร้านนั้นไกลไม่ใช่เหรอ แม่ไม่ต้องขับรถไปไกลหรอก ทานใกล้ๆแถวนี้ก็ได้” 


    ฉันตอบแม่ 


    เอเลี่ยนที่ฉันรัก

    และไม่อยากให้ต้องขับรถข้ามเกาะเพื่อพาฉันไปที่ร้านอาหารนั่น 





    เป็นตอนนั้นที่ฉันรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างเราลดลง แน่นอนว่าเรายังเป็นเอเลี่ยนแปลกหน้าที่อยู่กันคนละดาวหรืออาจจะคนละจักรวาล แต่ก็เหมือนกับที่นาซ่าพยายามจะส่งจรวดออกไปสำรวจดาวดวงอื่น พวกเราส่งผ่านความรักเพื่อสำรวจตัวตนของกันและกัน 





    ไม่ได้หวังจะรู้จักหรือเข้าใจกันไปทุกอย่าง 





    "ไม่เหนื่อยหรอก แม่ขับได้ ไปกินอาหารอร่อยๆกันเถอะ ปกติอยู่หออดยากมากไม่ใช่เหรอ"





    ก็แค่อยากจะติดต่อกันไว้ …





    "ไม่อดยาก ออกไปกินข้างนอกตลอด กินใกล้ๆนี่แหละ รีบกิน รีบนอน พรุ่งนี้จะได้ตื่นไปเที่ยวต่อแต่เช้า"




    "ไปเหอะ ขับรถไม่นานไม่ใช่เหรอ ไหนๆก็มาแล้ว"



    "ไม่ต้องไปหรอก กินร้านข้างโรงแรมก็ได้"


    "ไปเหอะ"


    "อย่าเลย" 









     เพื่อปลอบใจว่าเราต่างไม่ใช่สิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวในจักรวาล.  







เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in