เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
filmtofichoramiji
[SF] Don’t Want To Miss A Thing (Farrier x Collins)
  • Title: Don't Want To Miss A Thing
    Fandom: Dunkirk
    Couple: Farrier x Collins
    Theme Song: Don't Want To Miss A Thing - Aerosmith
    (แนะนำให้เปิดฟังระหว่างอ่าน ㅠㅡㅠb)


     



    นัยน์ตาแห้งผากร่ำร้องให้เจ้าของกะพริบ

     

    จำยอมกะพริบด้วยความสงสาร หากหลังจากนั้นก็กลับทรมานมันต่อไปอีกเป็นนาที แสงจันทร์เจือจางลงทุกขณะจนค่ำคืนมืดมิด แต่เขาไม่อยากหลับตา ไม่อยาก...แม้แต่จะขยับเปลือกตาปิดลงแม้สักเสี้ยววินาที ราวกับกลัวว่าภาพตรงหน้าจะหายไป
    หรืออีกนัยหนึ่ง

    กลัวคนตรงหน้า...จะหายไป

     

    "หลับเถอะ คอลลินส์"

     

    เสียงงึมงำในลำคอลอยปะทะโสตประสาท

     

    คนถูกเรียกชื่อยกข้อนิ้วขาวขึ้นถูปลายจมูกตัวเองเบาๆ แก้อาการขัดเขิน ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายยังไม่หลับ จะไปรู้ได้ยังไงกันล่ะ ลมหายใจที่แอบฟังมันสม่ำเสมอมาพักใหญ่แล้วแท้ๆ นี่นา แล้วก็ถ้าตื่นอยู่ ทำไมถึงปล่อยให้เขานอนจ้องอยู่อย่างนั้นเป็นชั่วโมงๆ ?

     

    คนขี้โกง

     

    "นอนไม่หลับ"

    "พรุ่งนี้ต้องขึ้นบิน"

     

    เสมอเลย

    หน้าที่มาก่อนเสมอ

     

    แต่ข้อนั้นละ ทำให้นายเท่ที่สุด

     

    "ถ้าบอกอะไรอย่าง นายจะโกรธไหม"

    "ทำไมต้องโกรธ"

     

    คอลลินส์กระแอมในลำคอเบาๆ ไล่ความคิดงี่เง่าออกจากบทสนทนา ฟาร์เรียร์ไม่ใช่คนดุ แม้จะเงียบขรึม แต่กลับใจดีผิดกับใบหน้าจริงจังไม่ค่อยยิ้มนัก

     

    "ฉัน...ไม่ค่อยมั่นใจเลย"

     

    น้ำเสียงไม่มั่นคงของคนที่อยู่อีกเตียง กระตุกให้ฟาร์เรียร์ลืมตาข้างหนึ่งขึ้นมอง

     

    "บิน?"

    คอลลินส์สั่นศีรษะ "ไม่เชิง"

    "ค็อกพิท?"

    คราวนี้เจ้าผมบลอนด์พยักหน้า

     

    คนแก่กว่าปิดเปลือกตาข้างนั้นลงตามเดิม พร้อมเสียงฮึมฮัมรับรู้แผ่วเบาในลำคอ หัวคิ้วเริ่มย่นเข้าหากัน ขมวด และคลาย ทุกการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อใบหน้าอีกฝ่ายอยู่ในสายตาและความรับรู้ของคอลลินส์ทั้งสิ้น

     

    รวมทั้งเสียงเล็กๆ ยามลำคอนั้นกระแอม

    เสียงกัดฟัน...

    ลมหายใจ...

     

    โดยเฉพาะลมหายใจ

     

    ไม่อยากเชื่อว่านี่ไม่ใช่ความฝัน

     

    อยากเอื้อมมือไปหาคนบนเตียงนั้น...

    แตะหน่อยได้ไหมนะ?

     

    "ไม่ได้กลับบ้านนานเท่าไรแล้ว"

     

    ทีแรก ไม่เข้าใจนัก

    แต่ก็ตอบ "จำไม่ได้..."
    ฟาร์เรียร์ไม่พูดอะไรอีกหลังจากนั้น ริมฝีปากขยับพึมพำแต่ชื่อของคอลลินส์ด้วยน้ำเสียงเห็นใจ สลับกับเรียกเขาเป็นเด็กน้อยน่าสงสาร ไม่นานก็เงียบไปอีกครั้ง ลมหายใจพลันกลับไปสม่ำเสมอ ไม่มีร่องรอยของการรู้ตื่น

     

    นายฝันบ้างไหม

    ฟาร์เรียร์

     

    คอลลินส์กระซิบถามอยู่ในใจ

     

    ถ้าฝัน

    เคยมีฉันสักครั้งไหม



    .

    .

     

    "หายใจ คอลลินส์ หายใจ..."

     

    น้ำเสียงปลอบโยนทำให้เขาสงบ

    แต่ใจกลางเส้นเสียงเต็มไปด้วยความกังวล

     

    นักบินหนุ่มสูดหายใจเข้าลึกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนระบบทุกอย่างจะเริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ หัวใจค่อยๆ สูบฉีดโลหิต ปอดค่อยๆ ปั๊มอากาศ ร่างกายหยุดกระเสือกกระสนลนลาน ประสาทตามองเห็นคนที่บรรจงคลายอ้อมแขนซึ่งโอบประโลมตัวเขาเอาไว้เมื่อครู่

     

    ไม่ปล่อยได้ไหม

    ขอมากไปรึเปล่า

     

    "โอเคแล้วนะ?" ฟาร์เรียร์กระซิบ

     

    ยกนิ้วโป้งเป็นเชิงถาม

    เผื่อว่าสติเขาจะยังไม่ทันได้ฟัง

     

    "อือ..." คอลลินส์พยักหน้า

    ยังหายใจทางปาก

     

    รู้สึกราวกับเพิ่งโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ

    เหงื่อผุดท่วมร่าง โชกชุดนอน

     

    ส่วนฟาร์เรียร์อยู่ในชุดเครื่องแบบเรียบร้อย

     

    "แต่งตัวเร็ว ท่านรอ"

     

    คอลลินส์ถอนหายใจ "ฉันไม่..."

     

    เขาเงียบไปเพราะมือที่สอดสางเข้ามาตามไรผมสีอ่อนชุ่มเหงื่อของตน ลูบผ่านมันไปเพียงครั้งอย่างอ่อนโยน ฟาร์เรียร์ใจดีเสมอ แต่ก็ไม่เคยถึงเนื้อถึงตัวอย่างนี้มาก่อน

     

    เกิดอะไรขึ้นกันนะ...?

     

    แล้วกับฉัน

    หรือกับนาย
    "ฉันจะพานายกลับบ้าน โอเค?"

     

    คอลลินส์พยักหน้าทั้งที่ไม่เข้าใจ

    แต่เขาก็ไม่ได้อยากเข้าใจอะไรอยู่แล้ว

     

     

    เพียงตื่นมาทุกวันยังเห็นคนตรงหน้าก็พอ

     

     

    เพียงให้ช่วงเวลาเหมือนฝันนี้คงอยู่ตลอดไป

    เพียงให้มือคู่นั้นไม่ปล่อยเขาสักนาที

     

    .

    .

     

    "บอกท่านไป..."

     

    คอลลินส์มองฟาร์เรียร์

    มองผู้บังคับบัญชา

     

    ขยับริมฝีปาก

    แก้มขาวบุ๋มลงไปเป็นรอย

     

    "ผมขอลาพักสักสองสามวันครับ"

     

    สายตาผู้บังคับบัญชามองข้างกายคอลลินส์

    เบนกลับมามองคอลลินส์

     

    "สอง หรือ สาม"

    "สาม...ครับ"

    "สถานการณ์ตอนนี้ ผมให้สักวันยังไม่ได้เลย คุณมีเหตุผลดีๆ ไหม"

     

    คอลลินส์เม้มปาก

    แก้มบุ๋มลงไปอีกครั้ง

     

    เหลือบมองฟาร์เรียร์

    ซึ่งพยักหน้าให้น้อยๆ

     

    ไม่เป็นไร...บอกเขาไป

     

    "ผมคิดว่าตัวเองกำลังมีอาการพีทีเอสดี..."

     

    ผู้บังคับบัญชายืดตัวขึ้นจากเบาะทันที

     

    "...ผมนอนไม่หลับ ตื่นด้วยอาการกระเสือกกระสนแบบคนจมน้ำ...  ผมไม่มั่นใจว่าจะเข้าไปนั่งในค็อกพิทได้ครับ..."

    "ผมต้องส่งคุณไปให้หมอประเมิ--"

    "ผมไม่...คิดว่ามันแย่ขนาดนั้นครับ ท่าน หมายถึง มัน...อาจจะเป็นแค่ช่วงนี้ ที่ผมเพิ่งเกือบตายจากเครื่องตกน้ำ..."

     

    ผู้บังคับบัญชาเงียบ

    เขาเงียบ

    ฟาร์เรียร์เงียบ

     

    "...ผมแค่อยากหลบไปห่างๆ เครื่องบินสักพัก"

     

    นายทหารยศสูงกว่าถอนหายใจ

    "เห็นภาพหลอน?"

    "ก็..." คิดนิดหนึ่ง

    มองฟาร์เรียร์อีก  "...ครับ"

     

    "ผมให้สามวัน กลับมาแล้วต้องรับการวินิจฉัยด่วนที่สุด"

     

    พวกเขาทำความเคารพผู้บังคับบัญชา

    เดินออกมาจากห้องนั้น

     

    ฟาร์เรียร์หยุดเดินเมื่อพบว่าคนข้างตัวไม่ได้สาวเท้าตามมาให้ทัน

    เลิกคิ้วเป็นเชิงถาม "...?"

     

    คอลลินส์ได้แต่ยิ้ม

    เผยรอยบุ๋มตรงข้างแก้ม

     

    ลักยิ้มนั้นทำแววตาฟาร์เรียร์อ่อนโยนลงอีก

     

    คอลลินส์สั่นศีรษะ หัวเราะน้อยๆ

    สาวเท้ายาวๆ กลับไปเดินข้างอีกคน

     

    พาฉันกลับบ้านเหรอ

     

    นายน่ะเหรอ

    ฟาร์เรียร์?

     

    .

    .

     

    พ่อกับแม่แปลกใจที่ลูกชายกลับมา

     

    คอลลินส์สวมกอดพวกท่าน หายใจได้เต็มปอดเป็นครั้งแรก โดยไม่ต้องรู้สึกว่าน้ำกำลังท่วมขึ้นมา ไม่ต้องทนทรมานกับอากาศที่ทิ่มแทง หรือความเปียกชื้นในค็อกพิทซึ่งกำลังจมน้ำที่ตามหลอกหลอน

     

    บ้านเยียวยาเราได้เสมอ

     

    นักบินหนุ่มกระชับเป้บนบ่าขณะเดินนำฟาร์เรียร์ขึ้นไปยังห้องนอนเล็กๆ ของตน ความทรงจำตั้งแต่เด็กจนโตฟุ้งกระจายอยู่ทั่วห้องที่เต็มไปด้วยโมเดลเครื่องบินทำจากไม้ กระป๋องโลหะ และอื่นๆ

     

    ฟาร์เรียร์นั่งลงบนเตียงของเขาด้วยท่าทีราวกับเจ้าของห้อง ซึ่งทำให้คอลลินส์ส่ายหัว ยิ้มบาง

     

    "ทำไมไม่กลับบ้านตัวเอง"

     

    เจ้าของเรือนผมสีเข้มโคลงศีรษะ

     

    "เดี๋ยวคงได้กลับ..."

     

    นายควรกลับบ้านมากกว่าใคร

    ฟาร์เรียร์

     

    .

    .

     

    "หลับเถอะ คอลลินส์"

     

    โดนจับได้อีกแล้ว

     

    หลังกลับจากดันเคิร์ก เขาไม่เคยหลับลง

    ก็...กลัวคนตรงหน้าจะหายไป

     

    ฟาร์เรียร์ยังคงหลับตา

    แต่ใบหน้าเปื้อนยิ้มอยู่จางๆ

     

    และคืนนี้ภาพตรงหน้าช่างชิดใกล้ยิ่งกว่าคืนไหน เพราะได้เบียดกันอยู่บนเตียงเล็กๆ ในห้องนอนของบ้านเขา ไม่ใช่คนละเตียงแยกกัน มีที่ว่างกั้นไว้แบบในกองทัพ

     

    ได้เงี่ยหูฟังทั้งลมหายใจ

    และหัวใจ

     

    "นอนไม่หลับ"

    "พรุ่งนี้ต้องขึ้นบิน"

    "เปล่าสักหน่อย นี่เราอยู่บ้านฉัน..."

    "อืม จริงสิ"

    "ในหัวนายก็คิดแต่จะบินละนะ"

     

    คิดถึงฉันบ้างได้ไหม

     

    "ไม่งั้นจะให้ทำอะไร"

    "ไม่รู้สิ"

     

    คอลลินส์อยากเป็นให้ได้แบบฟาร์เรียร์

    ทุ่มเททั้งชีวิตให้หน้าที่ ไม่มีสักเสี้ยววิที่ลังเล

     

    หรือไขว้เขวคิดเรื่องอื่น

     

    "ถ้าครั้งหน้าฉันไม่โชคดีแบบนี้จะเป็นยังไง..."

     

    ถ้าเครื่องไม่ได้ลงน้ำสวยๆ...

    ถ้าไม่มีเรือสักลำผ่านมาช่วย...

     

    "ขึ้นไปเสี่ยงตายทุกวันยังโดนด่าว่า 'ไปอยู่ไหนมาวะ'..."

    "..."

    "นี่ถ้าฉันไม่กล้าขึ้นบินอีกเลยล่ะ..."

     

    นักบินรุ่นพี่เปิดเปลือกตาขึ้นข้างหนึ่ง

    จ้องเขาอยู่นาน ก่อนกระซิบ

     

    "หน้าที่เรา คือปกป้องพวกเขา..."

    "..."

    "ส่วนฉัน...ฉันจะปกป้องนายด้วย"

     

    เขาจบประโยคพร้อมกับเปลือกตาที่ปิดงับ

    และลักยิ้มข้างแก้มขาวของคนฟังมันก็ห้ามตัวเองไม่ให้บุ๋มลึกลงไปไม่ได้จริงๆ

     

    "ราตรีสวัสดิ์"

     

    แย่จังนะ

     

    แค่หลับตาเท่านั้น

    ก็คิดถึงนายซะแล้ว

     

    .

     

    ฟาร์เรียร์มักมีรอยยิ้มจางๆ ติดอยู่ที่ริมฝีปากยามหลับใหล คล้ายกับคนกำลังฝันดี
    เมื่อก่อนเขาได้แอบมองอยู่บ่อยครั้ง

    และคืนนี้ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
    ในนั้นเคยมีฉันบ้างไหมนะ?

     

    ไม่อยากฝันร้ายว่าติดอยู่ระหว่างความเป็นความตายในค็อกพิทที่จมน้ำซ้ำไปซ้ำมาก็เรื่องหนึ่ง

     

    แต่ที่ยังลืมตา

    ไม่อยากหลับใหลในนิทรา

     

    เพราะไม่อยากพลาด...

    ...แม้แต่รอยยิ้มเดียว

    .

    .

     

    "หายใจ คอลลินส์ หายใจ..."

     

    มันเกิดขึ้นอีกแล้ว

     

    แต่ฟาร์เรียร์ก็ช่วยให้เขาผ่านมันไปได้ ภาพคนตรงหน้ามองมาด้วยแววตาห่วงใยค่อยๆ ระบายระดับน้ำให้ลดลงไปจากค็อกพิทที่เขาติดอยู่ในหัว อัตราการหายใจเริ่มช้าลงเป็นปกติ หัวใจก็เช่นกัน

     

    "โอเคแล้วนะ?" ฟาร์เรียร์กระซิบ

    หรือเปล่านะ? "อือ..."

     

    แต่พอมืออีกคนแตะลงบนแก้มเท่านั้น

    เขื่อนความรู้สึกของคอลลินส์ก็ทะลักทลาย

     

    "ชู่..."

     

    ฟาร์เรียร์สอดสางมือเข้าไปในเรือนผมสีอ่อนที่ยิ่งซีดจางใต้แสงจันทร์ แต่คราวนี้มันไม่ได้ผล เจ้าผมบลอนด์เริ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นราวกับเด็กทารก

     

    "นายอยู่ไหน..."

     

    คอลลินส์ร่ำร้องคำเดิมซ้ำๆ

    ฉันทนเห็นนายต่อไปแบบนี้ไม่ไหวแล้ว

     

    .

    .

     

    คอลลินส์กินอาหารเช้าด้วยแววตาเหม่อลอย

     

    ตักซุปเข้าปาก แต่ไม่รู้สึกถึงความร้อนของมัน บิขนมปังปิ้ง เคี้ยวและกลืนโดยไม่รู้รสชาติ ฟาร์เรียร์นั่งเงียบอยู่ข้างกาย แต่เจ้าผมบลอนด์ไม่มองหน้านักบินคู่หูเลย

     

    ราวกับเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น

     

    กริ๊งงงงงง

     

    คงเพราะว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้น

     

    "ของลูกจ้ะ คอลลินส์"

     

    แม่เรียกคอลลินส์ไปรับโทรศัพท์

     

    พ่อต้องลดหนังสือพิมพ์ที่อ่านลงมามอง แล้วสะกิดย้ำให้ลูกชายรู้ตัว เจ้าขายาวยืดตัวขึ้นจากโต๊ะอาหาร เอนร่างสูงๆ พิงกำแพงขณะแนบโทรศัพท์ไว้ข้างหู

     

    สายตามองเก้าอี้ว่างข้างที่นั่งตน

    ฟาร์เรียร์ไม่อยู่แล้ว

     

    "ครับ?"

     

    สายจากกองทัพ

     

    "..."

     

    ฟาร์เรียร์ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง

     

    "ขออุ้งมือหน่อย..."

     

    เขายื่นมือข้างที่ไม่ได้ถือโทรศัพท์ออกไป

    หูยังสดับรับฟังข่าวที่ไหลมาจากสายกองทัพ

     

    ฟาร์เรียร์จับมือเขาไว้แน่น

    ราวกับจะขอคำมั่นสัญญา

     

    "...แฟริเออร์หนีขึ้นเรือประมงมากับทหารฝรั่งเศส ฟังอยู่รึเปล่..."

    "...ครับ"

     

    คอลลินส์จ้องคนตรงหน้าตาไม่กะพริบ

    กลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไป

     

    "...เรือมาถึงฝั่งที่ดอร์เส็ท แต่เขาไม่รอดตั้งแต่..."

     

    กลัวหัวใจตัวเองจะหายไปด้วย

     

    "อาร์เอเอฟจะรับศพเขากลับมาจัดพิธีมะรืนนี้..."

     

    เพียงริมฝีปากของฟาร์เรียร์ขยับ

    คนตัวสูงกว่าก็รีบก้มลงไปหา

     

    จะรู้ด้วยวิธีใด ว่ามือที่ประทับจับหลังคอเขาอยู่ตอนนี้มันไม่จริง

     

    จะแยกแยะยังไง ในเมื่อเสียงทุ้มที่กระซิบถ้อยคำอยู่ข้างหูก็เหมือนจริงจนแทบบ้า

     

    "ตานายพาฉันกลับบ้านแล้ว คอลลินส์"

     

    .

     

    .

     

    END

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in