เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Gabriel's Workshop - A Den of Antiquities Spin-Offpiyarak_s
Who Wants to Live Forever #Fictober Day 6-10
  • Who wants to live forever Day 1-5





    Day 6: Sword

     

    “ทำไมนายถึงถามเธอเรื่องโอกาสครั้งที่สอง” สแตนลีย์ถามคนที่เดินอยู่ข้าง ๆ ชะลอฝีเท้ารอให้อีกฝ่ายลงบันไดมาช้า ๆ



    เพื่อนของเขาไม่ได้ปฏิเสธความช่วยเหลือเมื่อเขาส่งมือให้ “นั่นเป็นเรื่องที่ค้างคาใจนายมาตลอดไม่ใช่เหรอ สแตนลีย์”

     

    คำตอบของเกเบรียลทำให้เจ้าของร้านเด็นออฟ แอนทิควิตี้ส์ชะงัก

     

    “นายกำลังสงสัยใช่ไหมว่าแม้กระทั่งคนอย่างเดอ ควินซีย์ก็ไม่ต้องการให้ลูกเขาฟื้นคืนชีวิตกลับมาเลดี้เบียทริซก็ด้วย”



    พนักงานประเมินราคาสบตากับเพื่อนร่วมงานที่คบหากันมานานหลายสิบปี “ถ้านายถามปู่เจคอบ คำตอบก็คงไม่ต่างกัน”



    เจ้าของชื่อที่เขาพาดพิงถึงซึ่งปรากฏตัวอยู่ใกล้เคียงกันนั้นก็พยักหน้ายืนยันในคำตอบของหลานชายที่ยังมีชีวิตอยู่ของตนเอง

     

    อาจมีวิญญาณบางตนที่รุกรานและเบียดเบียนมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อขอโอกาสในการทำสิ่งที่ค้างคาที่ไม่เคยทำก่อนตาย แต่วิญญาณส่วนใหญ่ที่พบเจอมาไม่ร้องขอ ไม่ปรารถนาที่จะฟื้นคืนชีวิตกลับมาใหม่ ขอเพียงเรื่องที่ค้างคาจบสิ้นก็จากไป พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะอยู่ไปตลอดกาลและไม่ปรารถนาที่จะกลับมามีชีวิตเยี่ยงมนุษย์อีกครั้ง 



    เขายังไม่เคยได้ยินวิญญาณตนไหนบอกว่า อยากเป็นอมตะ


     

    ความปรารถนาเหล่านั้นช่างตรงกันข้ามกับสิ่งที่เขาเคยเรียนรู้มา ‘ในชีวิตก่อนหน้านี้’ ที่ทำให้เขาตัดสินใจจะทิ้งมันไว้เบื้องหลัง



    ดาบเล่มหนึ่งอาจบั่นคอคนให้ขาดจากร่างและจบชีวิตของคนคนนั้นได้ แต่ดาบที่ใช้สังหารเล่มนั้นไม่อาจตัดสายใยบางอย่างได้เลย อดีตของเขาก็เช่นกัน มันยังคงหวนกลับมาเยี่ยมเยียนเป็นครั้งคราว เหมือนคมมีดที่ทิ่งแทงตัวตนในปัจจุบันอยู่เป็นระยะ


     

    “เราไปกันเถอะ” เกเบรียลบีบมือของสแตนลีย์ เตือนให้ออกจากบริเวณปราสาทก่อนถึงเวลาปิดทำการในอีกครึ่งชั่วโมงข้างหน้า



    “ฉันยังไม่เคยเล่าเรื่องของโรส มอร์ตันให้นายฟังใช่ไหม... เดี๋ยวเราไปหาที่นั่งพักกัน แล้วฉันจะเล่าเรื่องของเธอให้นายฟัง”





    Day 7: Shy


    ไม่บ่อยนักที่เกเบรียลจะเล่าเรื่องส่วนตัวให้ใครฟัง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับผู้คนที่ทำงานในเด็น ออฟ แอนทิควิตี้ส์ ไม่มีใครก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของใคร ทุกคนเคารพความเป็นส่วนตัวของกันและกัน รับรู้ ยอมรับ และเข้าใจ ง่าย ๆ แค่นี้เอง



    ถึงจะสนิทและรู้จักรู้ใจกันมานานในฐานะเพื่อนร่วมงานและเพื่อนสนิท แต่ความรักก่อนหน้าของเกเบรียลก็ยังคงเป็นความลับ แต่คราวนี้เจ้าตัวเป็นฝ่ายออกปากว่าจะเล่าเรื่องของตนเองกับผู้หญิงคนสำคัญที่ผ่านมาในชีวิตให้เจ้าของร้านฟังเอง

     

    ตามปกติแล้วโรส มอร์ตันเป็นหญิงสาวที่ขี้อายและพูดน้อย แต่ไม่ใช่เวลาที่เธอเล่นดนตรี เพราะไวโอลินคือ สื่อและเสียงของเธอ 


    เกเบรียลพบเธอครั้งแรกในงานแสดงศิลปะและดนตรีประจำปีที่เอดินบะระ แต่ได้พูดคุยกับเธอครั้งแรกในเวิร์กช็อปงานไม้ที่ลงด้วยกัน



    ไม่ใช่ความรักโรแมนติกแบบหนุ่มสาวในวัยเรียนเหมือนคู่อื่นทั่วไป พวกเขาพูดน้อยกับคนอื่น แต่กลับถูกคอกันจนลืมความเขินอายที่มี เขาไปฟังดนตรีที่เธอเล่นกับวงควอเต็ท ส่วนเธอว่างจากซ้อมก็ไปร้านหนังสือ พิพิธภัณฑ์ และแกลเลอรี่กับเขา ไม่มีอะไรพิเศษ



    ครอบครัวของเธอรู้จักเขา ครอบครัวของเขาได้ยินเรื่องเธอ แต่ก่อนที่อะไรหลายอย่างระหว่างกันจะคืบหน้าอย่างที่ควรจะเป็น โรสประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ระหว่างเดินทางไปเล่นดนตรีกับเพื่อนในวงทุกคนเสียชีวิต ส่วนเธอกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา เขารู้เรื่องทุกอย่างหลังจากกลับมาจากอเมริกาเพื่อรับปริญญาและจัดการใบอนุญาตทำงานในอังกฤษต่อเพราะได้งานทำแล้ว


     

    ฤดูร้อนปีนั้น เป็นฤดูร้อนที่เกเบรียล มาห์เลอร์ยากจะลืมเลือน



     

    “ในทางเทคนิคโรสตายไปแล้ว” เกเบรียลบอก น้ำเสียงบ่งบอกอารมณ์บางอย่างที่สแตนลีย์เข้าใจแต่หาคำอธิบายได้ยาก “เธอมีลมหายใจอยู่ได้เพราะเครื่องช่วยหายใจกับยาสารพัดอย่าง และในช่วงเวลานั้นไม่มีใครเข้าใจเรื่องสิทธิที่จะตาย”

     

    วิญญาณของโรสมอร์ตันถูกกักขังไว้กับร่างของตนเอง และคำพูดแรกที่เธอเอ่ยกับเขาเมื่อรู้ว่าเขามองเห็นเธอได้ คือ...


    “ได้โปรดปล่อยให้ฉันไปเถอะนะ เกเบรียล ช่วยบอกพวกเขาได้ไหมว่า ปล่อยฉันไปที”

     

     

     

     

     

     

    Day 8: Crooked

     


    “ฉันรักเธอสแตนลีย์... เคยรัก” 



    เสียงของเกเบรียลขาดหาย เขากระแอมเบา ๆ เสจิบเอลของตนเองก่อนหันกลับมายังคู่สนทนา



    “การเห็นเธออยู่ตรงหน้าโดยที่ไม่ใช่คนเป็นแต่ก็ไม่ใช่คนตาย เป็นเรื่องเจ็บปวด แต่นั่นไม่เท่ากับตอนที่เธอร้องขอความตายจากนาย”


     

    “ฉันเข้าใจ...” สแตนลีย์พึมพำ เสี้ยวอดีตส่วนหนึ่งของพวกเขาคล้ายคลึงแต่รายละเอียดของเรื่องราวเหล่านั้นแตกต่างออกไป



    “ฉันเชื่อว่านายเข้าใจ” พนักงานประเมินราคาขยับริมฝีปาก คล้ายจะยิ้มน้อย ๆ แต่สั้นเกินกว่าจะสังเกตเห็นได้ว่าใช่หรือไม่ “มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากและเป็นช่วงเวลาที่นายเกลียดสัมผัสพิเศษของนายเพราะนายต้องรับรู้ในสิ่งที่นายแก้ไขไม่ได้”


     

    การปลดปล่อยโรสตามความปรารถนาของเธอยากลำบากไม่ต่างจากการขับรถบนถนนขรุขระและคดเคี้ยวที่ขโมยชีวิตเธอไป

     


    โรส มอร์ตันรักครอบครัวของเธอสุดหัวใจ เกเบรียลรู้ เธอผูกพันกับพ่อแม่และพี่น้องทุกคน แต่เธอไม่สามารถฝืนอยู่ในสภาพนี้ได้อีก



    สัมผัสของเขาช่างไร้ประโยชน์ เมื่อคิดว่า ใครหรือจะฟังคำขอของเขาให้ถอดเครื่องช่วยหายใจออกจากร่างแล้วปล่อยให้เธอหลับไปอย่างสงบ



    ต่อให้เขาอยากจะช่วยเธอให้พ้นจากความทุกข์ทรมานจากการถูกกักขังไว้ในร่างกายของตนเอง เขาก็ไม่อาจลงมือทำเช่นนั้นได้ ถ้าเขาถอดเครื่องช่วยหายใจ หรือทำให้เธอได้พบกับความตายอย่างแท้จริง เขาอาจกลายเป็นฆาตกรที่ฆ่าเธอไปเสียเอง


     

    “นายรักเธอ แต่ไม่ต้องการให้เธอมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างที่ครอบครัวของเธออยากให้อยู่อย่างนั้นเหรอ”



    “แล้วนายล่ะสแตนลีย์... ทำไมนายถึงไม่อยากให้คนที่นายเคยรักฟื้นคืนชีพกลับมาหานาย ทั้งที่นายเองก็ทำอย่างนั้นได้”

     


    คนที่เขาย้อนถามเงียบไป... นั่นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้สแตนลีย์ พาร์คเกอร์ คือ สแตนลีย์ พาร์คเกอร์ในปัจจุบัน

     

     

     

     

     

    Day 9: Screech


    ความทรงจำเกี่ยวกับโรส มอร์ตันผูกพันอยู่กับบทกวีและเพลง The Last Rose of Summer เสมออย่างช่วยไม่ได้ แต่โชคดีที่เกเบรียลไม่ต้องและไม่ได้ปลิดกลีบกุหลาบดอกสุดท้ายที่ตกค้างอยู่เพียงลำพังปลายฤดูร้อนนั้นด้วยมือตัวเอง



    สิ่งที่เขาทำได้ดีที่สุดและด้วยความพยายามอย่างที่สุดแล้ว คือ ขอร้องครอบครัวของโรสไม่ให้ช่วยเธอให้ฟื้นคืนขึ้นมาอีกครั้ง และหากเธอต้องไปจริง ๆ ในคราวนี้ เขาขอให้ปล่อยให้เธอไปอย่างสงบ เขาบอกครอบครัวของเธอว่า โรสเคยขอเขาเอาไว้อย่างนั้น หากเกิดอะไรขึ้น



    เขาไม่ได้โกหก เพราะเธอบอกกับเขาเช่นนี้จริง ๆ แต่เขาไม่ได้พูดความจริงทั้งหมดว่า คำขอนั้นมาจากวิญญาณของเธอที่อยู่ที่นี่ด้วย นี่เป็นเรื่องยากเย็นที่สุดในชีวิตของเขายากยิ่งกว่าพยายามทำให้ใครสักคนเชื่อว่า เขามองเห็นและสื่อสารกับวิญญาณได้เสียอีก


     

    ในความทรงจำของพนักงานประเมินราคาพ่อกับแม่ของโรสนิ่งฟังคำของเขา และเงียบไปเนิ่นนานจนเขาใจเสีย



    เขาเตรียมใจเอาไว้สำหรับการถูกด่าว่าหรือแม้กระทั่งถูกไล่ออกไปให้พ้นหน้า แต่คำตอบที่เขาได้รับกลับไม่เป็นอย่างที่คิด




    อีก 2-3 วันต่อมา เขากลับไปเยี่ยมโรสที่โรงพยาบาลอีกครั้ง และในวันนั้น เสียงกรีดแหลมจากอุปกรณ์พยุงชีพเป็นเสมือนเสียงกรีดร้องของภูตแบนชีหรือนกเค้าแมวลางบอกเหตุว่า จะมีใครสักคนสิ้นใจดังมาจากห้องของเธอ

     


    “ขอบคุณเกเบรียล” เสียงกระซิบแผ่วและความเย็นจากริมฝีปากที่เคยอบอุ่นของโรสที่แนบลงบนริมฝีปากของเขาเป็นสิ่งที่บอกว่าเธอเป็นอิสระจากพันธนาการในชีวิตนี้แล้ว 



    เขาเดินเข้าไปในห้องของเธอ โอบกอดคนในครอบครัวของเธอ เขาเห็นวิญญาณของหญิงสาวกระซิบคำลากับทุกคน เธอบอกรักเขาเป็นครั้งสุดท้าย เมื่อเขาจูบร่างไร้ชีวิตของเธอ


     

    “พ่อกับแม่ของโรสยอมตกลง...” เกเบรียลบอกสแตนลีย์ ดวงตาของเขาจับจ้องที่ไหนสักที่หนึ่งซึ่งไม่ใช่ใบหน้าของคนฟัง



    “เหลือเชื่อที่พวกเขายอมฟัง...” ดวงตาของเขาฉายอารมณ์ที่แปลความหมายได้ยากแต่คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามจับความรู้สึกได้



    “ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อ เก๊บ พวกเขาอาจลังเลที่จะปล่อยเธอไป แล้วนายก็เข้ามาในเวลาที่ใช่ปาฏิหาริย์ของโรสคือตัวนาย”



    พนักงานบัญชีมองหน้านายจ้างขยับปากเหมือนจะแย้ง แต่ก็เปลี่ยนใจ พยักหน้าและยิ้มน้อย ๆ 



    “แล้วแต่นายเถอะ...”  

     

     

     

     

     

     

     


    Day 10: Gigantic



    สสารหนัก 21 กรัมที่เรียกว่าวิญญาณ เมื่อออกจากร่างอาจดูน้อยนิด แต่น้ำหนักความทุกข์กดทับคนอยู่หนักหนามหึมากว่านั้น



    สสารหนัก 21 กรัมที่เรียกว่าวิญญาณที่ว่าเพียงแต่เปลี่ยนที่อยู่ ไม่ได้สูญหายไปไหน เพียงแต่มีคนที่สัมผัสได้และสัมผัสไม่ได้

     


    เมื่อยังเด็กกว่านี้ และรู้แน่แก่ใจแล้วว่าสัมผัสของเขาพิเศษกว่าคนอื่นเขามองเห็นวิญญาณที่ยังวนเวียนอยู่บนโลกนี้ได้ เกเบรียลเคยเป็นทุกข์เคยกังวลเช่นเดียวกับเด็กอีกหลายคนที่เคยได้ยินเรื่องภูตผีที่หลอกหลอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่



    เมื่อเติบโตขึ้นและเรียนรู้ที่จะแยกแยะและควบคุมสิ่งที่ตัวเองเป็น ในบางครั้ง เขายอมรับว่า เขาโชคดีที่มีสัมผัสดังกล่าว เพราะอย่างน้อยที่สุด เขาก็เรียนรู้ว่า ความตายไม่ใช่การสูญเสียใครบางคนไปตลอดกาลและเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งใหม่ของใครคนนั้น

     

    ความเป็นความตายของโรส มอร์ตันทำให้เขาเติบโตมากกว่าเก่า เธอสอนให้เขารู้ว่า บางครั้ง ความรักต้องการการปล่อยมือให้อีกฝ่ายเป็นอิสระมากกว่าการฉุดรั้งเอาไว้ และนั่นเป็นการยืดเวลาความเจ็บปวดของทั้งสองฝ่ายเอาไว้มากกว่าบรรเทา



    ความตายอาจไม่ได้ทำให้คนที่เรารักหายไปไหน... การมองเห็นคนที่ตายแล้วยังคงอยู่กับคนที่เขารักอย่างน้อยช่วงเวลาหนึ่ง ทำให้เกเบรียลพร้อมตัดสินใจปลดปล่อยคนที่เขารักให้จากไปได้ง่ายกว่าคนอื่นเป็นไม่กี่ครั้ง ที่เขานึกขอบคุณสัมผัสนี้

     


    ช่วงเวลาที่สสารหนัก 21 กรัมของโรสหลุดลอยออกจากร่าง เป็นเวลาเพียงชั่วพริบตาเท่านั้นเอง

    แต่เป็นเสี้ยวนาทีที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำของเขามาจนถึงทุกวันนี้ และเมื่อนึกย้อนกลับไปในเวลาที่ยากลำบากนั้น เขาไม่ได้ถูกความทุกข์โถมทับอย่างที่เคยคิด แต่ความจริงแล้ว มวลความทุกข์มหึมาก้อนนั้นถูกยกออกจากใจไปต่างหาก



    เขาไม่ได้ไม่รักเธอ แต่เขารักเธอมากพอที่จะยอมปล่อยเธอไปในช่วงเวลาที่เธอจำเป็นต้องไป และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง

     


    เกเบรียลมองสแตนลีย์ที่นั่งอยู่ตรงหน้าของเขาและฟังเรื่องราวของโรส มอร์ตันจากปากของเขา และนึกทวนคำพูดของอีกฝ่าย



    ตอนนี้ สแตนลีย์ยังต้องมีใครสักคนและเขาคือคนนั้น แต่ถ้าหากเขาต้องตายไปจริง ๆ เขาก็รู้ว่า 21 กรัมของตัวเองจะอยู่ที่ไหน



    ------------------------------------ 


    สำหรับ fictober ปีนี้ ได้แค่ 10 วันจริงๆ ละค่ะ ส่วนเรื่องของคุณสแตนลีย์ที่ตั้งใจเขียนไว้ตอนแรก ก็คงต้องหาโอกาสเขียนแยกทีหลัง


    ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ^^

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in