เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Gabriel's Workshop - A Den of Antiquities Spin-Offpiyarak_s
Please Let Me Go (Soulmate AU)
  • บทนำ


    ในโลกที่คู่ชะตาถูกลิขิตเอาไว้ล่วงหน้า บนร่างกายของเกือบทุกคนจะมี 'ประโยคแรก' ที่คู่ชะตาของเขาหรือเธอคนนั้นจะเอ่ยปากบอกเขาหรือเธอเป็นคำแรก โดยประโยคแรกเหล่านั้นจะปรากฏเป็นเส้นสายลายมือของคู่ชะตาอีกฝ่ายหนึ่ง และอาจปรากฏอยู่ที่ส่วนไหนของร่างกายก็ได้ และในเวลาที่ต่างกัน คู่ชะตาที่ถูกกำหนดเป็นพรจากสวรรค์หรือการกลั่นแกล้งของเบื้องบน ไม่มีใครรู้ได้ โดยเฉพาะเมื่อพบว่า คู่ชะตาเป็นคนที่เข้ากับเราไม่ได้ หรือได้พบเมื่อสายเกินไป เช่น เมื่อคู่ชะตามีคนอื่นอยู่ก่อนแล้ว หรือพบว่า เส้นลายมือที่เขียนประโยคแรกบนร่างกายแปรเปลี่ยนเป็นสีเงินเพราะคู่ชะตาอีกฝ่ายไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว 


    ถ้าหากถามเกเบรียล มาห์เลอร์เกี่ยวกับเรื่องราวของเขาและคู่ชะตา เขาอาจบอกสั้น ๆ เพียงแค่ว่า เขาเคยมีคู่ชะตา แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญอะไรมากนัก แล้วขอตัวไปทำงาน ซึ่งความจริงแล้ว เขาอาจเล่าเรื่องดังกล่าวได้ยาวกว่าหนึ่งหรือสองประโยค เพียงแต่อยากเล่าหรือไม่ก็เท่านั้น แต่ถ้าถามว่าเขายังคงจดจำเรื่องราวในวันที่ประโยคแรกของคู่ชะตาปรากฏขึ้นบนร่างกายและวันที่ได้พบกับคู่ชะตาของตนเองได้หรือไม่ เขายังจำได้อย่างแน่นอน

    เขายังจดจำเรื่องราวของตนเองและคู่ชะตาได้ดีมาจนกระทั่งวันนี้ 




    (1)


    “ปล่อยฉันไปเถอะนะ”


     

    คือ ‘ประโยคแรก’ ที่ปรากฏขึ้นบนท้องแขนข้างขวาของเกเบรียลในคืนงานพร็อมหลังจบการศึกษาระดับมัธยมปลาย



    ‘ประโยคแรก’ ที่ว่า คือ ประโยคแรกที่ ‘คู่แห่งชะตา’ ของเขาจะเอ่ยกับเขา เมื่อมีโอกาสได้พบกันเป็นครั้งแรก แต่ใช่ว่าคนเราจะพบคู่แท้ของตนเองได้ง่าย ๆ บางคนโชคดีที่มีกันตอนที่ไม่มีใคร แต่บางคู่ก็ไม่ได้โชคดีขนาดนั้น

     


    เขานึกขอบคุณพระเจ้า (ที่ตามปกติแล้ว เขาก็ไม่ค่อยเชื่อว่ามี) ที่เขาไม่มีคู่เดทเป็นตัวเป็นตนอย่างคนอื่นๆ ในงาน และไม่มีใครอื่นที่เห็นประโยคแรกประโยคนี้นอกจากอิโมเจน 



    อิโมเจน ทักเกอร์สาวที่เขาควงมาออกงานเป็นเพื่อนสนิท พวกเขาจับคู่ด้วยเหตุผลเดียวกัน และเป้าหมายเดียวกัน คือ เธอและเขาไม่เห็นความสำคัญของงานพร็อม แต่ก็อยากเจอเพื่อน ๆ อยู่คุยสักพัก แล้วแอบหนีก่อนงานเต้นรำเริ่ม


     

    อิโมเจนเป็นคนสังเกตเห็นมันหลังจากพากันหนีออกจากงานมาได้ ในตอนที่เขาถอดเสื้อแจ็คเก็ตโยนไว้ที่เบาะหลัง แล้วพับแขนเสื้อเชิ้ตขึ้น



    เธอหรี่ตามองก่อนผิวปากหวือ เมื่อเห็น ‘ประโยคแรก’ ของเขาอย่างชัดเจน 



    “คู่ชะตาของนายดูเหมาะกับนายดีนะ เก๊บ”


     

    ลายมือที่เขียนประโยคนั้นเป็นอักษรต่อเนื่องสวยงาม เป็นระเบียบเหมือนอยู่ในจดหมายสุภาพสตรียุคเก่า เส้นอักษรที่เขียนอยู่เป็นสีน้ำตาลอ่อนจางและบางจนแทบมองไม่เห็น ดูสงบและตรงข้ามกับข้อความที่เขียน

     


    “ก็หวังว่าอย่างนั้น” เกเบรียลขมวดคิ้ว “แต่ฉันว่ามันเป็นประโยคแรกที่ดูทะแม่ง ๆ ยังไงชอบกล”







    (2)




    “ปล่อยฉันไปเถอะนะ”

     


    สี่ปีผ่านไปแล้ว ประโยคแรกประโยคนั้นยังคงปรากฏอยู่บนท้องแขนของเกเบรียล มาห์เลอร์ แต่เขายังไม่พบคู่ชะตาของตนเองที่เป็นเจ้าของข้อความชวนฉงนระคนสิ้นหวัง และยังไม่รู้ว่าคนคนนั้นเป็นใคร ในขณะที่อิโมเจน ทักเกอร์ ผู้ที่สังเกตเห็นประโยคนั้นกำลังจะแต่งงานกับเจมี ลอมบาร์โด คู่ชะตาของเธอ


     

    อิโมเจนเป็นจูบแรกของเขา และเขาก็เป็นจูบแรกของเธอ แต่จูบนั้นของพวกเขาไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร เธอแค่ไว้ใจเขามากพอที่จะจูบ เธอจูบเขา เพราะเชื่อว่าไม่มีโอกาสที่จะพบคู่ชะตาที่ทักเธอด้วยประโยคแรกว่า “เฮ้คุณชอบเพลงของปิอาซโซลาเหรอ”


    ประโยคแรกที่หลังหูของเธอเป็นลายมือที่อ่านยากแต่ดูมีชีวิตชีวา และเขาคิดว่า เหมาะกับเธอดี



    อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่เขาจูบอิโมเจนตอบมีมากกว่านั้น คือ เขาชอบเธอ แต่เขารู้ดีว่า เขาไม่มีทางเป็นอย่างอื่นนอกจากเพื่อนที่แสนดี


     

    หลังจากคืนที่พวกเขาหนีออกจากงานพร็อม คืนที่มีประโยคคู่แท้ปรากฏบนแขนของเขา และคืนที่พวกเขาจูบกันครั้งแรก อิโมเจนไปทำงานพิเศษที่ร้านขายแผ่นเสียงตามปกติ และในวันหนึ่ง เธอก็ได้พบชายหนุ่มที่เอ่ยทักเธอด้วยประโยคดังกล่าว



    คู่ชะตาของอิโมเจนเป็นนักเชลโลของวงซิมโฟนีระดับชาติที่มาแสดงคอนเสิร์ตในเมืองและแวะเข้ามาในร้านแผ่นเสียง เขาได้ยินเธอลองเครื่องเล่นแผ่นเสียงด้วยเพลงลิเบอร์แทงโก้ของอัสตอร์ ปิอาซโซลา นักประพันธ์เพลงชาวอาร์เจนตินา และฮัมเพลงนั้นอย่างอารมณ์ดี



    หลังจากถามประโยคนั้นออกไปเขาก็ทำให้เธอหัวเราะและเกือบจะร้องไห้ไปพร้อมกัน เมื่อเขาให้เธอดูประโยคแรกที่ปรากฏอยู่บนหลังมือของเขา “พระเจ้าช่วย เขามีตัวตนจริงด้วย”  เพราะเธออุทานคำนั้นออกมาทันทีที่ได้ยินคำถามของเขา



    อิโมเจนกับเจมี่คุยกันถูกคอ และในวันเดียวกับวันที่พวกเขาพบกัน เขาขอนัดเดทกับเธอ



    อิโมเจนโทรศัพท์หาเกเบรียลกลางดึกคืนนั้น เธอตื่นเต้นและมีความสุข และเขาก็แสดงความยินดีกับเธออย่างจริงใจ แล้วใช้โอกาสดังกล่าวบอกเธอว่า เขากำลังจะไปเรียนด้านมัณฑนศิลป์ที่สถาบันที่มีชื่อด้านการเรียนการสอนศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมในสก็อตแลนด์

     


    ระหว่างที่เขาไม่อยู่ในสหรัฐ ความรักของอิโมเจนกับเจมี่ก็เติบโตและงอกงามมั่นคง นั่นเป็นเรื่องที่ดีสำหรับคนที่เป็นคู่ชะตาของกันและกัน 



    ในวันที่อิโมเจนจะแต่งงาน เกเบรียลกลับมาสหรัฐเพื่อเยี่ยมครอบครัว และมางานแต่งงานของเธอ ในเวลานั้น เขาไม่คิดเลยว่า ตนเองจะได้พบเจ้าของประโยคแรกบนแขน ก่อนที่ลายเส้นที่สวยงามนุ่มนวล และอ่อนจางมากเหลือเกินนั้นจะสลายกลายเป็นลายเส้นสีเงินในเวลาต่อมาอีกไม่นาน

     

     

     

     

     

     (3)

     

     

     

     

     

     

    ในที่สุด เขาก็ได้พบกับเจ้าของประโยคแรกของคู่ชะตาที่ปรากฏขึ้นบนแขนของเขาในสำคัญที่สุดวันหนึ่งในชีวิตของอิโมเจน



    ไม่ใช่ในโบสถ์ที่หญิงสาวเจ้าของจูบแรกของเกเบรียลจูบเจมีเจ้าบ่าวของเธอ หลังสาบานว่าจะรักกันจนความตายจะมาพราก แต่เป็นโรงพยาบาลที่อิโมเจนกับเจ้าบ่าวของเธอเดินทางมาถ่ายรูปกับคุณยายของเธอที่ป่วยเข้าโรงพยาบาลอย่างกะทันหัน

     


    ‘เธอ’ เป็นหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับเขา และเช่นเดียวกับลายมือสีน้ำตาลอ่อนเส้นจางของเธอที่อยู่บนแขนของเขา เธอมีผมสีน้ำตาลอ่อนดวงตาสีฟ้า ผิวขาวเหมือนหิมะแรกโปรยที่ตกลงปกคลุมผืนดิน ร่างแบบบางของเธอโปร่งแสง

     


    เขามองลายมือที่แขนของเขาซ้ำมันยังไม่กลายเป็นสีเงิน ซึ่งมีความหมายว่า คู่ชะตาของเขาจากโลกนี้ไปแล้ว เธอยังอยู่เธอมองเขาอยู่ แต่ก่อนที่เขาทันเอ่ยสิ่งใดออกมา หรือก้าวเข้าไปหาเธอ เขาได้ยินเสียงเธอเอ่ยกับเขา


     

    “ปล่อยฉันไปเถอะนะ”


     

    ปากของเธอไม่ได้ขยับ แต่เขาได้ยินเสียงของเธอ คำพูดนั้นช่างสิ้นหวัง แต่ดวงตาของเธอที่มองเขาเปี่ยมความหวัง



    สำหรับเขา คำพูดของเธอเป็นคำขอร้องเป็นคำขอร้องครั้งแรกและครั้งสุดท้าย ในการพบกันครั้งแรกและครั้งสุดท้าย



     

    “คุณช่วยบอกคำนี้กับพ่อแม่ของฉันได้ไหมคะ...”


     

    เกเบรียลไม่ได้เอ่ยตอบเธอ แต่พยักหน้ารับ เขาพูดอะไรไม่ออก และได้แต่ยืนนิ่งจนกระทั่งอิโมเจนกับเจมี่มาพบเขา



    “เกิดอะไรขึ้น เกเบรียล” เธอตรงเข้ามาจับมือเขา ส่วนเขาได้แต่ส่ายหน้า มองคู่แต่งงานใหม่และคู่ชะตาของเขา

     


    “ฉันพบเธอแล้ว” เขาเอ่ยตอบเพื่อนรักที่เอ่ยถามเขาด้วยความห่วงใย 



    ริมฝีปากของหญิงสาวผู้เป็นคู่ชะตาของเขาคลี่แย้มเป็นรอยยิ้ม เมื่อเขาสบตากับเธอ และหันไปยังห้องของเธอ



    “เราได้พบกันแล้ว”

     

     

     

     

     

     (4)

     

     

     

     

    คู่ชะตาของเกเบรียลชื่อโรส มอร์ตัน เป็นนักไวโอลินเป็นคนเดียวที่ยังมีชีวิตรอดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อฤดูร้อนที่แล้ว เพื่อนอีกสามคนที่เล่นดนตรีด้วยกันซึ่งเป็นทั้งคนขับและผู้โดยสารเสียชีวิตทั้งหมด แม้เธอจะรอดมาได้ แต่ก็เหมือนตายทั้งเป็น อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ดีที่สุดในเวลานั้นเป็นสิ่งเดียวที่ยื้อลมหายใจของเธอเอาไว้ให้คงอยู่ และเหนี่ยวรั้งวิญญาณเธอไว้กับร่าง


     

    เช่นเดียวกับ The Last Rose of Summer เพลงที่เธอชอบ โรส มอร์ตันเปรียบสมือนกุหลาบฤดูร้อนดอกสุดท้ายที่ยังคงหลงเหลืออยู่เบื้องหลัง ในขณะที่เพื่อนที่เธอรักล้วนโรยรา



    เกบรียลรู้จากโรสว่า เธอรักพ่อกับแม่ รักพี่สาวและน้องชายฝาแฝดของเธอ และเข้าใจว่า ทุกคนอยากให้เธออยู่กับพวกเขาให้นานที่สุด แต่เธออ่อนล้าเหลือเกินการเฝ้ามองความเคลื่อนไหวของพวกเขา เห็นความทุกข์ระคนความหวังอันน้อยนิด และนั่นเป็นความเจ็บปวดอย่างยิ่ง



    เธออยากบอกพวกเขาว่า เวลาของเธอหมดไปนานแล้ว แต่เธอไม่อาจทำอะไรได้ เพราะเสียงของเธอเป็นเสียงที่ไม่มีใครได้ยิน


     

    “ฉันดีใจที่ได้พบคุณขอโทษนะ ที่เป็นแบบนี้” เธอกระซิบบอกเกเบรียล คู่ชะตาของเธอ และเป็นเพียงคนเดียวที่มองเห็นเธอ



    เขายอมทำตามที่รับปากกับเธอ แม้ว่าสิ่งที่เธอร้องขอจากเขาเป็นสิ่งที่บีบคั้นความรู้สึกและยากลำบากสำหรับทุกคนเหลือเกิน



    “ไม่มีใครอยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นหรอก” เขาปลอบเธอ และมีเพียงเธอที่ได้ยินเสียงในใจของเขา “อย่างน้อยที่สุด เราก็ได้พบกัน”

     


    โรสไม่เคยมีคู่รัก การปรากฏตัวของเกเบรียลซึ่งเป็นคู่ชะตาของเธออาจเป็นสิ่งที่ครอบครัวของเธอเฝ้ารอมาตลอดเพื่อเธอก็เป็นได้ เมื่อเกเบรียลบอกประโยคแรกบนตัวของเธอได้ถูกต้อง ทั้งที่ยังไม่เคยเห็นและลายมือของเขาเหมือนลายมือที่เขียนประโยคนั้น ซึ่งปรากฎอยู่เหนือเนินอกข้างซ้ายของเธอ เป็นลายมือหวัดแกมบรรจงสีน้ำตาลเข้มเหมือนไม้มะฮอกกานีว่า “เราได้พบกันแล้ว”

     


    ครอบครัวของเธอยอมรับฟังคำขอครั้งสุดท้ายของเธอ แม่ของเธอร้องไห้ พ่อและพี่น้องของเธอน้ำตาซึม เป็นเรื่องยากที่จะทำใจ แต่ดูเหมือนว่า พวกเขาจะเผื่อใจไว้นานแล้ว รอเพียงสัญญาณบางอย่างที่ทำให้พวกเขาตัดสินใจครั้งสุดท้าย และในที่สุด ครอบครัวมอร์ตันก็ยอมปล่อยเธอไป



    ในนาทีสุดท้ายของช่วงเวลาที่ยากลำบากนั้น อิโมเจนกอดเกเบรียลปลอบใจ เจมี่ตบหลังเขาเบา ๆ ร่างเลือนรางของโรสจูบเขาที่ข้างแก้ม



    เธอกระซิบบอกเขา “ฉันดีใจที่คู่ชะตาคือคุณ”



    เขาไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเพียงแค่ยิ้มน้อย ๆ แทบคำตอบให้เธอในขณะที่นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงคนไข้ที่เธอนอน และกุมมือเธอไว้



    วินาทีสุดท้ายก่อนประโยคแรกบนแขนของเขาจะแปรเปลี่ยนจากสีน้ำตาลอ่อนกลายเป็นสีเงิน เกเบรียลจูบโรสเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้าย และปล่อยมือจากเธอ

     

     

     

     

     

     

     ส่งท้าย

     

     

     

    “ปล่อยฉันไปเถอะนะ...”



    คนที่ลากปลายนิ้วไปตามอักษรสีเงินเส้นจางที่หลงเหลือบนท้องแขนขวาของเกเบรียลอ่านออกเสียงประโยคแรกที่ถูกเขียนอยู่ที่นั่น น้ำเสียงของคนพูดบ่งบอกอารมณ์ได้ยากสำหรับคนที่ซ่อนทุกอย่างเอาไว้ใต้รอยยิ้มเมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่นๆ แต่เขารู้จักอีกฝ่ายมานานพอที่จะคาดเดาความหมายออก


     

    “เรื่องมันนานมาแล้ว สแตนลีย์ ฉันเกือบจะจำไม่ได้แล้วว่า ตอนนั้นตัวเองรู้สึกยังไงที่ได้เจอเธอและเสียเธอไปในวันเดียวกัน”



    เขายื่นมืออีกข้างออกไปลูบผมสีเข้มแซมขาวของเพื่อนร่วมงานเก่าแก่ที่ตอนนี้มีสถานะเป็นนายจ้างของเขาด้วยอีกสถานะหนึ่ง เป็นกิริยาที่เกิดจากความเคยชินมากกว่าจะมีความหมายพิเศษอะไรอย่างอื่น 



    “เศร้านิดหน่อยละมั้ง แต่โล่งใจมากกว่าเจ็บปวด”


     

    “การเป็นคู่ชะตากันอาจไม่ได้หมายความว่านิสัยเราจะเข้ากันได้ หรือใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันได้นี่นะ” เกเบรียลเหลือบตามองอีกฝ่าย “นายไม่เคยคิดบ้างเหรอว่า ถ้าโรมิโอกับจูเลียตได้แต่งงานกัน แล้วทะเลาะไม่เว้นวันไปยันแก่ ความโรแมนติกมันจะอยู่ที่ไหน”


     

    “ให้ตายเถอะ เก๊บ” สแตนลีย์หัวเราะจนต้องเช็ดน้ำตา ขณะที่เกเบรียลทำเสียงหึในลำคอแล้วรอจนกระทั่งอีกฝ่ายหยุดขำ



    แต่แล้วคำพูดของคนที่เพิ่งหยุดหัวเราะก็ทำให้เขากลายเป็นฝ่ายนิ่งเงียบเสียเอง 



    “บางคู่อาจจะอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุขจนแก่ก็ได้” สแตนลีย์แย้ง ใบหน้าของเขายังคงมีรอยยิ้ม เมื่อมองคู่สนทนาที่อยู่ตรงหน้า


     

    “ที่ถามเพราะแค่อยากรู้ในสิ่งที่ฉันคงไม่มีวันรู้” น้ำเสียงของเจ้าของร้านขายชองเก่าเรียบเรื่อยทว่ามีความจริงจังแฝงอยู่ ถึงอีกฝ่ายจะไม่เอ่ยออกมาแต่เกเบรียลรู้ความหมายดี... บนร่างกายของสแตนลีย์ พาร์คเกอร์ไม่มีประโยคแรกใด ๆทั้งสิ้น



     

    “มันอาจจะมีอยู่บนตัวนายสักที่แต่นายมองไม่เห็นมันก็ได้” เกเบรียลว่ายิ้ม ๆ แต่แล้วก็ต้องเลิกคิ้วและหรี่ตามองนายจ้าง เมื่อสแตนลีย์ที่นั่งอยู่ด้วยกันหัวเราะเบาๆ และเอียงศีรษะมองเขา 



    “คนละเอียดแบบนายยังไม่เห็น มันจะมีได้ไง จริงไหม”



    พูดแล้วเจ้าของร้านก็หัวเราะอยู่ในลำคอ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังดุเขาว่า ‘เหลวไหล’ ด้วยสายตา แม้ปากจะไม่ขยับ



    เกเบรียลอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองประโยคแรกบนแขนอีกหน และพบว่ามือของใครอีกคนวางปิดเอาไว้ แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้เขายิ้มน้อย ๆ กับตัวเอง



    “บางที ความผูกพันที่เกิดขึ้นจากคนสองคนลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง ก็มีความหมายไม่น้อยกว่าคู่ชะตาที่เบื้องบนกำหนดมาหรอก”




    (THE END)



    ----------------------------------------------- 



    หมายเหตุ: เรื่องนี้เคยลงเอาไว้ใน TL ค่ะ เลยเอามาเรียบเรียงนิดหน่อย แล้วเอามาลงไว้ที่เดียว จะได้อ่านง่ายขึ้น สำหรับเรื่องนี้ เขียนเพราะน้องเม่ย Asinay ที่เขียน Den of Antiquities ด้วยกันเขียนของเบนกับเคลย์ตัน ตัวเองไปทักเข้า แล้วก็ไปรับปากว่าจะลองเขียนเรื่องของคุณเก๊บ เลยได้เรื่องนี้มา


    เรื่องนี้เป็น alternated universe คือ เป็นอีกโลกหนึ่งไม่ใช่เรื่องหลัก ส่วนเรื่องหลัก คุณเก๊บไม่มีโซลเมท และไม่รู้ว่าโซลเมทเป็นใครด้วยค่ะ ฮา


    เพลง The Last Rose of Summer มาจากบทกวีของ Thomas Moore ค่ะ พูดถึงกุหลาบดอกสุดท้ายที่เหลืออยู่ในแปลง และบอกว่าจะมีความหมายอะไร เมื่อถูกทิ้งเอาไว้ข้างหลังตามลำพัง ดังนี้ค่ะ


    "'Tis the last rose of summer
    Left blooming alone;
    All her lovely companions
    Are faded and gone;
    No flower of her kindred,
    No rosebud is nigh,
    To reflect back her blushes,
    To give sigh for sigh.

    I'll not leave thee, thou lone one!
    To pine on the stem;
    Since the lovely are sleeping,
    Go, sleep thou with them.
    Thus kindly I scatter,
    Thy leaves o'er the bed,
    Where thy mates of the garden
    Lie scentless and dead.

    So soon may I follow,
    When friendships decay,
    From Love's shining circle
    The gems drop away.
    When true hearts lie withered
    And fond ones are flown,
    Oh! who would inhabit,

    This bleak world alone?"


    ลองฟังเพลงได้จาก link นี้เลยนะคะ 




     




เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in