เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Gabriel's Workshop - A Den of Antiquities Spin-Offpiyarak_s
Lady’s Mantle Dew
  • หมายเหตุ: เรื่องนี้เป็น Medieval Fantasy AU มาจากไอเดียที่คุยกันกับน้องเม่ยเรื่องแท็ก #พบกันที่ชุมนุมพ่อมดในทวิตเตอร์ อ่านที่มาที่ไปจากในโมเมนต์นี้ได้เลยนะคะ)



    (ใครสนใจอ่าน AU นี้เพิ่มเติม จิ้มอ่านตอนของน้องเม่ยได้ตรงนี้เลยค่ะ Keep On Hoping)



    คืนนั้น คาราวานของพวกเขาพักค้างกันบนหาดริมแม่น้ำ ทำเลดีที่สุด ปลอดภัยที่สุด และสงบสุขที่สุดตั้งแต่เหตุการณ์กวาดล้างผู้มีเวทมนตร์และอำนาจวิเศษเกิดขึ้นเมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา 

    อเล็กเซียตื่นขึ้นพร้อมกับแสงแรกของวันที่ส่องผ่านช่องว่างของหน้าต่าง นาตาลียังขดตัวหลับสบายอยู่ตรงมุมรถ ไม่มีวี่แววว่าจะตื่นง่าย ๆ แม้ว่าเด็กสาวจะเผลอเดินชนเก้าอี้จนเกิดเสียงขึ้นมานิดหนึ่งก็ตาม แต่โทษนาตาลีไม่ได้หรอก นางเป็นแค่ลูกสาวของร้านขนมปังเล็ก ๆ เติบโตมาในเมืองและใช้ชีวิตใต้ปีกของครอบครัวมาตลอด ไม่เคยลำบากและไม่คุ้นชินกับการดำรงชีวิตในป่าอย่างที่อเล็กเซียเคยอยู่ คืนนี้เป็นคืนที่ทุกคนได้นอนหลับเต็มตากันจริง ๆ เสียที เพราะฉะนั้น ปล่อยให้หลับให้เต็มอิ่มเผื่อวันหน้าจะต้องเดินทางไกลและต้องอยู่โยงเฝ้ายามกันอีก 

    อากาศยามเช้าสดชื่นแต่เย็นจัด อเล็กเซียสวมผ้าคลุมและผูกเชือกให้กระชับ ค่อย ๆ เปิดประตูรถออกไม่ให้เกิดเสียงดัง หย่อนเท้าลงเหยียบบนผืนหญ้าชื้นน้ำค้าง ขณะจะดึงฮู้ดขึ้นคลุมศีรษะ ก็เห็นว่ามีเงาร่างของใครบางคนที่ตื่นก่อนนางเคลื่อนไหวอยู่ที่กอต้นเลดี้ส์แมนเทิลอย่างเงียบเชียบ


    “เมสเซอร์มาห์เลอร์” 


    “อรุณสวัสดิ์ อเล็กเซีย” นักแปรธาตุตอบรับเบา ๆ ดวงตาสีเข้าเหลือบมองไปทางรถม้าฝั่งที่เป็นที่อาศัยของพวกผู้ชายโดยอัตโนมัติเหมือนเกรงว่าเสียงพูดของตนเองจะทำให้ใครบางคนตื่น และเด็กสาวรู้ดีว่า เขาไม่ได้หมายถึงเคลย์ตัน บิดาบุญธรรมของนาง หรือเบนจามิน แต่เป็นสแตนลีย์ พาร์คเกอร์ พ่อมด หัวหน้ากองคาราวาน ที่นำพาทุกคนหนีพ้นภยันตรายจากการไล่ล่าของศาสนาจักรและทางการมาได้อย่างปลอดภัยจนถึงวันนี้


    เกเบรียล มาห์เลอร์ไม่ได้กล่าวสิ่งใดกับเธออีก มือของเขาง่วนอยู่กับการเก็บหยาดน้ำค้างบนใบของต้นเลดี้ส์แมนเทิลและกลุ่มดอกสีเหลืองอ่อนเล็ก ๆ ที่ชูช่ออยู่เหนือใบสีเขียวทรงกลมขอบหยักเหมือนเสื้อคลุมกำมะหยี่สีเขียวอ่อนที่สตรีสวมใส่ ถึงจะไม่มีเวทมนตร์หรืออำนาจวิเศษแก่กล้า แต่นิ้วมือที่เคลื่อนไหวไปตามช่อดอกและใบไม้แต่ละใบ รวบรวมหยดน้ำค้างลงในขวดแก้วเจียระไนเหมือนกำลังร่ายเวทมนตร์อยู่ตลอดเวลานั้นก็ทำให้อดมองตามไม่ได้ 

    นางไม่ได้สนิทสนมกับเขามากเหมือนกับที่สนิทสนมกับเบนจามิน อดีตนักบวชในอารามใหญ่ของศาสนจักรที่ถูกตามล่า เพราะประพฤติตนนอกรีตและเข้าข้างเหล่าพ่อมดหมอผี แต่นางก็นับถือเขาในฐานะครูที่สอนกลเม็ดต่าง ๆ ในการขายสินค้า การตีราคาสิ่งของ และการต่อรองราคาให้ได้กำไรอย่างไม่ปิดบัง เขาไม่ใช่คนพูดมากแต่ก็ไม่ใช่คนที่เข้าถึงยาก ทว่าด้วยอายุ ความรู้ และสถานะของอีกฝ่ายทำให้นางไม่สนุกที่จะเถียงด้วยเหมือนเถียงกับเคลย์ตันหรือเบน 


    เคลย์ตันเคยบอกว่า ถ้าหากบรรดาผู้มีอำนาจวิเศษและนักรหัสยวิทยาทั้งหลายไม่ถูกไล่ล่า เกเบรียลอาจเป็นนักแปรธาตุที่ได้รับการนับหน้าถือตาจนถึงขั้นได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้ากิลด์ด้วยซ้ำไป อเล็กเซียคิดว่า พ่อของนางพูดถูก แต่นางยังคงมีข้อสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างชายผู้นี้กับนักแปรธาตุบางคนที่นางเคยพบพาน 


    นางไม่เคยเห็นเกเบรียลพูดถึงการแปรแร่ธาตุไร้ค่าให้เป็นเงินหรือทอง ไม่เคยพูดถึงการตามหาศิลาปราชญ์ ไม่เคยแสดงความสนใจในการสร้างโฮมุนคูลุส สิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ขึ้นจากธาตุต่าง ๆ ให้เติบโตขึ้นเป็นมนุษย์เต็มวัยขนาดย่อส่วน ซึ่งเป็นสุดยอดแห่งศาสตร์การเล่นแร่แปรธาตุและเป็นสิ่งที่นักแปรธาตุหลายคนปรารถนาที่จะทำให้ได้


    “ท่านใช้น้ำค้างจากใบเลดี้ส์แมนเทิลในการแปรธาตุอย่างนั้นเหรอ” อเล็กเซียถาม เมื่อเห็นอีกฝ่ายปิดฝาขวดแก้วเจียระไน หลังจากเก็บน้ำค้างได้ในปริมาณที่ต้องการแล้ว


    “จะว่าอย่างนั้นก็ได้” เขาตอบ “ตามตำรา น้ำค้างจากใบและดอกของเลดี้ส์แมนเทิลเป็นองค์ประกอบหลักที่ใช้ในการแปรธาตุ ต้นเลดี้ส์แมนเทิลถึงมีอีกชื่อหนึ่งว่าต้นไม้ของนักแปรธาตุ แต่ความจริงแล้ว การเก็บน้ำค้างจากใบของเลดี้ส์แมนเทิลทำได้ง่ายที่สุด เพราะผิวใบของมันมีลักษณะพิเศษ ทำให้น้ำค้างหรือน้ำฝนที่เกาะใบจับรวมกันเป็นหยดใหญ่ ไม่กลิ้งออกไปหมดเหมือนใบไม้หรือใบหญ้าชนิดอื่น ทำให้ไม่เสียเวลาเก็บรวบรวมและสามารถเก็บน้ำค้างได้ในปริมาณมากก่อนถูกแดดเผา” 


    คำอธิบายของนักแปรธาตุทำให้เด็กสาวขมวดคิ้ว “หมายความว่า เราสามารถใช้น้ำค้างจากต้นอะไรก็ได้หรือคะ”

    “ข้ายังไม่เห็นตำราเล่มไหนบอกว่าห้ามใช้น้ำค้างจากต้นไม้ชนิดอื่นนี่” ชายกลางคนยิ้มขันกับสีหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อว่าถ้อยคำเหล่านี้จะออกมาจากปากนักแปรธาตุอย่างเขา “แต่ข้าก็ไม่อยากเสียเวลาไปกับการเก็บน้ำค้างจากแหล่งอื่น ในขณะที่ข้าสามารถประหยัดเวลาได้มากกว่า”


    “แล้วที่เขาว่าน้ำค้างจากต้นเลดี้ส์แมนเทิลใช้แปรโลหะไร้ค่า เช่น ดีบุก ตะกั่ว ให้กลายเป็นโลหะมีค่าอย่างทองได้ล่ะ”


    “เจ้ารู้มากกว่าที่ข้าคิดไว้มาก สาวน้อย” 


    “แล้วมันจริงหรือเปล่าคะ”


    “ข้ายังไม่เคยเห็นใครทำสำเร็จ และนั่นไม่ใช่แนวทางของข้าในฐานะนักแปรธาตุ”


    “แล้ว...” 


    “ชู่ว์ เบา ๆ เคลย์ตันสอนเจ้ามาแบบไหนกัน ทำไมถึงขี้สงสัยขนาดนี้” เกเบรียลดุ ยกมือขึ้นแตะริมฝีปากปรามให้ลดเสียงลง แต่อเล็กเซียรู้จักเขามากพอที่จะมองออกว่าเขาไม่ได้ไม่พอใจและค่อนไปทางชอบใจในความอยากรู้อยากเห็นของเธอมากกว่ารำคาญ 


    “ศาสตร์แห่งการแปรธาตุที่ข้าเรียนรู้มาตลอดชีวิต คือ การรู้จักคุณสมบัติที่แท้ของธาตุต่าง ๆ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสรรพสิ่ง แล้วดึงเอาคุณสมบัติที่ธาตุเหล่านั้นมีอยู่ออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด” เขาอธิบาย “ถ้าเจ้ารู้จักธาตุต่าง ๆ รอบตัวดีพอ เจ้าอาจแปลงน้ำให้เป็นไฟได้ในบรรยากาศและสภาพที่เหมาะสม เพราะน้ำและไฟมีองค์ประกอบบางอย่างร่วมกัน แม้ว่าโดยสภาพแล้ว พวกมันเป็นสิ่งที่เหมือนเป็นขั้วตรงข้าม และคนเรารับรู้กันโดยทั่วไปว่า น้ำใช้ดับไฟ การเรียกไฟจากน้ำจึงเป็นสิ่งที่ดูเหลือเชื่อสำหรับคนที่ไม่รู้”


    ตัวอย่างที่เกเบรียลยกมา อเล็กเซียประจักษ์แก่ตามาแล้วระหว่างการหลบหนี นักแปรธาตุร้องบอกให้พ่อมดใช้ไฟเวทเผาเกลือที่อยู่ในถังโลหะจนหลอมละลาย แล้วเหวี่ยงลงไปในอ่างน้ำ เพียงเสี้ยววินาทีที่เกลือหลอมเหลวสัมผัสกับผิวน้ำ เสียงระเบิดก็ดังลั่น อ่างใส่น้ำขนาดใหญ่แตกเป็นเสียง ส่งเศษกระเบื้องกระจายไปทั่ว ก่อนที่พวกเขาจะอาศัยจังหวะชุลมุนเปิดโอกาสให้คนอื่นได้หลบหนี 


    “ถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่า ทำไมถึงยังมีคนพยายามแปรธาตุที่ไร้ค่าให้กลายเป็นทองอยู่ล่ะคะ”


    คำถามนั้นทำให้ชายกลางคนหัวเราะและส่ายหน้ากับความช่างซักของสาวน้อย “ข้าไม่รู้กับเขาหรอก อเล็กเซีย แต่พ่อค้าอย่างข้ารู้วิธีทำเงินจากสิ่งที่ไร้ค่าโดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนมันเพื่อเอาไปหลอกขายให้คนอื่นก็แล้วกัน”


    “แล้วศิลาปราชญ์มีจริงไหม” 


    คำถามที่ตามมาไม่หยุดของอเล็กเซียทำให้เกเบรียลถึงกับถอนใจ และปลดฮู้ดของเสื้อคลุมที่คลุมศีรษะไม่ให้ชื้นจนเกินไปลงไปด้านหลัง และเก็บขวดน้ำค้างลงในกระเป๋าผ้าที่ผูกติดอยู่กับเข็มขัดหนังบนเอว


    “ข้ายังไม่เคยเห็นกับตา และต่อให้เห็น ข้าก็ไม่มีทางรู้ว่ามันเป็นของจริงหรือไม่” เขาตอบ เลิกคิ้วน้อย ๆ เป็นเชิงถามว่าต้องการจะถามอะไรอีกหรือไม่ พลางเดินนำเด็กสาวไปตามทางเดินเลียบชายป่าเพื่อเก็บฟืนสำหรับหุงต้มอาหารมื้อเช้า 


    “สมมุติว่าท่านได้มันมาล่ะคะ”


    “ข้าขายมันให้คนที่ต้องการดีกว่า” นักแปรธาตุตอบหน้าตาเฉย ราวกับสิ่งที่นักแปรธาตุเกือบทั้งโลกแสวงหามาตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันนี้เป็นเครื่องเงินหน้าตาพื้น ๆ สักชิ้นที่ไม่ควรค่าแก่การเก็บไว้ใช้สอย


    “ท่านพูดเล่นหรือเปล่า” คราวนี้ นางอยู่ไกลจากคนอื่นมาพอที่จะแสดงความประหลาดใจเสียงสูงได้โดยไม่ถูกปราม


    “สาวน้อย คนเราต้องกินอาหาร ต้องมีเสื้อผ้าไว้ใส่ ต้องการเงินไว้ใช้จ่ายสำหรับกิจเฉพาะหน้า เจ้าใช้ศิลาปราชญ์ไปแลกมาได้อย่างนั้นหรือ พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของพวกนี้จะไล่ตะเพิดเจ้ากลับมาละไม่ว่า และที่สำคัญ...”


    “ถ้ามีใครรู้ว่าท่านมีมันอยู่ ท่านอาจต้องพบเจอกับความรำคาญใจจากคนที่พยายามมาขอซื้อหรือขโมยไปจากท่าน”


    ข้อสังเกตนั้นทำให้เกเบรียลยิ้ม “ถูกต้องที่สุด... อย่างที่ข้าเคยบอก ข้าไม่สนใจที่จะบิดเบือนเนื้อแท้ของธาตุตามธรรมชาติ เพราะฉะนั้น ศิลาปราชญ์จึงไม่จำเป็นสำหรับข้า และข้าไม่ต้องการให้มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้พวกเราไม่ปลอดภัย สแตนลีย์รับมือกับปัญหาทุกอย่างมามาก ถึงเขาจะเต็มใจ แต่อะไรที่แบ่งเบาสิ่งที่เขาแบกรับลงไปได้บ้าง ข้าก็อยากทำ” 


    อเล็กเซียแน่ใจว่า นางไม่เคยได้ยินเมสเซอร์มาห์เลอร์กล่าวความในใจนี้ต่อหน้าเมสเซอร์พาร์คเกอร์แน่นอน แต่นางรู้ว่าเขาตั้งใจจะบอกอะไรและจดสิ่งที่ได้ยินไว้ในใจ แล้วพยายามหาทางบอกคนอื่นให้รู้โดยทั่วกันว่า อย่าพยายามสร้างปัญหา โดยเฉพาะเฟลิกซ์ ผีที่ตามนาตาลีจากตั้งแต่ตอนที่อยู่ร้านขนมปัง


    “ข้อสุดท้ายค่ะ เมสเซอร์มาห์เลอร์” เธอเอ่ย ช่วยเขาหอบไม้ฟืนที่เก็บมามากพอแล้วกลับไปยังที่พัก “คุณเคยอยากลองสร้างโฮมุนคูลุสดูบ้างหรือเปล่าคะ” 


    คำถามนั้นทำให้เขาถึงกับหลุดหัวเราะออกมา “เจ้าต้องไม่เชื่อแน่ ๆ ว่าข้าเคยคิด”


    เป็นคำตอบที่ผิดไปจากที่อเล็กเซียคาดเอาไว้จริง ๆ “พูดจริงหรือคะ”


    “จริงสิ สาวน้อย อย่าคิดว่าข้าไม่อยากทำเพราะมันเป็นสิ่งที่ท้าทายศาสนจักร แต่เพราะการสร้างมนุษย์นอกครรภ์มารดาเป็นเรื่องน่าสนใจทีเดียว แต่ข้าเลิกล้มความคิดนั้นไปหลังจากลองศึกษาส่วนประกอบกับวิธีการทำ”


    “เลวร้ายขนาดนั้นเลยเหรอคะ”


    เกเบรียลทำเสียงอืมยาวในลำคอเหมือนชั่งใจว่าควรจะตอบตามความจริง หรือหาทางพูดอย่างไรให้เหมาะสม


    “ก็ไม่เลวร้ายหรอก แต่ข้าไม่คิดว่าการสร้างโฮมุนคูลุสเป็นเรื่องที่เหมาะจะเล่าให้สุภาพสตรีฟัง”


    “ข้าไม่ถือหรอกค่ะ เพราะข้าเคยถามพ่อด้วยซ้ำว่าทำไมเขายังไม่แต่งงานและยังไม่เคยหลับนอนกับใคร” 
    ถ้าเกเบรียลดื่มน้ำหรือไซเดอร์อยู่ อเล็กเซียพนันได้ว่า เขาคงจะสำลักหรือเผลอพ่นน้ำที่กำลังดื่มอยู่ออกมา แต่ที่แน่ ๆ เขาเกือบปล่อยไม้ฟืนที่ถืออยู่ร่วงลงพื้นไปทั้งสอง มองหน้านางอึ้ง ๆ เหมือนเจอสัตว์ประหลาดในตำนานมาปรากฏตัวตรงหน้า


    “เจ้าอย่าไปบอกพ่อเจ้าว่าข้าพูดเรื่องพรรค์นี้ให้ฟังก็แล้วกัน ไม่อย่างนั้น เขาบ่นใส่หูข้าไปตลอดทางแน่”

     
    “สัญญาค่ะ!!” ตอบรับหนักแน่นไม่พอ อเล็กเซียยังยกมือขึ้นทำท่าสาบานอย่างแข็งขัน ท่าทางกระตือรือร้นและดวงตาสีฟ้าจางเป็นประกายด้วยความอยากรู้อยากเห็นทำให้ผู้สูงวัยกว่าส่ายหน้าเหนื่อยใจ ถึงจะแสดงกิริยาเช่นนั้น แต่เขาก็ยังยิ้มขันกับความห้าวหาญเกือบจะเป็นห่ามของนางอยู่ดี


    “ส่วนประกอบหลักของการสร้างโฮมุนคูลุส คือ น้ำเชื้อของนักแปรธาตุที่จะสร้างมันขึ้นมา...”


    พูดข้อแรกยังไม่ทันจบดี เด็กสาวก็ทำหน้าเหยเก ท่าทางแบบนั้นทำให้เกเบรียลรู้ได้ทันทีว่า เจ้าหล่อนรู้เกินเด็กสาวคนอื่นไปไกลทีเดียวว่าจะได้ของที่ว่ามาด้วยวิธีไหน “ข้าเตือนเจ้าแล้วนะ อเล็กซ์” 


    “ข้าฟังได้ค่ะ” เด็กสาวเชิดหน้าขึ้นมองเขา และสาวเท้าตาม ท่าทางแก่แดดเกินอายุของนางทำให้เขาอดหัวเราะไม่ได้


    “ถ้าอย่างนั้นก็ทนฟังข้าให้จบก็แล้วกัน” เขาว่า ชะลอฝีเท้าลง ไม่ใช่แค่ให้คนตัวเล็กกว่า ขาสั้นกว่าตามทัน แต่เพื่อให้มีเวลาพอจะเล่าให้จบก่อนออกจากชายป่าละเมาะไปถึงจุดตั้งคาราวานที่หลายคนคงจะเริ่มตื่นกันแล้ว


    “นอกจากน้ำเชื้อของนักแปรธาตุแล้ว ยังมีเลือดสัตว์จะเป็นแกะหรือสัตว์ชนิดอื่นก็ได้ กำมะถัน น้ำเลี้ยงของต้นวิลโลว์ขาวทำให้แห้งเป็นก้อนแล้วบดเป็นผงแป้ง ผงทูเทียเขียว แม่เหล็ก และภาชนะแก้วสำหรับบรรจุตัวอ่อน” 


    นักแปรธาตุลอบมองคนตัวเล็กกว่าที่ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ แม้ว่าจะทำหน้าผะอืดผะอมไปด้วยก็ตาม 


    “ขั้นตอนแรกสุด เจ้าต้องเอาน้ำเชื้อใส่เข้าไปในแม่วัว แล้วก็ทาเลือดที่อวัยวะสืบพันธุ์ของมัน จากนั้นให้แม่วัวที่ได้รับการผสมกินเลือดสัตว์เป็นอาหารจนกระทั่งมันคลอดเอาก้อนเลือดที่มีชีวิตออกมา...” 


    ถึงตรงนี้ คนฟังร้องอี๋ออกมาเต็มเสียงจนคนเล่าเรื่องให้ฟังถึงกับกลั้นขำไว้ไม่อยู่


    “ยังจะอยากฟังต่ออีกไหม”

    แม้จะพูดไม่ออก แต่เด็กสาวก็พยักหน้าหนักแน่น


    “ถ้าเจ้าหมดความอยากอาหารเช้าเพราะฟังเรื่องนี้ก็อย่าโทษข้า” เกเบรียลกระเซ้าก่อนเล่าเรื่องต่อ “พอได้ก้อนสิ่งมีชีวิตนั่นแล้ว เจ้าก็ช้อนมันใส่ในผงแป้งจากวิลโลว์ขาวผสมกำมะถัน ผงแม่เหล็ก และผงทูเทียเขียวเพื่อกระตุ้นให้มันสร้างผิวหนังแบบมนุษย์ขึ้นมา พอมันมีผิวหนังแล้ว เจ้าก็เอาก้อนเนื้อนี้ไปใส่ไว้ในโหลแก้ว และมันก็จะเปลี่ยนรูปร่างเป็นมนุษย์ตัวจิ๋วภายในสามวัน หรือบางตำราก็บอกว่าเจ็ดวัน ในช่วงเวลานี้ มันจะต้องการอาหารมาก ไม่เช่นนั้นมันจะหิวและเกรี้ยวกราด อาหารที่เจ้าจะต้องให้มันก็คือเลือดกับเนื้อของแม่วัวที่เจ้าใช้ผสมพันธุ์มันออกมานั่นละ” 


    “เมสเซอร์มาห์เลอร์... ขั้นตอนพวกนี้จบแล้วใช่ไหมคะ” น้ำเสียงแจ่มใสในคราวแรกอ่อนลงถนัดใจ และคนฟังถึงกับร้อง ‘หา?’ ออกมาดัง ๆ เมื่อเห็นเขาส่ายหน้า 


    “เจ้าสร้างมันอย่างยากลำบากเพื่อเอามาใส่โหลไว้ดูเล่นอย่างนั้นเหรอ” นักแปรธาตุหัวเราะ “เมื่อเจ้าเลี้ยงมนุษย์ตัวจิ๋วนี้ด้วยเลือดมนุษย์และสัตว์ไปอีกสี่สิบวัน ในคืนวันเพ็ญครั้งสุดท้ายของเดือนก็ตัดหัวมันออก คนที่กินเลือดของโฮมุนคูลุสจะแปลงกายเป็นสัตว์อื่นได้ หรือถ้าเจ้าของมันไว้ในที่มืด เลี้ยงมันด้วยนม ผ่าท้องมันออกแล้วเอาเครื่องในมันทาที่มือ เจ้าจะสามารถเดินบนน้ำหรือเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งได้ในชั่วพริบ หรือถ้าเจ้าอดทนเลี้ยงมันต่อไปอีกปีหนึ่ง จับมันแช่ลงในอ่างน้ำนมผสมน้ำฝน มันจะบอกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสถานที่อันไกลโพ้นให้เจ้าได้รู้ จบกระบวนการแค่นี้ละ”


    “ข้าเข้าใจแล้วว่าท่านถึงไม่คิดทำโฮมุนคูลุส...” อเล็กเซียเอ่ยเสียงอ่อยออกมาได้ในที่สุด หลังเงียบไปพักใหญ่ และพอดีกับที่พวกเขาเดินมาถึงจุดพักค้างคืน และทันช่วงเวลาที่แสงแดดยามเช้าส่องสว่างเกือบเต็มที่แล้ว


    เกเบรียลวางไม้ฟืนลงกองกับพื้น รับไม้ส่วนของเด็กสาวมารวมไว้ด้วยกัน รอจังหวะและดีดนิ้วเรียกประกายไฟให้ติดบนกิ่งไม้สนกิ่งหนึ่ง แล้วใช้กิ่งไม้นั้นจุดเข้ากับเชื้อไฟ ใต้ขาตั้งที่เตรียมจะเอาหม้อต้มน้ำขึ้นแขวน 


    “สำหรับเจ้า มันอาจเป็นวิธีการที่น่าขยะแขยงและโหดร้ายยิ่งกว่าการทำนายด้วยเครื่องในสัตว์หรือล่ากวางมาถลกหนังขาย... ข้าเองก็คิดอย่างนั้น” ชายกลางคนว่า พลางเสยผม ใช้เชือกหนังรัดผมที่เริ่มยาวเกินไปไว้ข้างหลังไม่ให้เกะกะ “อีกเหตุผลหนึ่งสำหรับข้า คือ ข้าไม่คิดว่าอำนาจวิเศษของมันมีประโยชน์สำหรับการใช้ชีวิตของข้าสักเท่าไหร่ สู้ปล่อยให้แม่วัวมีลูก ได้น้ำนมมาทำอาหาร มาทำเนยแข็งยังดูจะเข้าท่ากว่า ที่สำคัญกว่านั้น ข้าไม่คิดจะมีลูกกับวัว”


    ประโยคสุดท้าย ทำให้คนที่กำลังจะเดินกลับเข้าไปในตู้คาราวานเพื่อเอาหม้อมาต้มน้ำทำอาหารและปลุกคนที่ยังไม่ตื่นให้ลุกขึ้นมาได้แล้วหัวเราะคิกออกมาเป็นครั้งแรก 


    “ท่านพูดเล่นแล้ว เมสเซอร์มาห์เลอร์” อเล็กเซียว่า “ถ้าสมมุติว่าโฮมุนคูลุสบอกอนาคตแก่ท่านได้ ท่านจะไม่ลองทำมันขึ้นมาจริง ๆ หรือคะ”


    คำถามของเด็กสาวทำให้เขาเงยหน้าขึ้นจากกองไฟที่ก่อขึ้น ก่อนยืนยันคำปฏิเสธของตนเองอีกครั้ง และโบกมือไล่นางให้เข้าไปปลุกนาตาลีและนำเอาอุปกรณ์ทำอาหารออกมา 


    นักแปรธาตุมองเธอหายเข้าไปในตัวรถฝั่งที่แบ่งเป็นที่นอนสำหรับผู้หญิง และค่อย ๆ ก้าวเดินไปยังฝั่งที่กั้นไว้เป็นที่นอนของผู้ชายบ้าง แต่ยังไปไม่ถึง ก็พบกับใครอีกคนหนึ่งที่นั่งใส่รองเท้าบู๊ตอยู่บนบันได 


    “ข้าตื่นมาไม่พบเจ้า เลยออกมาดู” สแตนลีย์ พาร์คเกอร์บอก ริมฝีปากของเขาคลี่ออกเป็นรอยยิ้มที่ทำให้เกเบรียลถอนใจเฮือกใหญ่ เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายคงได้ยินอะไรที่เขาและอเล็กเซียพูดกันหมดแล้ว “ที่นางพูดมา ข้าเข้าใจดี และข้าเชื่อว่าเด็ก ๆ ของเราคงอยากรู้ว่า อนาคตข้างหน้าของเราจะเป็นอย่างไร จะมีวันที่เราจะได้หยุดและใช้ชีวิตที่ไม่ต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ อย่างนี้บ้างหรือไม่ และจะมีวันนั้นเมื่อใด แม้ว่าผู้ทำนายอนาคตอย่างเคลย์ตันจะเคยบอกไว้แล้วว่า พวกเรายังมีความหวัง”


    “เจ้าอยากให้ข้าลองทำมันขึ้นมาจริงหรือ” เกเบรียลเลิกคิ้ว


    หัวหน้ากองคาราวานหัวเราะ และใช้เวทมนตร์เรียกขวดน้ำค้างจากต้นเลดี้ส์แมนเทิลที่อีกฝ่ายโยนให้เอาไปเก็บมาถือไว้ในมือ “ถ้าข้าขอให้เจ้าสร้างโฮมุนคูลุสขึ้นมาสักตัว เจ้าจะทำมันขึ้นมาหรือเปล่าล่ะ...”


    “ไม่มีวันเสียละ ไม่ใช่เพราะข้าเสียดายวัว สแตนลีย์ และเจ้าก็ไม่ต้องเสนอความช่วยเหลือในการรวบรวมข้าวของสำหรับสร้างโฮมุนคูลุสอะไรทั้งนั้นด้วย” นักแปรธาตุหัวเราะรับ โบกนิ้วปรามอีกฝ่ายไม่ให้พูดต่ออย่างคนรู้ทัน “แต่เป็นเพราะมันจะทำให้เราเดือดร้อนจนไม่คุ้มที่จะเสี่ยง และถ้าสถานการณ์เลวร้ายพวกนี้สามารถจบลงได้ก่อนที่โฮมุนคูลุสจะใช้การได้ มันก็ไม่ต่างอะไรจากการที่เจ้ารอเก็บน้ำค้างหลังจากแดดออกแล้ว” 


    “ถูกของเจ้า” อดีตหัวหน้ากิลด์ผู้ใช้เวทมนตร์ที่กลายเป็นผู้นำกลุ่มอาชญากรหนีการตามล่าของศาสนจักรเอ่ย วางศีรษะลงบนไหล่ของเพื่อนร่วมตายที่เดินมาหยุดยื่นอยู่ตรงหน้า เหลือบมองขวดใส่หยาดน้ำค้างในมือ “แต่...”


    “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ เพื่อนรัก” มือที่เก็บรวบรวมน้ำค้างจากต้นเลดี้ส์แมนเทิลเมื่อเช้าที่ผ่านมาลูบผ่านเส้นผมของคนตรงหน้า “เจ้าอยากให้ทุกคนไม่ต้องหนีและมีชีวิตที่สงบสุข เราทุกคนรู้ว่าเจ้าทำดีที่สุดแล้ว เรื่องบางเรื่องก็มีเวลาของมัน เหมือนที่ข้าต้องตื่นมาเก็บน้ำค้างตอนเช้ามืด ไม่ใช่ตอนนี้หรือตอนเที่ยงวัน หรือไปเก็บตอนหัวค่ำ น้ำค้างที่มีก็ไม่พอกับความต้องการอยู่ดี จริงไหม” 

    สแตนลีย์ พาร์คเกอร์ไม่ได้ตอบคำ แต่เกเบรียลรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังยิ้มอยู่กับไหล่ของตนเอง 


    แสงแดดสว่างจ้ามากขึ้น และเผาหยาดน้ำค้างที่เคยเกาะอยู่บนดอกและใบของพุ่มไม้เชียวชอุ่มริมลำธารจนหมดสิ้น แต่อีกไม่นานเกินรอ หยาดน้ำค้างเหล่านั้นจะกลับมาอีก และเป็นเช่นนี้เสมอไป 


    เช่นเดียวกับความหวังที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตอย่างสงบสุข หมดหวัง ก็หวังใหม่ได้ จนกว่าวันนั้นจะมาถึง



    จบ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in