Title: Let’s Not…
Fandom: Dunkirk
Couple: Farrier x Collins
Theme Song: 7989 – Taeyeon & Kangta (คลิกฟัง/ดูคำแปล),
Let’s Not – Super Junior (คลิกฟัง/ดูคำแปล)
.


 

ท่าทีเงียบขรึม

นัยน์ตาเฉียบคม

แต่กลับไม่น่ากลัว

 

แทบมองไม่เห็นท่อนบนของเครื่องแบบสีกรมท่า ด้วยคอเต่าสีครีมกับแจ็กเก็ตหนังแกะสีน้ำตาลคลาสสิกที่สวมทับ ทุกอย่างในตัวคนตรงหน้าดูสบายๆ และให้ความรู้สึกอบอุ่นปลอดภัยอย่างบอกไม่ถูก

 

“คุณโอเครึเปล่า…”

 

“…”

 

ไม่ตอบ เอาแต่จ้อง

 

หยุดสายตาที่ใบหน้าของเขา เลิกคิ้ว

คนตัวสูงกว่าโน้มเข้าไปใกล้ ถามย้ำ

 

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ คุณเงียบไป”

 

แฟริเออร์ส่ายหน้า

มองแฟ้มรายงานตัวในมืออีกฝ่าย

 

“มีรูปไหม…”

“ครับ?”

 

คอลลินส์ย่นคิ้ว

แปลกคน…

 

แต่ก็เปิดแฟ้ม ดึงรูปถ่ายใบเล็กๆ ของตนที่แนบมากับประวัติ ส่งให้นักบินรุ่นพี่

 

“นี่ครับ”

“เลิก ‘ครับ’ ได้แล้ว…”

 

แฟริเออร์กล่าว น้ำเสียงไม่ได้เจ้ากี้เจ้าการ แต่ฟังดูอยากให้ความเป็นกันเองมากกว่า

 

เขายกสมุดโน้ตในมือขึ้นมารองรูปถ่าย

ตวัดลายมือยุ่งๆ ลงไปบนนั้น

 

และพับสมุดเก็บ “เอาละ…”

ไปพร้อมกับรูปถ่าย

 

“…?”

 

“อากาศค่อนข้างสดใส ไปบินเล่นสักหน่อยแล้วกัน…”

 

.

.

 

“มันตามบี้ฉัน”

 

คอลลินส์ร้องบอก

 

“ฉันจะบี้มัน”

 

เพราะนั่นคือหน้าที่ของฉัน

 

แฟริเออร์จรดสายตา เพ่งสมาธิไปยังเครื่องบินเยอรมันที่ไล่ตามคอลลินส์ ซึ่งคอยแต่จะเลี้ยวหลบศูนย์เล็งในประสาทการมองเห็นของเขา

 

“คอยฟังฉันสั่ง ล่อไปซ้าย… ฟอร์ติส 2 หนึ่ง สอง สาม เอา”

 

เมสเซอร์ชมิตต์ตัดไปซ้ายตามเครื่องของคอลลินส์ ใต้ถุงมือหนัง… นิ้วของแฟริเออร์กดปุ่มสั่งปืนรัวยิงไปยังศัตรู กระทั่งกลุ่มควันสีขาวเริ่มลอยโขมงออกมาจากเจ้าเครื่องบินขับไล่เป็นทางยาว

 

“เคลียร์”

 

.

.

 

“คุณโอเครึเปล่า…”

 

สุภาพ

เป็นทางการ

เคร่งระเบียบ

 

ชุดเครื่องแบบถูกสวมใส่อย่างระมัดระวัง ไร้รอยย่นยับ เนกไทตรงสวย ณ กึ่งกลางลำคอ กระดุมทุกเม็ดแน่นิ่งในรังด้วยองศาเดียวกัน บูทยาวถึงใต้เข่าขัดเป็นมันเงา

 

เสียงผู้บังคับบัญชาแว่วดังในหู

 

เด็กดีนะ หัวไวด้วย… ดูแลให้ดีล่ะ

‘…’

ต่อไปนี้ เขาคือหน้าที่ของคุณ

 

“…”

 

หยุดสายตาที่ใบหน้าละอ่อน เลิกคิ้ว

คนตัวสูงกว่าโน้มลงมาถามย้ำ

 

“เป็นอะไรรึเปล่าครับ คุณเงียบไป”

 

แฟริเออร์ส่ายหน้า

มองแฟ้มรายงานตัวในมืออีกฝ่าย

 

“มีรูปไหม…”

“ครับ?”

 

คอลลินส์ย่นคิ้ว

 

แต่ก็เปิดแฟ้ม ดึงรูปถ่ายใบเล็กๆ ของตนที่แนบมากับประวัติ ส่งให้เขา

 

“นี่ครับ”

“เลิก ‘ครับ’ ได้แล้ว…”

 

ยกสมุดโน้ตในมือขึ้นมารองรูปถ่าย

ตวัดลายมือยุ่งๆ ลงไปบนนั้น

 

และพับสมุดเก็บ “เอาละ…”

ไปพร้อมกับรูปถ่าย

 

“…?”

 

“อากาศค่อนข้างสดใส ไปบินเล่นสักหน่อยแล้วกัน…”

 

__________

 

ไม่ไปไม่ได้เหรอ…?

 

“ไม่ดื่มเหรอ?”

 

แฟริเออร์สั่นศรีษะ

รอยยิ้มเจือจางแต้มอยู่มุมปาก

 

“เคยแล้ว”

 

คอลลินส์หลุดหัวเราะให้คำตอบกวนๆ นั่น

 

“แล้วจะออกมาด้วยทำไมเนี่ย”

 

แฟริเออร์ยักไหล่แค่เล็กน้อย

มองไปรอบบาร์เรื่อยเปื่อย

 

ยากจริงๆ

 

นักบินรุ่นพี่คนนี้น่ะ… อ่านยากเหลือเกิน ผ่านวันเวลามานานเท่าไร สนิทกันมากขึ้นเพียงใด คอลลินส์ก็ต้องยอมรับว่าหลายครั้งเขาไม่เข้าใจคนตรงหน้าเลย… ไม่เลยสักที

 

บางการกระทำเหมือนจะมีเหตุผล แต่ก็ไม่มี

สายตาดูมีหลายอย่างจะพูด แต่ก็ไม่พูด

 

ยังไงก็นะ…

เป็นคนที่มีไว้ข้างกายแล้วอุ่นใจ

 

ไม่ว่าบนฟ้าหรือว่าพื้นดิน

 

แค่นี้คงพอแล้วละมั้ง

 

 

“นะ…”

 

ลิปแดง

แก้มชมพู

กระโปรงสั้นสีครีม

 

สาวน้อยน่ารักดึงมือเขาเบาๆ

คอลลินส์ยิ้มกริ่ม แต่ยังไม่ตกลง

 

หันมาส่งสายตาถามแฟริเออร์

ซึ่งดันพยักเพยิดเห็นด้วยโดยไว

 

ทำเอาคนถามหงุดหงิด

คนซื่อบื้อ…

 

“ให้ทิ้งนายไว้คนเดียวจะดีเหรอ”

 

เขากระซิบ ยังคงยื้อ

แฟริเออร์ยิ้มบาง

 

“แค่เต้นรำเอง ไปเถอะ…”

 

คอลลินส์กัดริมฝีปาก

 

ไงก็…อย่าหนีกลับไปคนเดียวแล้วกัน”

 

แฟริเออร์ขยับริมฝีปาก

ไร้สุ้มเสียง

 

เป็นคำที่ทำให้คอลลินส์ยิ้ม

 

.

.

 

“ฟอร์ติส 2 นายเหลือเชื้อเพลิงเท่าไร”

 

คอลลินส์ตอบกลับโดยไว

 

“ห้าสิบแกลลอน เปลี่ยน”

 

แฟริเออร์จรดดินสอเทียนขีดเขียนตัวเลขสีขาวลงตรงที่ว่างบนแผงควบคุมเอาไว้ยืนยัน

 

“คอยบอกฉันเรื่อยๆ นะ เข็มวัดของฉันใช้ไม่ได้ เปลี่ยน”

 

นายเลี้ยวกลับไม่ดีกว่าเหรอ”

 

ไม่ดี

จะให้ปล่อยนายไว้คนเดียวได้ยังไง

 

“ไม่ ไม่ ฉันมั่นใจว่าเข็มแค่รวนเท่านั้นเอง”

 

…ก็สัญญาแล้ว

 

.

.

 

ทำไมไม่ไปล่ะ…?

 

“ไม่ดื่มเหรอ?”

 

แฟริเออร์สั่นศีรษะ

รอยยิ้มเจือจางแต้มอยู่มุมปาก

 

“เคยแล้ว”

 

คอลลินส์หลุดหัวเราะให้คำตอบของเขา

แววตาคนโตกว่ามีร่องรอยความเอ็นดู

 

“แล้วจะออกมาด้วยทำไมเนี่ย”

 

แฟริเออร์ยักไหล่เล็กน้อย

มองไปรอบบาร์เรื่อยเปื่อยแก้เก้อ

 

ก็แค่ต้องดูแลเด็กบางคน

 

แน่นอน เขาไม่ได้คออ่อน

แต่ถ้าไม่ดื่มเลยยังไงก็ปลอดภัยกว่า

 

ปล่อยให้เกิดเรื่องกับคนในดูแลไม่ได้หรอก

 

 

“นะ…”

 

ม่านตาของยอดนักบินเบิกกว้างสนใจ

 

ลิปแดง

แก้มชมพู

กระโปรงสั้นสีครีม

 

ก็เหมาะกับคอลลินส์ดี

 

สาวน้อยน่ารักดึงมือหนุ่มหล่อเบาๆ

คอลลินส์ยิ้มกริ่ม แต่ยังไม่ตกลง

 

หันมาส่งสายตาถามเขา

และเขาพยักเพยิดเห็นด้วยโดยไว

 

เจ้าตัวกระซิบถามเกือบทันที

 

“ให้ทิ้งนายไว้คนเดียวจะดีเหรอ”

 

แฟริเออร์ยิ้มบาง

กังวลด้วย?…น่ารักดีนะ

 

“แค่เต้นรำเอง ไปเถอะ…”

 

คอลลินส์กัดริมฝีปาก

อะไรรบกวนใจนายงั้นเหรอ?

 

“ไงก็…อย่าหนีกลับไปคนเดียวแล้วกัน”

 

แฟริเออร์ขยับริมฝีปาก

ไร้สุ้มเสียง

 

สัญญา

 

__________

 

ทำไมวันนี้ถึงได้ดูห่อเหี่ยวอย่างนั้นล่ะ

 

คอลลินส์นั่งหัวเราะมาเป็นชั่วโมงแล้ว

กับสาวน้อยที่เจอในบาร์นั่นแหละ

 

เธอพาเพื่อนมาเป็นคู่ควงให้แฟริเออร์ด้วย

แต่เจ้าตัวดูไม่ค่อยสนใจเอาเสียเลย

 

เป็นอะไรของเขากันนะ…ไม่สนุกเหรอ?

 

“ขอตัวไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะคะ”

 

สาวอีกคนทนความนิ่งของแฟริเออร์ไม่ไหว

เพื่อนเธอลุกจากที่นั่งข้างคอลลินส์ตามไป

 

“นี่…”

 

ลับหลังสองสาว

คอลลินส์คว้าแขนนักบินรุ่นพี่

 

“ช่วยฉันชิ่งหน่อยสิ”

แฟริเออร์เลิกคิ้ว “ตอนนี้น่ะเหรอ”

“เอาแบบ ตลอดไปเลย ฉันไม่ได้ชอบ…”

“แล้วตกลงมาทำไม…”

“เธอช่างตื๊อนี่”

 

หมีหงอยๆ ฟุบหน้าลงกับแขน

ของแฟริเออร์

 

“นายออกไปก่อน ฉันคุยกับเธอให้”

 

คอลลินส์ยิ้มกว้างทันที

เกือบจะเห็นหูสั่นดิ๊กๆ เหมือนลูกหมา

 

รอยบุ๋มใต้ตาเชื่อมลงมาถึงลักยิ้มมุมแก้ม

 

“รู้อยู่แล้วว่านายพึ่งได้”

 

รู้อยู่แล้วว่าแค่มีคนตรงหน้า…

ทุกอย่างก็จะเรียบร้อยเอง

 

“มันต่อกันนี่นะ…” แฟริเออร์พึมพำ

“หืม อะไร…”

 

อีกฝ่ายยกมือปัด “เปล่า…”

 

พูดถึงอะไรของเขากันนะ…?

 

“ฉันจัดการให้เอง ออกไปเร็ว”

 

.

.

 

“มันเลี้ยวกลับแล้ว คงจะเสร็จนาย”

 

คอลลินส์รายงานสิ่งที่เห็น

 

เขาถามกลับ “เครื่องคุ้มกันล่ะ”

“ฉันเห็น–”

 

เสียงคอลลินส์ขาดไป

ใต้สีหน้านิ่งงัน ใจแฟริเออร์ตกวูบ

 

กระทั่งเสียงนั้นกลับมาอีกครั้ง

เพียงได้ยิน ใจกลับมาชื้น

 

“ฉันกำลังตก…”

 

เสียงรุ่นน้องฟังดูตื่นตระหนก

ตัวก็คงสั่นอยู่ใช่ไหม

 

ไม่ต้องห่วง

อยู่กับฉัน นายจะไม่มีวันเป็นอะไร

 

“ฉันจัดการมันเอง ดีดตัวออกเลย”

 

.

.

 

ทำไมวันนี้ถึงได้หัวเราะร่าเริงอย่างนั้นนะ

 

คอลลินส์นั่งหัวเราะมาเป็นชั่วโมงแล้ว

กับสาวน้อยที่เจอในบาร์?…ใช่คนนั้นไหม

 

เธอพาเพื่อนมาเป็นคู่ควงให้เขาด้วย

แต่แฟริเออร์ไม่ได้สนใจสาวเจ้าเอาเสียเลย

 

“ขอตัวไปเข้าห้องน้ำเดี๋ยวนะคะ”

 

จนเธอทนความนิ่งของแฟริเออร์ไม่ไหว

เพื่อนสาวลุกจากที่นั่งข้างคอลลินส์ตามไป

 

“นี่…”

 

ลับหลังสองสาว

คอลลินส์คว้าแขนเขาหมับ

 

“ช่วยฉันชิ่งหน่อยสิ”

แฟริเออร์เลิกคิ้ว “ตอนนี้น่ะเหรอ”

“เอาแบบ ตลอดไปเลย ฉันไม่ได้ชอบ…”

 

อย่างนั้นหรอกเหรอ…?

 

“แล้วตกลงมาทำไม…”

“เธอช่างตื๊อนี่”

 

หมีหงอยๆ ฟุบหน้าลงกับแขน

ของเขา

 

ขี้อ้อนไม่รู้ตัวจริงๆ คนเรา

 

“นายออกไปก่อน ฉันคุยกับเธอให้”

 

คอลลินส์ยิ้มกว้างทันที

เกือบจะเห็นหูสั่นดิ๊กๆ เหมือนลูกหมา

 

รอยบุ๋มใต้ตาเชื่อมลงมาถึงลักยิ้มมุมแก้ม

 

“รู้อยู่แล้วว่านายพึ่งได้”

 

เคยคิดว่าอีกฝ่ายมีลักยิ้มสองอัน

 

ใต้ตาอันเล็กๆ

ข้างแก้มอันใหญ่ๆ

 

เพิ่งสังเกตว่าตอนยิ้มกว้างสุดๆ แบบนี้

มันจะเชื่อมต่อเป็นอันใหญ่อันเดียวกัน

 

“มันต่อกันนี่นะ…” แฟริเออร์พึมพำ

“หืม อะไร…”

 

เขายกมือปัด “เปล่า…”

 

แล้วนี่ฉันนั่งพิจารณาหน้านายทำไมกัน?

 

เขาละสายตาไปยังประตูหลังร้าน

กระจกสะท้อนภาพสองสาวกำลังกลับมา

 

“ฉันจัดการให้เอง ออกไปเร็ว”

 

คอลลินส์พุ่งออกจากร้านโดยพลัน

 

สาวๆ มองนักบินคู่หูที่เหลือหัวเดียว

 

“คอลลินส์ล่ะคะ?”

“ผมบอกให้กลับไปแล้ว”

“ทำไม…”

“อย่ามารบกวนเขาอีกเลย คุณผู้หญิง”

“…ว่าอะไรนะคะ”

 

แฟริเออร์จ้องตาสาวน้อยแน่นิ่ง

 

“คุณไม่คู่ควรกับเขาหรอก”

 

ดวงตะวันที่เฉิดฉายแบบนั้น

แม้แต่เขายังไม่กล้าบินเข้าไปใกล้

 

เพียะ!

 

แฟริเออร์หน้าหัน

 

ไม่ได้มอง

ได้ยินเสียงฝีเท้าเกรี้ยวกราดเดินจากไป

 

เขาคงไม่เสียมารยาทกับผู้หญิง

ถ้าไม่ใช่วิธีเดียวที่จะทำตามคอลลินส์ขอ

 

มันตั้งแต่เมื่อไรกันนะ…

 

จากชีวิตในกองทัพ

ลามมาเรื่องส่วนตัว

 

ที่ต้องตามดูแลนายแบบนี้?

 

_________

 

ก้าวช้าๆ อย่างนั้น จะได้ไปไหนเหรอครับ?

 

คอลลินส์ยืนรอด้วยใบหน้างอง้ำ

แกล้งนั่งยองๆ ลงคอยคนที่เดินลอยชาย

 

“เร็วหน่อยสิ ฟาร์เรียร์

 

คนแก่กว่าไม่มีท่าทีจะรีบขึ้นสักนิด

ยังเดินล้วงกระเป๋าด้วยท่าทีสบายๆ

 

“ไม่ได้ขายาวอย่างนายนี่…”

 

รู้สึกเหมือนโดนแกล้งหน่อยๆ

เจ้าหมีขาวนั่งหงอยจิ้มพื้นเล่น

 

กระทั่งบูทสองข้างแตะทบกันตรงหน้า

และมืออบอุ่นยื่นมายีผมบนหัวจนยุ่ง

 

อ่า…

 

คอลลินส์เงยขึ้น หยีตามอง

มือข้างเดิมนั้นยื่นมาให้จับ

 

เขาคว้าไว้ กลับมายืนเต็มความสูง

 

บ่นพึมพำ “นี่วันสุดท้ายแล้วนะ ยังไม่ได้ไปอีกตั้งหลายที่…”

 

ใช่…วันหยุดสุดท้ายที่จะได้พักผ่อน

ก่อนปฏิบัติภารกิจในสงครามอันใกล้ปะทุ

 

แล้วก็ต้องประจำหน้าที่ไปอีกยาวๆ

 

“อยากไปไหน?”

 

แฟริเออร์ยอมปรับจังหวะเดินให้เท่าเขา

และคอลลินส์ชอบแบบนั้น

 

ชอบมีแฟริเออร์อยู่ข้างๆ

 

“หาอะไรกินก่อน แล้วดูหนัง อยากเข้าร้านแผ่นเสียงด้วย มีเพลงใหม่ของวง…”

 

คอลลินส์ไล่รายการที่วางแผนไว้ในหัว

ไม่แน่ใจหรอกว่าแฟริเออร์อยากด้วยรึเปล่า

 

แต่ก็ไม่เคยเห็นขัดใจเขาสักที

 

อา…นั่นสินะ

เพิ่งรู้ตัวว่าโดนตามใจขนาดนี้

 

“นายอยากทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า…”

 

แฟริเออร์มองเขาแวบหนึ่ง

ขยับข้อมือหมุนไปมา

 

“อยากได้ถุงมือใหม่ อันที่ใช้อยู่กดปุ่มยิงไม่ถนัด…”

“นายนี่นะ”

 

คอลลินส์ส่ายหน้า

 

“…อะไร?”

“รู้ไหม วันแรกๆ ที่ฉันมาถึง เขาพูดถึงนายกันว่าไง… ว่านายไม่รู้จักอะไรเลยนอกจากหน้าที่ ไม่แคร์อะไรเลยนอกจากหน้าที่ ไม่เคยรักอะไรเลยนอกจากหน้าที่…”

 

เลยไม่แน่ใจไง…

ว่าอีกฝ่ายมีหัวใจไหม

 

และจะมองเห็นหัวใจใครบ้างรึเปล่า

 

“…”

“…ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่นายชอบเลยเหรอ”

 

นักบินรุ่นน้องมองถาม

นักบินรุ่นพี่จ้องตอบ

 

“พวกเขาอาจจะ…พูดถูกก็ได้”

 

คอลลินส์กัดริมฝีปาก

เปลี่ยนเรื่อง

 

“ไปกันเถอะ…”

 

เส้นผมสีฟางร่วงลงปรกดั้งตอนที่โคลงศีรษะบอกทิศทาง

 

“ร้านนั้นมีถุงมือขายเยอะแยะเลย…”

 

ท้ายเสียงคอลลินส์แผ่วลง

เมื่อคนตรงหน้าใช้นิ้วเกลี่ยผมเขาขึ้นไป

 

ความร้อนค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วแก้มขาว

 

ชั่ววินาทีที่สบตาคู่นั้น

เหมือนได้เห็นบางสิ่ง

 

คิดไปเองหรือเปล่านะ ว่านายเองก็…

 

“ก็หวังว่าจะมี…อย่างอื่น…เหมือนกัน”

 

เสียงพึมพำแผ่วเบา แต่ดังชัดในใจเขา

เจ้าหมีขาวยกอุ้งมือขึ้นลูบแก้มที่ขึ้นสีเรื่อ

 

“อยากได้อะไรนอกจากถุงมือเหรอ?”

 

แฟริเออร์ส่ายหน้า

มือล้วงกระเป๋าตามเดิม

 

รอยยิ้มเอ็นดูในแววตาก่อนเจ้าตัวจะหันไป ทำให้คอลลินส์เริ่มเอะใจว่าอีกคนไม่ได้หมายถึงอย่างอื่นที่จะซื้อ

 

แต่จะใช่อย่างนั้นรึเปล่านะ

 

.

.

 

“โชคดีนะ ระวังเชื้อเพลิงด้วย นายเหลือสิบห้าแกลลอน”

 

ดินสอเทียนตวัดสีขาวลงบนแผงหน้าปัด

 

“สิบห้าแกลลอน ทราบแล้ว”

 

แฟริเออร์ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกอะไรที่จู่ๆ ก็ท่วมท้นขึ้นมาในตอนนั้น แต่สัญชาตญาณลึกๆ มันร้องบอกว่านี่อาจเป็นบทสนทนาสุดท้ายระหว่างกัน

 

วันหยุดสุดท้ายก่อนสงครามเริ่ม อาจเป็นวันหยุดสุดท้ายจริงๆ ที่ได้ใช้ด้วยกัน

 

หนังเรื่องนั้นที่แม้แต่ชื่อเรื่องยังจำไม่ได้ อาจเป็นเรื่องสุดท้ายที่ดูด้วยกัน

 

ร้านแผ่นเสียงนั้นอาจเป็นร้านสุดท้ายที่ได้เข้าไปยืนฟังเพลงอยู่เป็นชั่วโมงด้วยกัน

 

ถุงมือที่ใส่บินอยู่ อาจเป็นคู่สุดท้ายที่ได้คอลลินส์เลือกให้ ตอนไปซื้อด้วยกัน

 

‘…สิบห้าแกลลอน’ อาจเป็นคำสุดท้ายที่เขาจะได้ยินจากอีกฝ่าย

 

และเขาไม่อยากให้ ‘สิบห้าแกลลอน…’ กลายเป็นคำสุดท้ายที่เจ้าลูกหมาจะได้ยินจากเขา

 

อย่างน้อยก็ควรเรียกชื่อเจ้าตัวอย่างอ่อนโยนสักครั้ง

 

ไม่ใช่ด้วยรหัส

ไม่ใช่ในหน้าที่

 

แต่เพื่อยืนยัน

ว่าเขาก็มีหัวใจ

 

“โชคดี คอลลินส์

 

แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่มีวันได้รับรู้เลยก็ตาม

 

.

.

 

ก้าวเร็วๆ อย่างนั้น จะไปไหนเหรอครับ?

 

คอลลินส์ยืนรอด้วยใบหน้างอง้ำ

แกล้งนั่งยองๆ ลงรอเขาที่เดินลอยชาย

 

“เร็วหน่อยสิ ฟาร์เรียร์

 

สำเนียงตลกๆ ฟังน่าเอ็นดูนัก

แต่คนแก่กว่าไม่มีท่าทีจะรีบขึ้นสักนิด

 

“ไม่ได้ขายาวอย่างนายนี่…”

 

ไม่ได้อยากแกล้งหรอกนะ

แต่ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันอย่างนี้น่ะ…

 

ไม่อยากให้มันผ่านไปเร็วนัก

 

เจ้าหมีขาวนั่งหงอยจิ้มพื้นเล่น

แฟริเออร์ลอบยิ้มให้คนไม่เห็น

 

แตะบูททบกันตรงจุดที่อีกฝ่ายหลุบมองอยู่

อดไม่ได้… ต้องยื่นมือไปยีเส้นผมสีฟางนั่น

 

คอลลินส์เงยขึ้น หยีตามอง

เขาส่งมือซึ่งเพิ่งเล่นหัวเจ้าตัวให้จับ

 

มันถูกคว้าไว้ เขาช่วยดึงให้เจ้าตัวยืนขึ้น

 

คอลลินส์บ่นพึมพำ “นี่วันสุดท้ายแล้วนะ ยังไม่ได้ไปอีกตั้งหลายที่…”

 

มองกันคนละทางอีกแล้วสินะ

เป็นแบบนั้นเสมอเลย

 

อย่างว่า นี่วันหยุดสุดท้ายที่จะได้พักผ่อน

ก่อนปฏิบัติภารกิจในสงครามอันใกล้ปะทุ

 

แล้วก็ต้องประจำหน้าที่ไปอีกยาวนาน

ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเมื่อไรจะได้หยุดพัก

 

ไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าจะได้กลับบ้านรึเปล่า

 

“อยากไปไหน?”

 

แฟริเออร์ปรับจังหวะเดินให้เท่าเจ้าขายาว

อย่างน้อยคอลลินส์ก็ดูพอใจขึ้น

 

เป็นความเคยชินที่มีเขาอยู่ข้างๆ

 

“หาอะไรกินก่อน แล้วดูหนัง อยากเข้าร้านแผ่นเสียงด้วย มีเพลงใหม่ของวง…”

 

สำเนียงตลก ๆ ร่ายยาวเป็นหางว่าว

ไม่ถามสักคำว่าเขาอยากทำด้วยไหม

 

แต่ถึงถามก็ใช่ว่าเขาจะเคยขัด

 

นั่นสิ…

เพิ่งรู้ตัวว่าตามใจเด็กมันมากขนาดนี้

 

“นายอยากทำอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า…”

 

เขามองคอลลินส์แวบหนึ่ง

ขยับข้อมือหมุนไปมา

 

“อยากได้ถุงมือใหม่ อันที่ใช้อยู่กดปุ่มยิงไม่ถนัด…”

“นายนี่นะ”

 

คอลลินส์ส่ายหน้า

เขาขมวดคิ้ว

 

“…อะไร?”

“รู้ไหม วันแรกๆ ที่ฉันมาถึง เขาพูดถึงนายกันว่าไง… ว่านายไม่รู้จักอะไรเลยนอกจากหน้าที่ ไม่แคร์อะไรเลยนอกจากหน้าที่ ไม่เคยรักอะไรเลยนอกจากหน้าที่…”

 

ฟังดูไม่ค่อยมีหัวใจเท่าไร

แต่ก็อาจจะจริง

 

“…”

“…ไม่มีอะไรอย่างอื่นที่นายชอบเลยเหรอ”

 

นักบินรุ่นน้องมองถาม

นักบินรุ่นพี่จ้องตอบ

 

“พวกเขาอาจจะ…พูดถูกก็ได้”

 

ชีวิตฉันมันคง…

มีแต่คำว่าหน้าที่จริงๆ

 

คอลลินส์กัดริมฝีปาก

 

“ไปกันเถอะ…”

 

เส้นผมสีฟางร่วงลงปรกดั้งตอนที่โคลงศีรษะบอกทิศทาง

 

อยากเอาออกให้…

 

“ร้านนั้นมีถุงมือขายเยอะแยะเลย…”

 

อย่าดีกว่า

ทั้งที่ใจร้องห้ามอย่างนั้น…

 

ก็ยัง…

อดเอื้อมมือออกไปไม่ได้

 

“ก็หวังว่าจะมี…อย่างอื่น…เหมือนกัน…”

 

อย่างอื่น…ที่ชอบ

 

แต่เวลาอยู่บนฟ้า

นักบินจะไขว้เขวไม่ได้เลย

 

ในห้องเล็กๆ นั่น

ต้องมีแค่ฉัน…กับหน้าที่เท่านั้น

 

และนายก็ควรเป็นเหมือนกัน

 

เขาไม่มีสิทธิ์ทำให้พวงแก้มขาวนั่นเรื่อสีจนเจ้าหมีต้องยกอุ้งมือขึ้นลูบด้วยซ้ำ

 

แต่ก็ดัน…ชอบที่ได้เห็น

 

“อยากได้อะไรนอกจากถุงมือเหรอ?”

 

แฟริเออร์ได้แต่มองคนตาใสด้วยความเอ็นดู หันหน้าหนี เก็บมือลงกระเป๋า

 

เด็กนี่นะ

ช่างไม่รู้อะไรเอาซะเลย

 

__________

 

ตั้งแต่วันแรก…ก็นานแล้วนะ

ที่อยู่ด้วยกันแบบนี้

 

ยังมีคนทึ่มแบบนี้อยู่บนโลกด้วยเหรอ?

 

คอลลินส์นั่งกัดนิ้วอยู่บนสนามหญ้า

ไม่ได้เข้าไปร่วมวงกับนักบินคนอื่นๆ

 

แต่เลือกนั่งใกล้ๆ คนที่นอนแผ่อยู่บนพื้นนุ่ม

มอง…อาทิตย์ซึ่งยังเจิดจ้า แม้ใกล้ตกดิน

 

“จ้องตรงๆ แบบนั้นเดี๋ยวก็ตาบอด…”

“…”

“ตาบอดบินไม่ได้นะ”

 

แฟริเออร์หันมามองเขาชั่วขณะ

ก่อนหันกลับไป หลับตาลง

 

ความเงียบปกคลุมอีกครั้ง

เวลาหมุน ทั่วลานเหลือพวกเขาสองคน

 

แฟริเออร์ลุกขึ้น เดินไปนั่งบนปีกสปิตไฟร์

ฉากหลังยามสนธยาสวยมากจากตรงนั้น

 

ฟอร์ติส 2″

 

เพียงอีกฝ่ายเรียกขาน

ฉับพลันเขาก็ไปอยู่ข้างกาย

 

ต่างคนจ้องมองแสงสุดท้ายของวันเงียบๆ

 

“…”

 

สองมือบนปีกเครื่องบิน

อยู่ห่างกันเพียงปลายนิ้วขยับ

 

แต่เมื่อปลายนิ้วคอลลินส์ขยับ

มือของแฟริเออร์ก็ยกขึ้นชี้เส้นขอบฟ้า

 

“เห็นอะไรไหม”

 

คอลลินส์ลอบถอนหายใจ

มองตาม “ไม่เห็นมีอะไร”

“ก็ถูก…ไม่มีอะไร”

“ประสาท”

 

แกล้งไม่รู้หรือจงใจเลี่ยงกันแน่?

 

คอลลินส์ชันขาขึ้นกอดเข่า

กัดกางเกงเล่นระบายความงุ่นง่าน

 

“เครื่องแบบขาดมันผิดระเบียบนะ”

 

คนเป็นรุ่นพี่เตือน ไม่สิ แซว

คนอย่างฟาร์เรียร์น่ะนะ…แซว?

 

คนเป็นน้องย่นจมูก

หันไปงับไหล่เสื้ออีกฝ่ายแทน

 

เจ้าของก็ยอมให้งับเสียด้วยสิ

 

ยากจัง

ใจคนเรานี่มันยากเย็นเกินไป

 

ปกป้องบนพื้นและอากาศ

ไม่เคยขัดใจสักเรื่อง สักครั้ง

แต่ก็ไม่เคยให้อะไรมากกว่านี้เช่นกัน

 

ฟาร์เรียร์…”

 

คอลลินส์หยุดกัดเสื้อแฟริเออร์

หัวสีฟางฝังลงกับแผ่นหลังที่อีกคนหันให้

 

กระซิบ

 

“อย่างอื่นคืออะไร…”

“…”

 

อย่างอื่นในชีวิตที่นายสนใจนอกจากหน้าที่

อย่างอื่นในชีวิตที่นายรัก ที่นายแคร์

 

ถ้าหากไม่มี

 

ถ้าหาก…ไม่ใช่ฉัน

ทำไมต้องพูดออกมาตอนนั้น

 

ด้วยน้ำเสียงแบบนั้น

สายตาแบบนั้น

 

“…”

 

คนที่เงียบขรึมอยู่เสมอยิ่งเงียบลงไปอีก

จนคอลลินส์ตัดสินใจ

 

“ถ้านายไม่ตอบ งั้น…”

“…”

“…ให้ฉันบอกอะไรนายก่อนได้ไหม”

 

เผื่อว่านายอยากมั่นใจก่อนว่าฉันคิดยังไง

เผื่อว่านายรู้แล้ว จะได้เอ่ยมันออกมาบ้าง

 

เผื่อนายอยากแน่ใจว่าไม่ได้คิดไปเอง

 

“…”

 

แต่จากความเงียบนั้น…

 

เดาว่าทั้งหมด…

 

 

อย่าเลย…ฟอร์ติสทู”

 

 

คงเป็นฉันคนเดียวที่คิดไปเอง

 

แฟริเออร์ทำท่าจะลุกเดินหนี

แต่อุ้งมือขาวตะปบหลังเสื้อและกำไว้แน่น

 

“…”

 

นักบินรุ่นพี่จึงยอมนั่งนิ่งไม่ไปไหน

ยังคงตามใจเขา

 

แม้หลังจากได้ทำลายมันไปแล้วก็ตาม

 

คอลลินส์กัดเสื้อของอีกฝ่ายแรงๆ

กลั้นเสียงสะอื้น

 

ไม่มี อย่างอื่น‘ นอกเหนือหน้าที่

ไม่เคยมีที่ว่างเหลือในหัวใจ

 

แฟริเออร์รู้จักแต่หน้าที่

แฟริเออร์แคร์แต่หน้าที่

 

แฟริเออร์รัก…แต่หน้าที่

 

พวกเขาพูดถูกทุกอย่าง

 

 

อย่าเลย…”

 

 

.

.

 

สลับเครื่องยนต์จากหลักมาสำรอง

นี่อาจเป็นเที่ยวบินที่ไม่มีขากลับ

 

แต่แฟริเออร์ก็ตัดสินใจแล้ว

 

เขาหักเลี้ยว

ไล่ตามเครื่องไฮน์เคล

 

สอยเมสเซอร์ชมิตต์ร่วง

ทุ่งเปลวไฟลามเหนือผืนน้ำ

 

ไร้เครื่องคุ้มกัน

เขาจัดการเจ้าเครื่องทิ้งระเบิดสำเร็จ

 

และสัมผัสความเงียบผิดปกติ

ใบพัดหยุดหมุน

 

“…”

 

แฟริเออร์นั่งนิ่ง

ปล่อยให้เครื่องร่อนไปตามแรงลมเงียบๆ

 

นี่แหละเหตุผล…คอลลินส์

 

ฉันมันก็แค่ผู้ชายขี้ขลาดที่ไม่มั่นใจว่าจะปกป้องนายไปได้ตลอดชีวิต

 

เพราะไม่มีสิ่งใดอยู่เหนือหน้าที่

 

และแม้เขาจะอยากเลี้ยวกลับไปแค่ไหน

ก็ไม่อาจทำใจทิ้งสิ่งสำคัญเหนือชีวิตนี้ได้ลง

 

ฉันรักหน้าที่ของฉัน…คอลลินส์

 

หวังว่าสักวันนายคงเข้าใจ

 

.

.

 

ตั้งแต่วันแรก…ก็นานแล้วนะ

ที่อยู่ด้วยกันแบบนี้

 

ยังไม่เข้าใจอีกเหรอ?

 

คอลลินส์นั่งกัดนิ้วอยู่บนสนามหญ้า

ไม่ได้เข้าไปร่วมวงกับนักบินคนอื่นๆ

 

แต่เลือกนั่งใกล้ๆ คนที่นอนแผ่อยู่บนพื้นนุ่ม

มอง…อาทิตย์ซึ่งยังเจิดจ้า แม้ใกล้ตกดิน

 

“จ้องตรงๆ แบบนั้นเดี๋ยวก็ตาบอด…”

“…”

“ตาบอดบินไม่ได้นะ”

 

หันไปมองเจ้าของเรือนผมสีฟางชั่วขณะ

เจิดจ้า…ยิ่งกว่าดวงตะวันเสียอีก

 

จะตาบอดไหมนะ…?

 

เขาหันหัวกลับมา หลับตาลง

ทุกวันนี้ก็แทบมองไม่เห็นอะไรอื่นอยู่แล้ว

 

ความเงียบปกคลุมอีกครั้ง

เวลาหมุน ทั้งลานเหลือพวกเขาสองคน

 

แฟริเออร์ลุกขึ้น เดินไปนั่งบนปีกสปิตไฟร์

ฉากหลังยามสนธยาสวยมากจากตรงนั้น

 

ฟอร์ติส 2″

 

เพียงเรียกขาน

ฉับพลันก็มาคลอเคลียอยู่ข้างกาย

 

ลูกหมามันดีอย่างนี้เองคนถึงชอบเลี้ยงนัก

 

บนปีกนกเหล็ก, ข้างกันและกัน

จ้องมองแสงสุดท้ายของวันเงียบๆ

 

“…”

 

สองมือบนขอบปีกสปิตไฟร์

อยู่ห่างกันเพียงปลายนิ้วขยับ

 

แต่เมื่อปลายนิ้วคอลลินส์ขยับ

เขาก็จำต้องยกมือหนี

 

ชี้สะเปะสะปะไปยังเส้นขอบฟ้า

 

“เห็นอะไรไหม”

 

คอลลินส์มองตาม “ไม่เห็นมีอะไร”

“ก็ถูก…ไม่มีอะไร”

“ประสาท”

 

คำสบถยังน่าเอ็นดูไปหมด

 

คอลลินส์ชันขาขึ้นกอดเข่า

กัดกางเกงตัวเองเล่นเสียอย่างนั้น

 

ลูกหมานี่มันลูกหมาจริงๆ

 

“เครื่องแบบขาดมันผิดระเบียบนะ”

 

คนถูกแซวย่นจมูก

หันมางับไหล่เสื้อของเขาแทน

 

แน่นอนว่าเขาก็ยอมให้งับ

 

ปกป้องบนพื้นและอากาศ

ไม่เคยขัดใจสักเรื่อง สักครั้ง

แต่ไม่อาจให้อะไรไปมากกว่านี้

 

ฟาร์เรียร์…”

 

เรียกเบาๆ เมื่อหยุดกัดเสื้อของเขาแล้ว

การนั่งเอียงมุมหันหลังให้กลายเป็นเรื่องดี

 

เจ้าลูกหมาที่จมหัวเข้ากับแผ่นหลังนี้จะไม่เห็นว่าสีหน้าเขาแปลกไปอย่างห้ามไม่อยู่

 

“อย่างอื่นคืออะไร…”

 

เสียงนุ่มนิ่มกระซิบถาม

เขาไม่มีคำตอบ

 

ยังไม่เข้าใจจริงๆ หรือแค่อยากแน่ใจ?

 

เพราะความแน่ใจ…

ให้ไม่ได้

 

“ถ้านายไม่ตอบ งั้น…”

“…”

“…ให้ฉันบอกอะไรนายก่อนได้ไหม”

 

อย่า

 

แฟริเออร์ส่ายหัวเป็นพันครั้งอยู่ในใจ

 

อย่าทำแบบนี้

อย่าขอร้องอ้อนวอน

 

ดวงตะวันอย่างนายไม่ควรต้องลดตัวลงมา

อยู่บนฟ้านั่นแหละดี

 

และถ้าฉันหายไป

ก็อย่าคิดถึงกัน

 

“อย่าเลย…ฟอร์ติสทู”

 

อย่ารักคนอย่างฉันเลย

 

แฟริเออร์ขยับตัวจะลุกเดินหนีไป

ก่อนจะทนไม่ไหว ก่อนจะเปลี่ยนใจ

 

แต่อุ้งมือขาวตะปบหลังเสื้อและกำไว้แน่น

 

“…”

 

จึงต้องยอมนั่งนิ่งไม่ไปไหน

ยังคงตามใจคนเป็นน้อง

 

แม้หลังจากได้ทำลายมันไปแล้ว

ทั้งที่ไม่เคยต้องการ

 

ไม่เคยอยากเห็นนายต้องเจ็บปวด

แต่ทางนี้ นายจะเจ็บน้อยที่สุดแล้ว

 

คอลลินส์กัดเสื้อของเขา…แรง จนรู้สึกได้

จะกลั้นเสียงสะอื้นยังไง ก็หวีดหวิวพอได้ยิน

 

จะกัดจนขาดกระจุยแค่ไหนก็ได้

แต่อย่าร้องเลย หมาน้อยของฉัน

 

ทุกหยดน้ำตาที่ซึมชื้นลงแผ่นหลัง

กำลังกรีดหัวใจของเขาเป็นริ้วๆ

 

หัวใจ…ซึ่งดูจะไม่มีที่ว่างเหลือเผื่ออย่างอื่น

 

เขารู้จักแต่หน้าที่

เขาแคร์แต่หน้าที่

 

เขารัก…แต่หน้าที่

 

พวกนั้นพูดถูกทุกอย่าง

 

“อย่าเลย…”

 

กระซิบย้ำ

ย่ำยี

 

บดขยี้หัวใจของอีกคน

และของตนไปพร้อมกัน

 

เพราะฉันมันก็แค่ผู้ชายขี้ขลาดที่ไม่มั่นใจว่าจะปกป้องนายไปได้ตลอดชีวิต

 

เพราะรู้ดีแก่ใจ

 

หากถึงวันที่ต้องเลือก

เขาก็จะเลือกหน้าที่

 

เสี้ยววินาทีที่ต้องตัดสินใจ

ว่าจะกลับไปหานายหรือปกป้องคนอื่น

เขาต้องเลือกคนอื่น

 

จึงไม่อาจเห็นแก่ตัวเก็บนายไว้

ไม่อยากเห็นนายร้องไห้ ถ้าฉันไม่กลับมา

 

ฉันรักหน้าที่ของฉัน…คอลลินส์

หวังว่าสักวันนายคงเข้าใจ

 

และ…ได้โปรด

ช่วยอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม

 

อย่ารักผู้ชายคนนี้เลย

 

__________

 

ไม่ได้ร้องไห้ตอนรู้ว่าฟาร์เรียร์ไม่กลับมา

 

มันชาไปหมด

ไม่รู้เลยว่าควรตอบสนองยังไง

 

บางทีอาจจะดีแล้วที่ถูกปฏิเสธแบบนั้น

ถ้าสถานการณ์กลับกัน

 

ตอนนี้เขาอาจจะน้ำตาไหลหมดตัวแล้วก็ได้

 

แต่ก็ยัง…เจ็บปวดอยู่ดีละนะ

 

ตอนที่ต้องมานั่งเก็บของ

ส่งกลับไปให้ครอบครัวของอีกฝ่าย

 

“…?”

 

เขาแพ็กทุกอย่างลงกล่องแล้ว

ตอนที่พบสมุดบันทึกในลิ้นชักหัวเตียง

 

เล่มที่ฟาร์เรียร์พกติดตัวตลอดเวลา…

 

จดโน่นนี่เวลาฟังสรุปงาน

เลยเห็นอยู่บ่อยๆ

 

คอลลินส์ถือวิสาสะเปิดมัน

 

จะจดอะไรอื่นไว้บ้างไหมนะ?

ผู้ชายที่สนแต่งานในหน้าที่แบบนั้น

 

เขากรีดดูก่อนผ่านๆ

ทำบางสิ่งร่วงพลิ้วลงมา

 

บางสิ่ง…

ที่ขุดตะกอนความทรงจำขึ้นมารางๆ

 

“…”

 

รูปถ่ายใบเล็กๆ คว่ำหน้าอยู่กับพื้น

เขาใช้สองนิ้วคีบมันขึ้นมา

 

รูป…?

 

 

 

 

มีรูปไหม…

ครับ?’

 

แปลกคน…

 

เขาเปิดแฟ้ม ดึงรูปถ่ายของตนส่งให้

 

นี่ครับ

เลิกครับได้แล้ว…

 

รุ่นพี่ยกสมุดโน้ตในมือขึ้นมารองรูปถ่าย

ตวัดลายมือยุ่งๆ ลงไปบนนั้น 

 

และพับสมุดเก็บ เอาละ…

ไปพร้อมกับรูปถ่าย

 

 

รูปถ่ายใบนั้น

ในวันนั้น

 

ที่เขาไม่เคยรู้ว่าฟาร์เรียร์เขียนอะไรลงไป

 

“ทำไมเป็นคนแบบนี้วะ…”

 

และจากที่ไม่ได้ร้องไห้ตอนรู้ข่าว

ก็กลับต้องมาร้องเอาตอนนี้

 

เวรเอ๊ย

 

เพราะเหนือศีรษะของเขาในภาพนั้น

มีลายมือยุ่งๆ แบบเดียวกับทุกหน้าในเล่ม

 

กำกับไว้ว่า…

 

หน้าที่

 

 

ดูแลให้ดีล่ะ ต่อไปนี้ เขาคือหน้าที่ของคุณ

 

 

ฉันรักหน้าที่ของฉัน…คอลลินส์

หวังว่าสักวัน นายคงเข้าใจ