พระจันทร์ส่องสว่าง อวดความงดงามส่องตระกาลกระจ่างฟ้าทำให้ค่ำคืนนี้ไม่ได้มืดมิดเช่นทุกคืนที่ผ่านมา
แสงจันทร์ที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างเผยให้เห็นความเคลื่อนไหวที่ยังคงมีต่อเนื่องแม้เวลาจะล่วงเลยข้ามคืนมาแล้ว
แสงจันทร์ที่ว่านวลผ่องเย็นสบายก็ไม่อาจกลบความเร่าร้อนดั่งเปลวไฟของรสรักภายในห้องนี้ไปได้แม้แต่น้อย
“อ๊ะ! ...อย่- ตรงนั้น” เสียงครางเครือที่พูดไม่จบประโยคซึ่งเจ้าของของมันผวาเฮือกแอ่นแผ่นหลังไม่ติดที่นอนยามร่างกำยำด้านบนกระแทกกระทั้นเสือกไสความรัญจวนโดนจุดกระสัน มือบางปะป่ายโอบกอดท่อนแขนของสามีอย่างหาที่พึงพิง ขาเรียวเกี่ยวกระวัดรัดช่วงเอวสอบที่ไม่หยุดเร่งความเร็วจนสุดท้ายก็ปลดปล่อยหยาดหยดแห่งเมล็ดพันธุ์เข้ามาด้านในจนหมดสิ้น
เจมส์ถูกโอบกอดปลอบประโลมมอบจุมพิตแสนหวานจากคนด้านบนราวกับเป็นคำขอโทษที่เจ้าตัวเอาแต่ใจกอบโกยความสุขจากร่างกายเขามายาวนานกว่าสามชั่วโมงแล้ว
“เหนื่อยไหม” คนช่างเอาใจถอนจูบลูบศีรษะชื้นเหงื่อ มองเจมส์ด้วยแววตาเอ็นดูจนคนถูกมองขวยเขินซุกใบหน้าเข้ากับอกเปลือยก่อนพยักหน้าตอบคำถาม ใบหูแดงแจ๋จนคนขี้แกล้งห้ามใจที่จะขบเม้มมันไม่ได้
หกสัปดาห์ที่ผ่านมาชีวิตคู่ระหว่างเจมส์และสตีฟเป็นไปในทิศทางที่จะเรียกได้ว่าดีขึ้นกว่าเดิมคล้ายกับว่าทิฐิในใจของสตีฟมันค่อยๆ บางเบาลงอย่างที่ตัวเองก็ไม่เข้าใจ รู้แค่ว่าหลังจากวันนั้น- วันที่เขาโมโหเพื่อนของเจมส์ไอ้หนวดนั่นแล้วพาลมาลงที่ภรรยา หลังจากการร่วมรักกันในครั้งสุดท้ายเจมส์สัมผัสใบหน้าของเขาที่กำลังมัวเมากับร่างกายของอีกคนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่าที่เต็มไปด้วยแรงอารมณ์ (ที่ไม่ใช่อารมณ์อย่างว่า) ว่า ‘เกลียดผมมากเลยหรอเอ็นดูผมสักนิดไม่ได้เลยใช่มั้ยครับ’ เท่านั้นแหละก็เหมือนมีค้อนปอนด์อันใหญ่ทุบปั่กเข้ามากลางศีรษะ นั่นทำให้เขาถามตัวเองว่านี่เขากำลังทำอะไรอยู่
เขาเป็นฝ่ายบอกเจมส์เองว่าต่างคนต่างอยู่แล้วดูตอนนี้สิกลับกลายเป็นว่าเขากำลังล้ำเส้นเข้าไปใกล้อีกคนจนไม่สามารถย้อนกลับไปได้แล้ว พลางตั้งคำถามกับตัวเองว่าเขาเกลียดเจมส์จริงหรือไม่
น่าตลกที่เขาใช้เวลาเกือบสามวันในการปฏิเสธว่าตัวเองนั้น ’ไม่ได้เกลียดเจมส์เลยสักนิด’ ในวันที่สี่เขาก็ต้องยอมรับอย่างลูกผู้ชายเลยว่าที่ผ่านมาเขาหลอกตัวเองใช้ทิฐิปลอมๆ ตั้งแง่ใส่ความดีทุกอย่างที่เจมส์มีว่าเป็นการเสแสร้งเพราะว่ากลัวใจตัวเอง...กลัวว่าวันนึงเขาจะต้องยอมรับว่าชอบภรรยาที่แม่ประทานให้คนนี้เข้าแล้วจริงๆ
“น้ำหอมใหม่หรอครับ” เสียงของภรรยาตัวน้อยในอ้อมกอดเรียกสติของสตีฟออกจากภวังค์ มองตาใสแป๋วกับริมฝีปากบวมเจ่อซึ่งคนกระทำก็ไม่ใช่คนอื่นไกลแล้วอยากฟัดอีกรอบใจจะขาด
“อืม...ชอบไหม” หอมแก้มฟอดใหญ่จนคนในอ้อมกอดขยับยุกยิกหน้ามุ่ยใส่พลิกตัวหนี พอทำท่าจะคว้าตัวมากอดก็กระถดตัวหนีอีก
“มากอดเร็ว” สตีฟเอ่ยเรียกแต่ภรรยาของเขาก็ยังไม่หยุดทำหน้ามุ่ย จมูกโด่งรั้นนั่นก็เอาแต่ทำท่าฟุดฟิดๆ เหมือนกำลังดมกลิ่นอะไรไม่หยุด
“น้ำหอมคุณทำผมเวียนหัว” คนถูกพาดพิงก้มดมช่วงแขนช่วงไหล่ของตัวเองทันที ทำหน้าสงสัยอย่างคนไม่เข้าใจว่ามันเหม็นตรงไหนก่อนเอื้อมมือคว้าแขนอีกคนออกแรงลากให้เข้ามาในอ้อมกอดแต่เจมส์กลับขืนตัวไว้
“ผมนอนใกล้คุณไม่ได้จริงๆ ครับผมเหมือนจะอาเจียนเวลาได้กลิ่นน้ำหอมนั่น อ๊ะ! คุณจะไปไหนครับ” เจมส์เอื้อมมือคว้าแขนสตีฟที่ลุกยืนขึ้นเต็มความสูงด้วยความตกใจกล่าวโทษตัวเองในใจไปแล้วเรียบร้อยว่าเพราะเขาพูดไม่ดีทำให้สตีฟโกรธแล้วคืนนี้ก็คงออกไปนอนข้างนอกไม่นอนกับเขาแน่ๆแต่สิ่งที่สตีฟตอบกลับมากลับทำให้คนคิดมากก้มหน้างุดซ่อนความเขินลืมอาการคลื่นไส้เพราะน้ำหอมเมื่อครู่ไปชั่วขณะ
“ไปอาบน้ำไงขืนนอนทั้งๆ ที่ยังมีกลิ่นน้ำหอมก็อดกอดเมียน่ะสิ”
เช้านี้เจมส์รู้สึกไม่ค่อยสบายนัก เริ่มแรกเขารู้สึกคล้ายจะอาเจียนจนสะดุ้งตื่น ก่อนจะตกใจเมื่อพบว่าตัวเองตื่นสายกว่าปกติไปมากโดยปกติเขาจะเป็นฝ่ายตื่นก่อน แปรงฟัน อาบน้ำ เตรียมชุดให้สตีฟและทำอาหารเช้าแต่วันนี้เขากลับตื่นทีหลังและก็ต้องพบว่าคนข้างกายที่นอนกอดเขาทั้งคืนนั้นกำลังอาบน้ำในห้องน้ำอยู่
“ตายละ” เจมส์อุทานกับตัวเองรีบสะบัดผ้าห่มออกจากตัวก่อนลุกยืนเต็มความสูงตั้งใจว่าอย่างน้อยได้ปิ้งขนมปังชงกาแฟให้คนไปทำงานรองท้องหน่อยก็ยังดี แต่จู่ๆ โลกทั้งใบของเจมส์ก็ทับซ้อนหมุนเคว้งไปหมดจนต้องทรุดตัวลงนั่งบนเตียงตั้งสติสบัดศีรษะสองสามครั้งจนแน่ใจแล้วว่าอาการดีขึ้นจึงค่อยๆ พยุงตัวเองไปห้องครัว
เจมส์เปิดเครื่องชงกาแฟก่อนทาเนยที่ขนมปังเป็นขณะเดียวกันที่สตีฟเดินลงมาจากชั้นบนพอดี
ชายหนุ่มส่งยิ้มยามเช้าต้อนรับคนที่เดินเข้ามาสวมกอดด้านหลัง เอี้ยวตัวหนีริมฝีปากที่จู่โจมลงมาหอมที่แก้มซ้ายก่อนที่คนจมูกดีจะทำจมูกฟุดฟิดๆ เมื่อได้กลิ่นบางอย่างแปลกๆ จากตัวสามี ผละตัวออกจากอ้อมกอดเมื่อรู้สึกถึงความคลื่นเหียนที่ตีรื้นจุกอก ยกมือห้ามเมื่ออีกคนทำท่าจะเข้ามาใกล้
“น้ำหอมคุณ- ทำผมคลื่นไส้” เจมส์เอ่ยบอกตรงๆ
“ฉันกลับไปใช้กลิ่นเดิมแล้วนะ” สตีฟว่าพลางก้มลงไปดมช่วงแขน ทำท่าจะเข้าไปดูอาการภรรยาที่หน้าซีดเซียวจนน่าเป็นห่วงแต่กลับถูกอีกฝ่ายร้องห้ามเสียงดังจนตกใจ
“อย่าเข้ามาครับ! ยิ่งได้กลิ่นคุณผมยิ่งเวียนหัว!” เจมส์หน้าเสียเมื่อพบว่าเมื่อครู่ตนได้ขึ้นเสียงกับสตีฟโดยไร้เหตุผล เอ่ยคำขอโทษเบาๆ รู้สึกร้อนผะผ่าวที่ขอบตาอย่างประหลาด แต่สัมผัสจากมือกว้างที่เอื้อมมากุมมือของเขาแล้วลูบเบาๆ ที่หลังมือทำให้พายุอารมณ์ที่แปรปรวนในอกค่อยๆ สงบลง
“วันนี้ไปหาหมอกันนะ ฉันจะพาไป” สตีฟยิ้มให้คนที่จู่ๆ ก็งอแงขึ้นมา ยอมรับว่าตกใจนิดหน่อยที่โดนหงุดหงิดใส่แต่พอได้เห็นสีหน้ารู้สึกผิดกับน้ำตาที่คลออยู่เต็มดวงตากลมนั่นก็ทำให้เขาไม่ได้ติดใจอะไรอีก อันที่จริงออกจะเป็นห่วงภรรยาที่ดูอาการไม่ค่อยดีมากกว่าจะคิดเรื่องอื่นด้วยซ้ำ
เจมส์รู้สึกเหมือนมีผีเสื้อนับร้อยๆ ตัวบินวนในท้องดวงใจฟูฟ่องเหมือนลูกโป่งอัดแก๊ส สตีฟเป็นห่วงเขาแถมไม่โกรธที่เขาขึ้นเสียงใส่อีกต่างหากทั้งใบหน้าน้ำเสียงสัมผัสทุกๆ อย่างของสตีฟตอนนี้กำลังบอกให้เขารู้ว่าสตีฟเป็นห่วงเขามากเหลือเกิน...มันเหมือนกับความฝันหกสัปดาห์แสนสุขที่ผ่านมานี้มันเหมือนกับฝัน- ฝันที่ดีที่สุดในชีวิตที่เจมส์เคยมีมา
แต่แล้วกลับมีเสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นขัดจังหวะความสุขของเจมส์ เจ้าของหยิบมันออกจากเสื้อสูทหน้าจอโชว์เบอร์ที่ทำให้ลูกโป่งของเจมส์ห่อเหี่ยวลงสู่พื้นดิน- ชารอน สตีฟไม่ได้กดรับเสียด้วยซ้ำเพียงแค่หันใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดมามองเขาเหมือนบอกเป็นนัยว่าเขาเลือกแล้วที่จะผิดคำพูดเมื่อครู่
“ผะ ผมไปหาหมอเองได้ครับ คุณ...ไปทำงานเถอะ” เนิ่นนานเหลือเกินกว่าเจมส์จะปั้นคำพูดออกมาได้คล้ายกับว่ามีน้ำท่วมทะลักอยู่เต็มปาก...ยากเหลือเกินกับการพูดให้คนที่เขารักกลับไปหาคนที่ตัวเจมส์เองก็รู้ดีว่าเป็นเจ้าของหัวใจที่แท้จริงของสตีฟ
สตีฟแค่นยิ้มผลุนผลันออกไปทันทีที่เขาเอ่ยจบ ไม่ได้หยิบขนมปังหรือกาแฟที่เขาทำไว้ให้ ลืมแม้แต่จุมพิตจากลาที่หน้าผากอย่างที่เคยทำ
...บางทีมันอาจจะถึงเวลาแล้วที่เจมส์จะต้องตื่นจากฝัน...
เจมส์ไม่รู้ว่าจอดรถนิ่งข้างฟุตบาทมานานเท่าใดแล้ว รู้แค่ว่าเสียงของคุณหมอเจ้าของไข้ที่เพิ่งจากลากันเมื่อสามชั่วโมงก่อนยังคงก้องดังอยู่ในหัวหมุนวนไปเรื่อยๆ ราวกับแผ่นเสียงตกร่อง
‘ยินดีด้วยครับ...คุณตั้งครรภ์ได้สี่สัปดาห์แล้ว’
เจมส์ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตอนนี้กำลังลูบท้องของตัวเองอยู่ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นตัวอะไร...เขาเป็นผู้ชายแต่ตั้งครรภ์ได้ไม่ต่างจากสตรีนั่นก็เท่ากับว่าเขาไม่ต่างอะไรจากตัวประหลาดเลยสักนิด
จำได้ว่าตอนแรกตั้งใจว่าจะไปตรวจดูเฉยๆ ว่าเขาเป็นอะไรกันแน่ทำไมถึงเวียนหัวและคลื่นไส้บ่อยขนาดนั้นแต่กลับได้อะไรที่ไม่คาดคิดกลับมาด้วยเสียอย่างนั้น มือบางเอื้อมหยิบรูปอัลตราซาวด์สีขาวที่มีจุดเล็กๆสีดำอยู่ตรงกลาง- ที่คุณหมอชี้ให้ดูว่านี่แหละเป็นเจ้าตัวน้อยที่กำลังพยายามอย่างมากในการเติบโตในท้องของเขา...ท้องของตัวประหลาดแบบเขา
“ฮึก...” พยายามแล้วที่จะไม่ร้องไห้ พยายามแล้วที่ไม่อ่อนแอ แต่เจมส์ก็เป็นแบบนี้เสมอไม่เคยบังคับความรู้สึกตัวเองได้เลยแม้แต่ครั้งเดียว พร่ำถามคำถามในหัวว่าเขาเป็นตัวอะไรกันแน่เป็นร้อยรอบ ถามว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไปดีเป็นพันหน...ทันใดนั้นในห้วงความคิดก็พานนึกถึงคนที่มีส่วนช่วยกันก่อร่างสร้างเจ้าตัวน้อยขึ้นมา...แล้วสตีฟล่ะ จะรังเกียจเขาไหม- ไม่หรอก ไม่มีทาง ใครจะไปรับได้กับตัวประหลาดแบบนี้ ขนาดตัวเขาเองยังรับไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ต่อให้เขาบอกไปอีกฝ่ายอาจจะหาว่าเขาโกหกแล้วไม่เชื่อก็ได้ ท้ายที่สุดแล้วสตีฟอาจจะอยากเลิกกับเขา ร้ายกว่านั้นเขากลัวว่าจะสตีฟจะกลับไปเกลียดเขาอีก...เกลียดที่เขาเป็นตัวประหลาดแบบนี้
“ไม่นะ ไม่เอาแบบนั้น” เจมส์ไม่สนใจที่จะปาดน้ำตาออกจากใบหน้าอีกแล้ว เขาสนแค่ว่าสตีฟจะรังเกียจเขาไหม เขาควรจะบอกแล้วยื่นรูปอัลตราซาวด์นี้ให้หรือเก็บมันเป็นความลับดี แต่ท้องก็ต้องโตขึ้นทุกวันจะปิดบังได้นานเท่าไหร่กันเชียว
เจมส์รู้สึกกดดันจนอยากจะอาเจียน ตัดสินใจขับรถกลับบ้านขอแค่ตอนนี้ได้เห็นหน้าสตีฟเรื่องอื่นเอาไว้ทีหลังขอแค่ตอนนี้ให้สตีฟโอบกอดเขาไว้ด้วยสองแขนอบอุ่นนั่น...เจมส์ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
เจมส์จอดรถในโรงรถ ปาดน้ำตาบนใบหน้าทิ้งพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติที่สุดด้วยกลัวว่าสตีฟจะเป็นห่วง ถอดรองเท้าคู่เก่งวางไว้บนชั้นรองเท้าที่มีรองเท้าหนังของสามีวางไว้อยู่ก่อนแล้วซึ่งนั่นทำให้เจมส์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ ตัดสินใจแล้วว่าเขาจะเก็บเรื่องเจ้าตัวน้อยเอาไว้ก่อนรออีกสักพักหาโอกาสดีๆได้ค่อยบอกกับสตีฟทีหลังน่าจะเป็นการดีกว่า
“กลับมาแล้-“ เจมส์ตั้งใจจะเอ่ยทักให้คนในบ้านให้รู้ว่าเขากลับมาแล้ว แต่ไม่ทันพูดจบประโยคกับภาพที่เห็นมันทำให้จู่ๆ เสียงของเจมส์ก็หายไปเสียดื้อๆ น้ำตาหยดน้อยรินหล่นลงพื้นทันทีที่เห็นภาพของสามีถูกแฟนเก่า - คุณชารอนขึ้นคร่อมหน้าตักแล้วจูบกันดูดดื่มบนโซฟาในห้องนั่งเล่น
เจมส์รู้สึกเจ็บแปล๊บราวกับมีอสนีบาตฟาดเปรี้ยงลงมาตรงกลางใจ มือไม้สั่นควบคุมตัวเองแทบไม่ได้หันหลังหนีภาพตรงหน้าไม่อยากรับรู้สิ่งใดให้หัวใจที่บอบช้ำจนแทบไม่เหลือชิ้นดีต้องบอบช้ำมากขึ้นไปอีก...จากเดินกลายเป็นวิ่ง วิ่ง วิ่งหนีอย่างที่เจมส์ทำมาตลอด ม่านน้ำตาพร่าเลือนบดบังทัศนียภาพทั้งหมดแต่เจมส์ไม่สน ขอแค่ออกไปตรงนี้ อยากหนีไปให้ไกล ไม่อยากรับรู้อะไรอีกแล้ว
‘ปั่ก!’
“เฮ้ เจมส์! ...เจมส์ ร้องไห้ทำไม” วิ่งไม่พ้นหน้าบ้านด้วยซ้ำ เจมส์ถูกรั้งข้อมือไว้จากพี่โทนี่ที่เผอิญมาบ้านของเขาพอดี ในตอนแรกพี่โทนี่ยิ้มทักทายอย่างอารมณ์ดีแต่เมื่อเห็นน้ำตาที่พร่างพรายเต็มใบหน้าสีหน้าของพี่โทนี่ก็เคร่งเครียดขึ้นมาแทบจะทันที
เจมส์ไม่มีที่ไป ไม่มีแม้แต่ที่พึ่ง จึงไม่ลังเลเลยที่จะโผเข้ากอดชายตรงหน้าที่เรียกได้ว่าน่าจะเป็นคนที่อยู่ข้างเขาและไม่มีวันทำให้เขาเสียใจ
“มันจบแล้วครับ...ผมเสียเขาไปแล้ว...”
ใจสลายเป็นยังไง เจมส์ในตอนนี้เข้าใจเป็นอย่างดีเลยล่ะ
“ทานน้ำเปล่าได้ใช้ไหม” สตีฟเอ่ยถามหญิงสาวที่วางแฟ้มงานลงบนโต๊ะหน้าโซฟาในห้องรับแขก เหลือบมองนาฬิกาบอกเวลาใกล้สองทุ่ม พลันความเป็นห่วงภรรยาที่ยังไม่กลับบ้านก็แสดงออกทางสีหน้าจนหมด ทำให้ชารอนส่งเสียงเอ่ยแซวเบาๆ
“ห่วงเขาหรอ” สตีฟครางตอบในลำคอ เดินมานั่งที่โซฟาก่อนวางแก้วน้ำเปล่าข้างเอกสารร่วมธุรกิจกันระหว่างบริษัทของเขากับชารอน
“เปลี่ยนไปนะ ทีกับฉันไม่เห็นคุณห่วงอย่างนี้บ้าง ...เขามีดีอะไรหรอ” สตีฟขมวดคิ้วไม่ชอบใจที่ชารอนพูดพาดพิงถึงภรรยาของเขา ไม่รู้ว่าชารอนจะรื้อฟื้นเรื่องของเราให้ได้อะไรขึ้นมา...มันจบไปแล้วชีวิตต้องเดินหน้าต่อ เขามีครอบครัว ตัวชารอนเองก็ใกล้จะแต่งงานแล้วเหมือนกัน ที่มาเจอกันได้อีกครั้งนี้เพราะสตีฟต้องการร่วมลงทุนโปรเจคกับบริษัทพ่อของชารอนเลยพยายามโน้มน้าวใจเธอให้ร่วมหุ้นด้วยกัน ในตอนแรกเธออึกอักบอกมีเวลาว่างแค่ช่วงเย็น ถ้าอยากคุยด้วยจริงๆ จะมาหาที่บ้าน ผลเลยออกมาเป็นอย่างที่เห็น
“โครงการนี้บริษัทของฉันอยากร่วมลงทุนกับเธอจริงๆ นะ ลองดูข้อเสนอ-“ สตีฟพยายามพูดเข้าเรื่องแต่อีกฝ่ายยกลับไม่ยอม ชารอนใช้นิ้วแตะริมฝีปากของเขาเป็นเชิงให้หยุดพูด
“ชู่ว~ ฉันร่วมงานกับคุณแน่ค่ะสตีฟ ถ้า...”
“ชารอน! คุณทำอะไร!” สตีฟขึ้นเสียงใส่หญิงสาวที่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นมานั่งคร่อมหน้าตักของเขา กระโปรงทรงสอบถูกรั้งจนเห็นต้นขาอ่อนด้านในและสะโพกอวบอิ่ม ชารอนใช้วงแขนโอบรอบคอของสตีฟ ดึงรั้งให้เข้ามาใกล้ๆ ในขณะที่อีกฝ่ายต่อต้านเป็นพัลวัน
“ถ้าขืนคุณต่อต้านฉันอีก ฉันกลับแน่!” ชารอนขู่และนั่นก็ทำให้สตีฟยอมนั่งนิ่งๆ เกร็งจนแทบจะเป็นตะคริวไม่กล้ากระดุกกระดิก และสิ่งที่เกิดขึ้นตามมาก็ทำให้สตีฟได้รู้ว่าเขาคิดผิดที่ยอมผู้หญิงคนนี้...เธอจูบเขา จูบเหมือนที่เราเคยจูบกันสมัยยังคบกันอยู่ จูบที่มักจะเลยเถิดไปจบที่เตียงเสมอ- แต่สำหรับสตีฟในตอนนี้ มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ความรู้สึกที่เขามีให้ชารอนมันไม่เหมือนเดิม ความรู้สึกรักทั้งหมดที่มีมันถูกถ่ายเทไปยังภรรยาแสนดีของเขาตั้งแต่ตอนไหนเขาเองก็แทบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ดังนั้นความรู้สึกเดียวตอนนี้ของสตีฟคือความรู้สึกผิด - ความรู้สึกผิดต่อเจมส์ที่เขาจูบกับคนอื่นลอยวนเวียนเต็มหัวไปหมด
เขาอยากเป็นสามีที่ดีไม่อยากทำให้เจมส์เสียใจอีกต่อไปแล้ว
“พอเถอะชารอน ผมไม่อยากทำผิดต่อภรรยาของผม ...คุณเองก็น่าจะรู้สึกผิดต่อคู่หมั้นของคุณบ้าง” สตีฟเหวี่ยงร่างชารอนออกจากตัก ใช้สายตาเย็นชาทอดมองเธอที่พยายามจะเข้ามาใกล้เข้าอีก
“เลิกยุ่งกับผมเถอะ...ความรักของผมน่ะ ไม่ได้มีไว้เพื่อคุณอีกต่อไปแล้ว”
สตีฟไม่ได้มองว่าหญิงสาวทำสีหน้าเช่นไร เขาเลือกที่จะปลีกตัวออกมาด้านนอกเองไม่อยากอยู่ด้านในให้อึดอัดใจต่อกัน เขายินดีออกไปยืนรอรับภรรยาหน้าบ้านดีกว่ายืนอยู่ในบ้านแล้วเสี่ยงทำให้เจมส์เข้าใจผิด
แต่สิ่งที่สตีฟเห็นเมื่อออกมาหน้าบ้านกลับสวนทางกับสิ่งที่คิดอย่างสิ้นเชิง - กับภาพที่เห็นว่าภรรยากำลังกอดกับคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าจนใบหน้าฝังซุกลงไปกับอกของมัน ...สตีฟไม่ได้เตรียมใจที่จะมาเห็นจริงๆ
“เจมส์!!!” พายุอารมณ์ของสตีฟพัดโหมกระหน่ำตีกระพือภายในอก มองคนสองคนที่สะดุ้งผละออกจากกันด้วยความโมโห ...สิ่งที่เห็นนั่นเป็นหลักฐานชั้นดีที่บอกว่าเขากำลังโดนสวมเขาอย่างนั้นใช่ไหม
“ทำอะไรกัน! ฉันถามว่าทำอะไรกัน!” สตีฟขึ้นเสียงกับเจมส์แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน เดินปรี่เข้าไปดึงตัวภรรยาออกจากชายหนุ่มอีกคน เผลอตัวกำมือแน่นจนได้ยินเสียงเจมส์อุทานเบาๆ ด้วยความเจ็บ
“นายทำให้เจมส์เจ็บนะ ...ปล่อยเจมส์ก่อน” โทนี่กล่อมคนที่กำลังโมโหจนไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน มองคนตัวเล็กที่จนตอนนี้ก็ยังไม่หยุดร้องไห้ ...ไม่สิต้องบอกว่ายิ่งเห็นหน้าสตีฟยิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่าดีกว่า
“ชู้อย่างแกมีสิทธิอะไรมาสั่งฉัน!” สตีฟชี้หน้าโทนี่อย่างเอาเรื่อง ก่อนที่จู่ๆ ใบหน้าของเขาจะหันไปตามแรงตบจากคนข้างกาย รู้สึกใบหน้าชานึบไปทั้งแถบซึ่งตัวการอาศัยจังหวะที่เขาตกใจกับเหตุการณ์เมื่อครู่สะบัดข้อมือให้หลุดจากเกาะกุมแล้วเดินมาขวางระหว่างเขากับไอ้หนวดนั่นไว้
“คุณไม่มีสิทธิมาว่าพี่โทนี่” สตีฟมองใบหน้าที่เปื้อนน้ำตาของภรรยาด้วยความผิดหวัง จ้องลึกลงไปในดวงตาโศกที่บอบช้ำจากการร้องไห้ อยากจะถามว่าไม่รักกันแล้วหรือถึงทำกันแบบนี้ ...ไม่รักกันแล้วใช่ไหมถึงเลือกที่จะปกป้องคนอื่น
“นายเข้าข้างมัน...” สตีฟไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำเสียงของตัวเองแหบพร่าแผ่วเบาขนาดไหน
“คุณดูถูกความไว้ใจที่ผมมีให้คุณ ...แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอกครับเรื่องทั้งหมดมันเกิดจากผมที่ดื้อดึงเอง ....ผมผิดเอง” เจมส์มองใบหน้าของสตีฟผ่านม่านน้ำตา...เพิ่งรู้ตอนนี้เองว่าใบหน้าของสามีของเขามันแลดูเจ็บปวด ไม่เปี่ยมไปด้วยความสุขเหมือนพี่ชายในวันวานอีกแล้ว ...อาจจะเริ่มเจ็บปวดตั้งแต่ที่ต้องมาแต่งงานกับเขา ต้องมาใช้ชีวิตร่วมกับคนที่ไม่ได้รักแบบนี้ - นั่นยิ่งทำให้เจมส์ยิ่งเจ็บ ...เจ็บที่เป็นต้นเหตุให้คนที่เขารักไม่มีความสุข
อาจจะถึงเวลาแล้ว...
“คุณสตีฟครับ...”
ที่เขาจะต้องคืนความสุขจริงๆ...
“ผมจะปล่อยคุณไป”
ให้กับคนที่เขารักเสียที...
“เราหย่ากันเถอะครับ”
tbc.
———————————————————
เป็นตอนที่กินพลังมากค่ะ;—; แถมยาวมากๆด้วยก่อนอื่นอยากจะขอบคุณทุกคอมเม้นทุกกำลังใจเลยนะคะมันทำให้เรามีกำลังใจมากๆฮื่ออไม่รู้จะขอบคุณยังไงได้แต่พูดคำว่าขอบคุณซ้ำๆแบบนี้;—-;
เช่นเคยค่ะฝากฟิคเรื่องนี้ด้วยนะคะฝากเอ็นดูน้องเจมส์กับฉะตีฟด้วยค้าบบ
พูดคุยกับเราได้ทาง @buckymyboy หรือ#myboyfic มาพูดคุยหรือให้กำลังใจกันได้นะคะอย่าปล่อยให้เราคุยคนเดียวเลยค้าบ;——;
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in