เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
filmtofichoramiji
[SF] Part Of The List (Farrier x Collins)
  • Title: Part Of The List
    Fandom: Dunkirk
    Couple: Farrier x Collins
    Continuity: เป็นทั้ง Prequel และ Sequel ของ Don't Want To Miss A Thing (แต่อ่านแยกได้นะ)
    Theme Song: Part Of The List - Neyo (แนะนำให้เปิดฟังระหว่างอ่าน ㅠㅡㅠb)

     


     

    "คุณว่าอะไรนะ"

     

     

    นักบินหนุ่มในชุดเครื่องแบบถาม

    นายทหารต่างชาติขยับปากเอ่ยซ้ำ

     

     

    "ผมวาด...จากความทรงจำ"

     

     

    มือนั้นยื่นกระดาษที่พับทบไว้ค้างเก้อ

    เพราะคอลลินส์ยังคงไม่รับ

     

     

    "ดูสิ"

     

     

    อีกฝ่ายจึงยัดมันใส่มือ

    เจ้าผมบลอนด์คลี่มันออก

     

    "..."

     

     

    รูปของเขาเอง?

     

     

    "คุณวาดผม? ได้ยังไง?"

    "จากความทรงจำ" อีกฝ่ายย้ำคำเดิม

     

     

    เขาได้ยินชัดตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว

    แม้สำเนียงแปร่งหู แต่ก็ฟังออก

     

     

    เพียงไม่อาจเข้าใจว่าทำไม

    วาดจากความทรงจำคืออะไร

     

     

    ในเมื่อเขาไม่เคยรู้จักชายคนนี้มาก่อน

     

     

    .

    .

     

     

    "ไม่ๆๆๆ"

     

     

    รู้สึกถึงมือที่รองรับศีรษะตนไว้

    เขารู้สึกแค่นั้น หลังกระสุนทะลุอกไป

     

     

    "อย่าหลับนะเว้ย อยู่กับฉันก่อน เฮ้!"

     

     

    อีกมือหนึ่งตบหน้าเขาเบาๆ

    เสียงก้องดังเข้ามาในหู

     

     

    แต่หน้าชาจนไม่รู้สึกถึงแรงปะทะ

     

     

    ฟาร์เรียร์กำเสื้อนอกของนายทหารฝรั่งเศสเอาไว้ กระซิบด้วยปากที่เปรอะเลือด

     

     

    "...รู...ป"

     

     

    อีกฝ่ายลนลาน

    หยิบรูปออกจากกระเป๋าเสื้อตน

     

     

    เขาส่ายหน้า

     

     

    "บอกเขา..."

    "อะไรนะ"

     

     

    เขาเคลียร์ลำคอ พูดให้ชัดที่สุด

     

     

    "...ว่านาย...วาด...มันยังไง"

     

     

    เป็นถ้อยคำสุดท้าย

     

     

    "แฟริเออ..."

     

     

    อังเดรพึมพำ ทั้งรู้

    ว่านักบินอังกฤษไม่ได้ยิน

     

     

    ...อีกแล้ว

     

     

    .

    .

     

     

    คอลลินส์ไม่อาจละสายตาจากรูปนั้น

     

     

    รายละเอียดทุกอย่าง...

    เหมือนเขาจนน่าตกใจ

     

     

    "พอได้มาเห็นคุณ ผมก็ช็อคนะ..."

     

     

    สำเนียงฝรั่งเศสพึมพำ

     

     

    "...ที่มันออกมาเหมือนขนาดนี้"

     

     

    แม้แต่จุดเล็กๆ

     

     

    ลักยิ้มตรงข้างแก้ม

     

    รอยบุ๋ม...

     

     

    .

    .

     

     

    "เสร็จ"

     

     

    เขาพ่นภาษาฝรั่งเศส

    ก่อนพูดซ้ำในภาษาอังกฤษ

     

     

    หันกระดาษให้เชยชม

     

     

    "เหมือนยัง?"

     

     

    นัยน์ตาคมดุจเหยี่ยวหรี่ลงนิด

    แสงจันทร์เลือนรางสีเงินไม่อำนวยนัก

     

     

    แต่เท่าที่พอมองเห็น

    ก็รู้สึกถึงองค์ประกอบที่ขาด

     

     

    "มี..."

    "อะไร?"

    "รอย...คล้ายๆ ลักยิ้ม อยู่ใต้ตา ตรงนี้"

     

     

    ฟาร์เรียร์จิ้มนิ้วลงบนโหนกแก้มตน

    ระบุตำแหน่ง

     

     

    แล้วหันกลับไปสตาร์ทเครื่องยนต์เรือ

     

     

    เสียงของขั้นตอนนั้นดังลั่น

    ทหารเยอรมันรู้ตำแหน่งพวกเขาทันที

     

     

    เรือแล่นออกไป

    กระสุนสาดตาม

     

     

    ปัง! ปัง! ปัง!

     

     

    เขาโอบคุ้มอังเดรให้หมอบลงอัตโนมัติ

    ความแสบร้อนซ่านกระจายใต้ลาดไหล่

     

     

    เหนือหัวใจ

     

     

    ไม่กี่เซน

     

     

    "เวรเอ๊ย..."

     

     

    เจ้าฝรั่งเศสสบถ

    เป็นคนอังกฤษที่ล้มลง

     

     

    "ไม่ๆๆๆ"

     

     

    .

    .

     

     

    "พอได้มาเห็นคุณ ผมก็ช็อคนะ..."

     

     

    สำเนียงฝรั่งเศสพึมพำ

     

     

    "...ที่มันออกมาเหมือนขนาดนี้"

     

     

    แม้แต่จุดเล็กๆ

     

     

    ลักยิ้มตรงข้างแก้ม

    รอยบุ๋ม

     

     

    มือ

     

    ขนาดมือ...

     

     

    .

    .

     

     

    บ้าน

     

     

    สถานที่ซึ่งอยู่ห่างไปเพียงทะเลกั้น

     

     

    ความจริงอังเดรเป็นลูกเสี้ยว

    มีครอบครัวญาติฝั่งแม่อยู่อังกฤษ

     

     

    น่าจะปลอดภัยกว่าฝรั่งเศสตอนนี้นัก

     

     

    "นานแค่ไหนกว่าน้ำจะขึ้น"

     

     

    ฟาร์เรียร์ยักไหล่ "ฉันเป็นนักบิน"

    "เออ กูก็ทหารบก"

     

     

    นี่คือเรือประมง

     

     

    ไม่กี่วันก่อน อังเดรถูกต้อนออกมาทำงานข้างนอก มองเห็นชายหาด พบมันมาเกยอยู่นี่ เขาเห็นทางหนีจากดันเคิร์ก แต่อันดับแรกต้องออกจากค่ายกักกันเชลยให้ได้เสียก่อน นั่นเป็นตอนที่เขาต้องอาศัยแฟริเออร์ เพื่อนนักโทษผู้เก็บตัวเงียบ ซึ่งเพิ่งสะเดาะกุญแจห้องขังออกมาได้ต่อหน้าต่อตา

     

     

    เจ้าฝรั่งเศสล้วงกระเป๋าเสื้อ

    หยิบกระดาษกับดินสอออกมา

     

     

    "ระหว่างรอ น่าจะวาดต่อได้เสร็จพอดี"

     

     

    ฟาร์เรียร์ฟังภาษาพ่อของอีกฝ่ายไม่ออก

    แต่เห็นท่าทางก็รู้ว่าจะทำอะไร

     

     

    "นึกอะไรออกอีก?"

     

     

    อังกฤษแบบแปร่งๆ ดังขึ้นอีกครั้ง

    อังกฤษแบบบริติชพึมพำตอบ "มือ"

     

     

    "ได้"

    "ไม่เท่ากัน"

    "ฮะ?" อังเดรแทบสำลัก

     

     

    "มือซ้ายเล็กกว่าหน่อย"

     

     

    .

    .

     

     

    "ฟอร์ติส 2"

     

     

    เสียงคุ้นหูทัก ก่อนปีนเข้าค็อกพิท

    บูททหารอากาศตอกกลับลงพื้น

     

     

    ยืนค้ำเงาฟอร์ติส 1

     

     

    "ว่า?"

    "โอเคนะ?"

     

    ลังเล แต่ผงกศีรษะ "อือ"

     

     

    คนแก่กว่าไม่เห็นความน่าเชื่อถือในนั้น

     

     

    "มานี่..."

     

     

    ฟาร์เรียร์ประทับมือขวาบนหลังคอ

    คนตัวสูงโน้มก้มลงมาอัตโนมัติ

     

     

    "ขออุ้งมือหน่อย"

     

     

    คอลลินส์หลุดขำ เผยลักยิ้ม

    นัยน์ตาฟาร์เรียร์อ่อนโยนและยิ้มตาม

     

     

    "ไม่ใช่หมา"

     

     

    แต่ก็ยื่นมือให้

     

     

    มือขาวที่นักบินรุ่นพี่ขออยู่เสมอก่อนบิน

    ซ้ายบ้าง ขวาบ้าง สลับกัน

     

     

    จนสัมผัสได้ถึงขนาดที่แตกต่าง

     

     

    วันนี้เป็นข้างที่เล็กกว่า

    ข้างซ้าย

     

     

    เขากุมมันไว้แน่น

    ให้คำมั่นสัญญา

     

     

    "นายจะได้กลับบ้าน โอเค?"

     

     

    พอฟาร์เรียร์เริ่มคลายมือออก

    แล้วนิ้วขาวยังพยายามเกี่ยวรั้งเอาไว้

     

     

    ถึงได้เริ่มรู้สึก

     

     

    ว่าคนที่เจ้าผมบลอนด์กลัวจะไม่ได้กลับ

    อาจไม่ใช่ตัวเอง

     

     

    .

    .

     

     

    "พอได้มาเห็นคุณ ผมก็ช็อคนะ..."

     

     

    สำเนียงฝรั่งเศสพึมพำ

     

     

    "...ที่มันออกมาเหมือนขนาดนี้"

     

     

    แม้แต่จุดเล็กๆ

     

     

    ลักยิ้มตรงข้างแก้ม

    รอยบุ๋ม

     

     

    มือ

    ขนาดมือ

     

     

    รูปจมูก

     

    นัยน์ตา...

     

     

    .

    .

     

     

    "ฉันโอเคๆ..."

     

     

    อังเดรกระซิบในความมืด

    หายใจแรงจนตัวโยน

     

     

    ฟาร์เรียร์ยังสำรวจร่างอีกฝ่ายให้มั่นใจว่าไม่มีรอยกระสุนฝังอยู่หรือทะลุผ่าน หลังวิ่งหนีพวกเยอรมันจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้าน และอีกบ้าน และอีกบ้าน ก็พบหลังที่จะเป็นที่กบดานต่อไปได้อีกหลายชั่วโมง อย่างน้อยก็จนกว่าน้ำจะขึ้น

     

     

    มันมีห้องใต้ดิน

    พวกเขาหลบอยู่ในห้องใต้ดิน

     

     

    เรียกว่าสวรรค์ก็ยังได้

    เขาเพิ่งเจอตู้เก็บเหล้า

     

     

    ฟาร์เรียร์หอบแรง มือข้างหนึ่งกุมชายโครง

    อีกข้างเปิดตู้ คว้าขวดที่ฉลากบอกปีเก่าสุด

     

     

    ทิ้งตัวลงกับพื้น กรอกมันเข้าปาก "ซื่อ..."

     

     

    "อะไรนะ"

    "นายถามถึงตา"

    "อ้อ..."

     

     

    อังเดรค้นตัวเอง เจอกระดาษที่พับลวกๆ

    กางออก จรดดินสอ เริ่มลงมือวาดต่อ

     

     

    ขณะที่ฟาร์เรียร์เริ่มสำรวจห้องใต้ดิน

     

     

    "บางทีก็ดูอ้อนเหมือนลูกหมา"

     

     

    ปากงึมงำบอกนักวาด

    มือควานเจอช่องประตูเล็กๆ เหนือหัว

     

     

    "อังเดร"

     

     

    เขาเรียก อีกฝ่ายเดินตามมา

    หูยังคงเงี่ยฟังบางสิ่ง

     

     

    "เสียงคลื่น?" 

     

     

    เจ้าฝรั่งเศสกระซิบ

     

     

    อุโมงค์ใต้ดินบ้านนี้เป็นทางออกไปยังทะเล

     

     

    สู่ชายหาด...

     

    เรือ...

     

     

    บ้าน

     

     

    .

    .

     

     

     

    ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่เริ่มสังเกตเห็น...

     

     

    แววตาคู่นั้น

    ลอบมองเขาอยู่บ่อยๆ

     

     

    แม้ในยามหลับ

    ก็ยังรู้สึกถึง...

     

     

    สายตาแบบลูกหมาหลงทางนั่น

     

     

    "หลับเถอะ คอลลินส์"

     

     

    นักบินรุ่นพี่กระซิบ

    หลังข่มตานอนให้เด็กมันจ้องอยู่เป็นชั่วโมง

     

     

    "นอนไม่หลับ"

    "ก็แค่ขึ้นบินเหมือนทุกวัน"

    "ในหัวนายก็คิดแต่จะบินละนะ"

     

     

    ฟาร์เรียร์ลืมตาข้างหนึ่งขึ้นมอง

    และคอลลินส์ไม่ได้หลบตาเลย

     

     

    ยิ่งจ้องลึกราวกับจะขุดค้นจิตวิญญาณเขา

    ขุดค้นหัวใจ

     

     

    "ไม่งั้นจะให้ทำอะไร"

    "ไม่รู้สิ"

     

     

    เด็กน้อย

     

     

    ฉันก็คิดเรื่องอื่นเป็นเหมือนกัน

     

     

    .

    .

     

     

    "พอได้มาเห็นคุณ ผมก็ช็อคนะ..."

     

     

    สำเนียงฝรั่งเศสพึมพำ

     

     

    "...ที่มันออกมาเหมือนขนาดนี้"

     

     

    แม้แต่จุดเล็กๆ

     

     

    ลักยิ้มตรงข้างแก้ม

    รอยบุ๋ม

     

     

    มือ

    ขนาดมือ

     

     

    รูปจมูก

    นัยน์ตา

     

     

    เส้นผม

     

    ปลายผมหน้าที่ลู่ลงมาปรกตา...

     

     

    .

    .

     

     

    "ตา...เรียว"

     

     

    ฟาร์เรียร์พึมพำ

     

     

    "จมูก...โด่ง...ตรง...สมมาตร"

     

     

    นายทหารฝรั่งเศสขยับดินสอในมืออย่างชำนิชำนาญ

     

     

    พวกเขาซุ่มซ่อนอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง ในความมืด เฝ้ารออย่างอดทนจนกว่าพวกเยอรมันจะมีการเปลี่ยนเวรยาม เปิดช่องว่างให้พวกเขาหลบหนีไปถึงหน้าหาด และนี่คือสิ่งที่พวกเขาลงเอยทำระหว่างชั่วโมงรอแสนยาวนาน เพราะเจ้าคนที่หนีมาด้วยกันบังเอิญเป็นศิลปินนักวาดที่ถูกประเทศชาติบีบบังคับให้จับปืนแทนพู่กัน

     

     

    "ผมสีอะไร"

    "นายใช้ดินสอ"

    "มันมีผลกับแสงเงา"

    "บลอนด์"

    "อู้ว สาวบลอนด์ ฉันก็แพ้ทางนี้เหมือนกัน"

     

     

    ศิลปินหัวเราะน้อยๆ แบบไร้สุ้มเสียง

     

     

    "ที่ให้วาดน่ะลูกหมาต่างหาก"

     

     

    นักบินอังกฤษกล่าว ก่อนจะเงียบไป

    มั่นใจว่าประกายแสงเล็กๆ สะท้อนเข้าตา

     

     

    "อังเดร"

    "หืม"

    "หลบ"

     

     

    เปรี้ยง

    เพล้ง!

     

     

    .

    .

     

     

    เส้นผมสีฟางมักจะลู่ตกลงมาเสมอ

     

     

    บางครั้ง บดบังแนวคิ้วซีดจาง

    บางครั้ง ปรกลงระหว่างดั้งจมูก

     

     

    ริมฝีปากล่างสีอ่อนยื่นออกมา

    พรูลมหายใจ เป่าผมหน้าปลิวไสว

     

     

    สองนิ้วขาวคีบงับเส้นไหมพวกนั้นเล่นเหมือนกรรไกร

     

     

    "ตัดดีไหมนะ..."

    "..."

    "เริ่มรกตาแล้ว"

     

     

    ฟาร์เรียร์ไม่ออกความเห็นอะไรเรื่องนั้น

    เพียงงึมงำเสียงต่ำในลำคอ

     

     

    "นอนเถอะ คอลลินส์"

     

     

    ว่าพลางเอนกายลงไปบนเตียงของตน

     

     

    "นอนไม่หลับ"

     

     

    เด็กดื้อยังนั่งอยู่ท่าเดิม

    คนที่นอนพลิกร่าง หันหน้าเข้าหา

     

     

    งึมงำทั้งหลับตา

     

     

    "พรุ่งนี้ต้องขึ้นบิน"

    “ถ้าบอกอะไรอย่าง นายจะโกรธไหม”

    “ทำไมต้องโกรธ”

     

    น้ำเสียงราบเรียบสื่อว่าอีกฝ่ายกังวลไม่เข้าเรื่อง

    คอลลินส์กระแอมเบาๆ

     

     

    “ฉัน…ไม่ค่อยมั่นใจเลย”

     

     

    น้ำเสียงไม่มั่นคงกระตุกให้ฟาร์เรียร์ลืมตาข้างหนึ่งขึ้นมอง

     

     

    “บิน?”

     

    คอลลินส์สั่นศีรษะ “ไม่เชิง”

     

     

    “งั้น?”

    "ไม่รู้สิ แค่ความรู้สึกน่ะ..." เสียงนุ่มแทบจะกระซิบ

    "...แค่อยู่ดีๆ ก็ใจหาย"

     

     

    คิ้วสีเข้มข้างหนึ่งเลิกสูงขึ้น

     

     

    "นายไม่เคยเป็น"

    "นั่นน่ะสิ ถ้ามัน...ถ้าครั้งนี้..."

    "...?"

    "...ไม่ได้กลับมาล่ะ"

     

     

    นัยน์ตาลูกหมานั่นฉุดฟาร์เรียร์ลุกขึ้น

    เพียงก้าวเดียว ก็ถึงตัวคนบนเตียงนั้น

     

     

    "ไร้สาระ"

     

     

    เขากระซิบ

     

     

    เลื่อนนิ้วทั้งห้าผ่านเรือนผมสีซีดจางใต้แสงจันทร์ไป

    ...เพียงครั้ง อย่างอ่อนโยน

     

     

    แววตาคอลลินส์ไหวระริก ดูสับสน

     

     

    สำหรับอีกฝ่าย อาจเป็นสัมผัสที่ไม่เคยคุ้น

    แต่สำหรับเขา มันคือห้วงขณะที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ

     

     

    คือเสี้ยววินาทีที่สูญเสียการควบคุม

     

     

    "นายจะได้กลับมา คอลลินส์"

     

     

    ขณะที่เราปกป้องพวกเขา

    ฉันจะปกป้องนายด้วย

     

     

    ฟาร์เรียร์ชักมือกลับ

    ถอยไปยังเตียงของตน

     

     

    "ไม่ต้องตัด"

     

     

    คอลลินส์เลิกคิ้ว "...?"

    ฟาร์เรียร์ซุกตัวใต้ผ้าห่ม

     

     

    "ไม่รกตาหรอก"

     

     

    หลับตาลง

    พึมพำถ้อยคำสุดท้าย

     

     

    "...ไงหมวกนักบินก็เก็บหมดอยู่ดี"

     

     

    .

    .

     

     

    "คุณวาด...ตามที่เขาบอกเหรอ..."

     

     

    วาดจากความทรงจำของฟาร์เรียร์น่ะเหรอ?

     

     

    คอลลินส์ไม่เข้าใจ

    ไม่เห็นเข้าใจอะไรเลย

     

     

    ทำไมถึงได้...

     

     

    "เขาบอกว่านี่แค่ส่วนหนึ่ง..."

     

     

    ส่วนหนึ่ง?

     

     

    .

    .

     

     

    "มีกระดาษกับดินสออยู่ตรงนี้..."

     

     

    เจ้าฝรั่งเศสร้อง

    น้ำเสียงตื่นเต้น

     

     

    เพิ่งเจอสิ่งที่น่าพึงใจเป็นอย่างแรก

    ในท่ามกลางสงครามบ้าบอนี่

     

    ชู่ว

     

    นักบินอังกฤษเตือนให้ลดเสียง

    ถอนนิ้วออกจากหว่างม่าน

     

     

    พวกเยอรมันยังเฝ้าอยู่ไม่ไกล

     

     

    "มีอะไรอยากให้วาดไหม"

     

     

    ฟาร์เรียร์เลิกคิ้ว

     

     

    "ไม่มีอะไรที่คิดถึงเลยเรอะ บ้าน คนให้กลับไปหา คนในฝัน..."

     

     

    คนในฝัน?

    อะไรที่คิดถึง?

     

     

    "อืม..."

     

     

    เยอะทีเดียว

     

     

    "ยังนึกออกแค่ส่วนหนึ่ง..."

     

     

    เขากระซิบ

    เจ้าฝรั่งเศสฉีกยิ้ม

     

     

    "ทยอยบอกมาแล้วกัน จะวาดไปเรื่อยๆ"

     

     

    .

    .

     

     

    "เขาบอกว่านี่แค่ส่วนหนึ่ง..."

     

    ของอะไร?

     

    "...ของสิ่งที่เขาคิดถึง"

     

     

    เส้นผมสีฟางที่ลู่ลงมาปรกหน้า

     

     

    นัยน์ตาเรียว

    สันจมูกโด่งตรง

     

    ขนาดมือที่แตกต่าง

     

    รอยบุ๋มใต้ตา

    ลักยิ้มตรงข้างแก้ม

     

     

    "..."

     

     

    มือที่กำรูปวาดสั่นระริก

    ม่านน้ำตาละลายภาพตรงหน้าให้บิดเบี้ยว

     

     

    พลันนั้น

     

     

    สัมผัสชัดเจนสมจริงก็เลื้อยรัด

    ราวกับมือนั้นได้ประทับจับหลังคออีกครั้ง

     

     

    ไหนจะยัง...เสียงกระซิบ

    แว่วดังในโสตประสาท

     

     

    'รู้แล้วใช่ไหม ว่านายอยู่ในนั้น'

     

     

    "..."

     

     

    ในฝัน

     

    ในรอยยิ้มที่นายไม่อยากพลาดทุกค่ำคืน

     

     

     

    และราวกับมืออบอุ่นได้สางผ่านเรือนผมไป

     

     

     

    'ฉันคิดถึงทุกอย่างที่เป็นนาย...คอลลินส์'

     

     

    .

     

    .

     

     

    END

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
salmonrism (@salmonrism)
จะร้องไห้แน้ว ฮือออ