เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Gabriel's Workshop - A Den of Antiquities Spin-Offpiyarak_s
Who Wants to Live Forever #Fictober Day 1-5
  • Day 1: Swift


     

    “ถ้าเป็นไปได้ผมอยากจะกลับไปวันที่ตัวเองอายุยังน้อยหรือหนุ่มขึ้นกว่านี้ จะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองพลาดมา”



    สแตนลีย์พับจดหมายที่สอดอยู่ในหนังสือเก่าที่ภรรยาของคนที่เขาช่วยพาส่งโรงพยาบาลให้มาอ่านฆ่าเวลากลับคืน ไม่มีจิตวิญญาณของเจ้าของจดหมายติดมา เพราะคนที่เขียนอะไรแบบนี้และสะเพร่าทิ้งเอาไว้ยังไม่ตาย แต่ก็เกือบตาย


     

    “No wise man ever wished to be younger.” เกเบรียลว่า พาดพิงไปถึงเจ้าของจดหมายที่เขารู้จักมากเกินพอ “ไม่มีคนมีสติปัญญาคนไหนปรารถนาจะย้อนวัยกลับไปเยาว์อีกครั้ง... โจนาธาน สวิฟต์เขียนไว้ในเล่มไหนสักเรื่อง”



    พนักงานบัญชีค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นจากที่นอนขมวดคิ้ว เพราะอาการเจ็บหลังจาก ‘อุบัติเหตุ’ ที่เพิ่งเผชิญมา เขายกมือห้าม เมื่อเพื่อนเก่าแก่ที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาใกล้ ๆ ทำท่าจะลุกขึ้นมาช่วย


     

    “ถ้านายหนุ่มกว่านี้นายอาจจะไม่ต้องทรมานกับอาการเจ็บหลังจากกล้ามเนื้ออักเสบขนาดนี้ก็ได้...” สแตนลีย์หัวเราะ วางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะ“คนที่อยากกลับเป็นหนุ่มสาวอาจถามนายแบบนี้ และไม่ใช่ฉันแน่ ๆ”



    “โอ ให้ตายเถอะ” ไม่รู้ว่าคำอุทานนั้นเป็นการตอบสนองต่อข้อสังเกตดังกล่าวหรือต่อสิ่งที่เจ้าของเสียงนั้นดูในกระจก เกเบรียลถอนใจเฮือกกับรอยช้ำสีเขียวปนม่วงปื้นใหญ่บนสีข้างและแผ่นหลัง “ต่อให้เป็นหนุ่ม โดนแบบนี้ก็เจ็บอยู่ดี”

     


    “จริงของนาย” สแตนลีย์เดินข้ามห้องเข้ามาหาคนที่ยืนสำรวจสภาพของตัวเองในกระจก “ต้องการความช่วยเหลือไหม”



    “ไม่เคยต้องการมากเท่านี้เลย” ชายวัยกลางคนส่งหลอดยาให้เพื่อนร่วมงานและนายจ้างวัยเดียวกัน “ขอบใจมาก”



    “นายไม่เคยอยากกลับไปเป็นหนุ่มอีกครั้งจริง ๆน่ะเหรอ” สแตนลีย์ถาม และคนฟังส่ายหน้าปฏิเสธ รวดเร็ว ไม่ต้องคิดมาก



    “ร่างกายหนุ่มขึ้นแต่อายุสมองเท่าปัจจุบัน มันก็ช่วยได้แค่บางเรื่อง แต่สำหรับคนที่แก่แต่อายุการกลับเป็นหนุ่มอีกหนก็ไม่มีความหมายอะไร... ฉันไม่เคยคิดอยากย้อนเวลากลับไป ฉันทำเรื่องโง่ ๆ เอาไว้เยอะก็จริง แต่มันก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตน่ะนะ”



     

    Day2: Divided



    “ฉันไม่คิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นในยุคนี้” เกเบรียลพูด เหลือบตามองรอยช้ำที่สีข้างอีกหนหนึ่งก่อนดึงเสื้อลงตามเดิม แรงกระแทกทำให้เจ็บถึงกระดูกแม้ว่าซี่โครงเขาจะไม่หักหรือร้าว แต่คำพูดบางคำที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากปากของอดีตเพื่อนที่ในเวลานี้เขาขอบอกลาเสียทียกเว้นแต่จะมีความจำเป็นด้านธุรกิจให้ต้องติดต่อกล่าวกับเขาก่อนหน้าส่งแรงสะเทือนยิ่งกว่า


     

    เขาไม่เคยคิดว่ามัลคอล์มจะคิดกับเขาแบบนี้... คนต่างชาติที่มาแย่งงานทำ ฟังดูแย่แต่ไม่เท่ากับ ‘ไอ้ยิว’ สั้น ๆ แต่เจ็บดีพิลึก ไม่เคยคิดเลยว่า จะต้องมาเจอกระแสชาตินิยมตกขอบกับตัวแบบนี้หลัง Brexit หรือการโหวตแยกสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรป และทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดี



    แน่ละ เขามีเชื้อสายยิว นามสกุลเขาฟ้องออกขนาดนี้ ไม่ใช่ก็บ้าแล้ว และการไม่ยอมรับในสิ่งที่ตัวเองเป็นไม่ใช่ปัญหาของเขา



    สิ่งที่เป็นปัญหาในคำที่อีกฝ่ายใช้เป็นคำด่าเขา คือ การเอาสเตอรีโอไทป์ที่แฝงอยู่ในคำนั้นมาใช้แบ่งแยกเขาให้เป็นอื่นต่างหาก



    การถูกแบ่งแยกด้วยเชื้อชาติ สีผิว เพศสภาพ หรืออื่น ๆ เพื่อกีดกันออกไปจากสิ่งที่คนบางคนอยากหวงกันไว้ให้พวกพ้องเป็นเรื่องที่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นตามกาลเวลาได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่า หลายอย่างถอยกลับไปในสิ่งที่ควรก้าวข้าม


     

    “ไม่หรอก...ไม่ใช่แบบนั้น” เขาแก้คำพูดของตัวเอง “มันอาจเกิดขึ้นตลอดเวลาอยู่แล้วเพียงแต่คนยังอดทนไม่พูดออกมาก็ได้”



    “มันเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา เก๊บ มันไม่มีช่องทางหรือโอกาสที่เอื้อให้พวกเขาแสดงออก แค่รอคนเริ่มเท่านั้น” สแตนลีย์เห็นพ้อง “ลองคิดสิ ปัจจุบันก็ยังมีคนเห็นว่า แฮรี่พ็อตเตอร์เป็นอันตรายต่อเด็ก เพราะเรื่องเวทมนตร์คาถาเป็นเรื่องนอกรีตและเลวร้าย สักวันหนึงถ้าพวกเขารู้ว่า ยังมีคนที่ใช้เวทมนตร์คาถาได้อยู่บนโลกใบนี้จริง ๆ แล้วกระแสคนเชื่อว่าแม่มดต้องถูกกำจัดกลับมา วันนั้นร้านเราคงถูกเผาเป็นจุลแน่ ๆ ทั้งผี ทั้งพ่อมดอะไรต่อมิอะไรที่วิทยาศาสตร์อธิบายไม่ได้ รวมตัวกันอยู่ในร้านเราหมด”


     

    “นายตั้งใจพูดให้ขำหรือเปล่าเนี่ย” เกเบรียลขมวดคิ้ว มองเจ้าของร้านที่หัวเราะหึอยู่ตรงหน้าและไหวไหล่แบบให้ตีความเอาเอง



    “ฉันไม่คิดว่านายจะขำอยู่แล้วเก๊บ เพราะเอาจริง ๆ มันไม่ใช่เรื่องน่าขำหรอก” สแตนลีย์เอ่ย “นายเดินเยอะ ๆ ไหวแน่นะ”



    “คิดว่าไหวอย่างน้อยก็มีนายไปด้วยกันนี่นะ” พนักงานบัญชีว่า “ยังไงก็แล้วแต่ ขออย่าให้เรื่องที่ว่าเกิดขึ้นกับร้านเลย เพราะสถานที่ที่ทุกคนอยู่ได้โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่าง ไม่ว่าจะคนตายหรือคนเป็น ไม่ว่าใครก็ตาม คงไม่เหลืออีกต่อไปแล้ว”

     



    Day 3: Poison


    สี่โมงเย็นวันเสาร์เร็วเกินไปสำหรับมื้อค่ำ แต่ยังพอมีเวลาสำหรับการเดินเล่นในบริเวณปราสาทอีกชั่วโมงครึ่ง อาจไม่ใช่ความคิดที่ดีนักสำหรับคนเห็นผีสองคนและผีจริง ๆ อีกหนึ่งตนที่จะเข้าไปในบริเวณที่เคยเป็นที่ประหารชีวิตนักโทษ อย่างไรก็ตาม การเดินเล่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะหยุดพนักงานประเมินสินค้าไม่ให้เผลอทำงานเมื่อเข้าไปในร้านของเก่าร้านอื่น


     

    “เราไม่ได้มีเวลาคุยเรื่องไร้สาระแบบนี้กันนานมากแล้วนะ” สแตนลีย์ว่า จัดแจงจ่ายเงินค่าเข้าปราสาทสำหรับสองคนเสร็จสรรพ



    เจ้าของร้านของเก่ารู้วิธีรับมือกับทุกสิ่งทุกอย่าง รวมถึงเกเบรียล มาห์เลอร์ด้วย “นายอย่าให้ฉันต้องซื้อตั๋วเก้อ ไปเป็นเพื่อนกันหน่อย”



    วิญญาณของเจคอบทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้เป็นเรื่องของคนเป็น ส่วนคนที่ถูกตั๋วปิดปากก็ได้แต่กลอกตาและเดินตามเข้าไป


     

    ‘เยอะ’ ... คือ คำแรกที่เกเบรียลคิดในใจหลังจากเห็นความเคลื่อนไหวของสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็นอยู่รอบบริเวณปราสาท



    ความจริง เขาเลี่ยงที่จะเข้ามาที่นี่แม้ว่าสถาปัตยกรรมและการปีนขึ้นไปบนกำแพงปราสาทเพื่อดูภาพเมืองมุมสูงจะดึงดูดก็ตาม 



    ปราสาทลิงคอล์นเคยถูกใช้เป็นเรือนจำยุควิคตอเรียน และการประหารด้วยการแขวนคอก็เกิดขึ้นที่บริเวณเชิงเทินของปราสาท

     


    คุกและลานประหาร... ไม่มีที่ไหนอาถรรพ์และเต็มไปด้วยวิญญาณที่มีสิ่งติดค้างและความเคียดแค้นยิ่งไปกว่านี้อีกแล้ว

     

    เกเบรียลชินกับการเห็นและสื่อสารกับวิญญาณ แต่การรับรู้ความรู้สึกที่หลงเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นความโศกเศร้าหรือโกรธแค้น เป็นสิ่งที่ยากจะทำใจให้ชินได้ง่าย ๆ เพราะความรู้สึกทางลบที่รุนแรงเหล่านั้นส่งผลสะเทือนต่อความรู้สึกของเขาไม่มากก็น้อย



    เขาไม่ค่อยสบายใจถ้าจะต้องเฉียดเข้าไปใกล้บริเวณที่คุมขัง แต่มือของคนข้าง ๆ ที่ลอบบีบมือเขาปลอบใจบอกอะไรบางอย่าง

     


    “มีเรื่องอะไรที่นายคิดจะจัดการที่นี่ใช่ไหม สแตนลีย์” พนักงานบัญชีถาม และมองตามทิศทางที่สายตาของอีกฝ่ายชี้นำไป



    มีร่างของหญิงสาวที่ไม่มีใครอื่นเห็นยืนมองพวกเขาลงมาจากกำแพง



    “เธอถูกกล่าวหาว่าวางยาพิษฆ่าสามีและถูกประหารที่นี่”




    Day4: Underwater

     

    เหมือนลอยขึ้นสู่ผิวน้ำแล้วถูกฉุดให้ดำดิ่งลงไปใต้ผิวน้ำดำมืดนั้นอีกครั้ง คือ สิ่งที่วิญญาณสาวบนเชิงเทินบอกกล่าว ยามเอ่ยถึงความรู้สึกเมื่อมีคนมองเห็นหรือสัมผัสเธอได้แต่หวาดกลัวและล่าถอยไปจากเธอทุกครั้ง ทั้งที่เธอหวังเพียงคนรับฟัง



    มีคนล่าผีมากมายที่ตามหาเธอตามคำร่ำลือถึงหญิงสาวในชุดสีดำที่วนเวียนไปมาบริเวณที่ที่เคยถูกคุมขังและประหารชีวิต แต่ตามหาเธอไปก็เท่านั้น เพราะพวกคนเหล่านั้นไม่ช่วยอะไร บางครั้งเธอยืนฟังไกด์อาสาที่นำชมปราสาทเล่าเรื่องราวของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยที่เธอไม่เคยมีโอกาสบอกเล่าความจริงที่เธอประสบมาด้วยตัวของเธอเอง และนี่เป็นครั้งแรกที่มีคนรอรับฟังเรื่องของเธอ


     

    “ดิฉันไม่ได้ฆ่าสามีของตัวเองและสิ่งที่ดิฉันกล่าวเป็นความสัตย์” เลดี้เบียทริซ วิญญาณสตรีชุดดำเอ่ย



    “ผมเชื่อ”สแตนลีย์เอ่ย แม้ไม่เอ่ยตอบ คำตอบของเกเบรียลก็ไม่ต่างกัน ตำนานของเธอเหมือนโศกนาฏกรรมในละครกรีก



    ภรรยาสาวของลอร์ดชราถูกกล่าวหาว่าวางยาฆ่าสามีของตนเองเธอไม่ยอมรับในคราวแรก แต่กลับใจสารภาพในภายหลัง



    วันคืนผ่านไปจนกระทั่งถึงวันประหาร อดีตเพื่อนเก่าของสามีของเลดี้เบียทริซซึ่งป่วยหนักจวนตายก็สารภาพว่า ตนเองเป็นคนวางยาพิษขุนนางสูงวัยผู้นั้นเพื่อล้างหนี้และแก้แค้นที่อีกฝ่ายเริ่มกดดันและขู่ว่าจะทำให้เขาหน้าในวงสังคม



    ชายผู้นั้นตายไปหลังจากยอมรับว่า ตนเองเป็นฆาตกรแต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว กว่ากระบวนการขออภัยโทษจะเสร็จสิ้น เลดี้เบียทริซถูกประหารชีวิตไปก่อนที่เอกสารคำรับสารภาพและยกเลิกโทษประหารจะถูกส่งไปถึง เรื่องของเธอจึงเป็นตำนาน เพราะเป็นเรื่องเล่าที่คนรู้ความจริงต่างตายกันไปหมดแล้ว จึงเหลือเพียงความคิดเห็นของคนรอบข้างที่จะวิจารณ์กันไปเท่านั้น


     

    บางคนยังคงเชื่อมั่นว่าเธอเป็นฆาตกร บางคนก็เชื่อว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ แต่ความเชื่อก็เป็นคนละเรื่องกับความจริงอยู่ดี



    เรื่องราวของเธอที่คนกล่าวขานกันปากต่อปากในเรื่องเล่าของไกด์ ในโกสต์วอล์ก หรือในหนังสือที่เผยแพร่ในปัจจุบัน เป็นเพียงส่วนเสี้ยวของความจริงที่ปรากฏอยู่เหนือผิวน้ำเหมือนยอดภูเขาน้ำแข็งเบื้องบนที่ยังมีเรื่องอีกมากจมอยู่ใต้ผืนน้ำ



     

     

    Day5: Long



    “ดิฉันรอที่จะได้ฟังคำคำนี้จากใครสักคนที่ฟังเรื่องราวจากปากของดิฉันมาเนิ่นนานเหลือเกิน” มีรอยยิ้มเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกบนใบหน้าของหญิงสาวเจ้าของร่างโปร่งแสงในเครื่องแต่งกายยุคต้นศตวรรษที่ 19



    “คุณได้ยินมันแล้วเลดี้เบียทริซ เราเชื่อสิ่งที่คุณบอก” สแตนลีย์ยิ้มตอบ สิ่งที่เขามีอยู่ในตัวกล้าแข็งเกินกว่าจะยื่นมือออกไปสัมผัสร่างของเธอจับมือเธอ และจุมพิตที่หลังมือโดยมารยาทได้ และหน้าที่นั้นก็ตกเป็นของเจคอบ

     


    “ขอบคุณพวกคุณมาก คุณสุภาพบุรุษ” เธอเอ่ย ร่างของเธอจางลง ใบหน้างดงามทว่าซีดเซียวในคราวแรกแจ่มใสกว่าเก่า “การรอคอยที่ยาวนานของดิฉันสิ้นสุดลงเสียที แต่การรอคอยให้ใครสักคนมาเป็นร้อยปีก็ทรมานน้อยกว่าช่วงเวลาก่อนตาย”


     

    สมัยนั้น โทษสำหรับกรณีฆ่าคนตายคือ การประหารชีวิตด้วยการแขวนคอต่อหน้าสาธารณะ ไม่ได้รอประหารทีละคน แต่นักโทษทุกคนที่ถึงคราวในวันนั้นทุกคนต้องออกไปรอการประหารตามลำดับมองคนก่อนหน้าตายไปต่อหน้าทีละคน ความทรมานจากการรอคอยความตายที่จะมาถึงตัวไม่ได้หยุดอยู่เพียงเท่านั้น เพราะช่วงเวลาก่อนที่บ่วงรัดคอจนหมดลมคือที่สุด



    ณ เวลาที่เธอตาย การประหารด้วยการแขวนคอไม่ได้ใช้เชือกยาวและอาศัยแรงโน้มถ่วงกระชากให้คอหักเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว ทว่าเป็นใช้เชือกสั้นรัดคอ ใช้น้ำหนักนักโทษถ่วงตัวเองให้บ่วงเชือกรัดคอจนขาดอากาศหายใจและตายเพราะหายใจไม่ออก ช่วงเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนวิญญาณหลุดลอยออกจากร่างช่างยาวนานราวกับเวลาผ่านไปนับปี จนการรอคอยร้อยปีช่างแสนสั้น



     

    “ถ้าให้ย้อนเวลากลับไปได้และคำสารภาพของฆาตกรตัวจริงมาถึงทันเวลา คุณอยากย้อนเวลากลับไปหรือเปล่า”



    เลดี้เบียทริซมองเกเบรียลเจ้าของคำถามนั้น ตามด้วยสแตนลีย์ และเจคอบ ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธและยิ้มให้พวกเขา



    “ไม่เลย คุณสุภาพบุรุษที่รัก ดิฉันไม่ได้ฆ่าสามีของตัวเอง แต่ก็ขอบคุณคนที่ฆ่าเขาในใจเพราะเขามอบอิสระที่ดิฉันปรารถนาให้ ดิฉันเลือกสารภาพ เพราะไม่ใครเชื่อคำพูดของผู้หญิงอย่างดิฉันอยู่แล้ว และดิฉันก็ไม่มีปัญญาจะไปหาไพยานหลักฐานใด ๆ ที่จะมาหักล้างได้”



    เสียงหัวเราะสุดท้ายของเธอจางไปพร้อมสายลม ทิ้งไว้เพียงคำพูดสุดท้ายก่อนจากกัน



    “ต่อให้เขาไม่ฆ่า ดิฉันอาจวางยาฆ่าตาเฒ่าสารเลวนั่นด้วยมือของตัวเองก็เป็นได้”





    To be continued... 

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in