เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
filmtofichoramiji
[SF] THE COSTS (Dunkirk All Characters)
  • Title: THE COSTS
    Fandom: Dunkirk
    Relationships: Tommy/Gibson/Alex, Shivering Soldier/Peter/Collins/Farrier 

     

    1. THE TRAP

    _____________

    three days

     

    "..."

     

    ริมฝีปากคู่นั้นขยับ

    เป็นถ้อยคำที่ผมฟังไม่เข้าใจ

     

    อะไร...

    นายพูดอะไร...?

     

    มือขาวซีดยื่นออกมา

    ราวกับจะคว้าจับผมเอาไว้

     

    ...แต่ไม่ถึง

     

    สายธารหลากทะลักผลักเขาห่างออกไป

    ผมเอื้อมมือ... เพิ่งเข้าใจความหมาย

     

    ให้ช่วยใช่ไหม...

     

    เขาตัวเล็กลงทุกที... ทุกที

    มีแต่ฟองอากาศพรั่งพรูแทนเสียงร้อง

     

    ดวงตาคมโตนิ่งค้างจนน่าหวั่นใจ

     

    กิบสัน...

     

    "...มี่..."

     

    กิบสัน!

     

    "...ทอมมี่"

     

    เฮือก!

     

    นั่นไม่ใช่ชื่อของนายด้วยซ้ำ

     

    "อีกเดี๋ยวต้องลงแล้วนะ"

     

     

    ผมลืมตา สะดุ้งเบาๆ ในความคิดเพราะใบหน้าที่จ่อชิดติดปลายจมูก กลอกตาเลิ่กลั่กไปมาสักพักเจ้าตัวก็ยังไม่ยอมถอยหลัง ไม่ยอมรู้ตัวว่าได้สร้างความอึดอัดให้กับคนอื่นอย่างไร กลับยิ่งรุกเข้ามาใกล้ จรดหน้าผากตนลงมาบนหน้าผากผม

     

    "ตัวเย็นชะมัด"

     

    อเล็กซ์ถอนใบหน้าออกไปในที่สุด

    ขอบคุณพระเจ้า

     

    เขานั่งลงที่ฝั่งตรงข้ามเช่นเดิม

    ทอดสายตาออกไปนอกหน้าต่าง

     

    แสงจันทร์เจือจางสาดไล้ทอประกายอยู่ในดวงตาของเขา ข้างนอกมืดสลัว เสียงหรีดหริ่งเรไรร่ำร้องระงมไปทั่ว ทว่าไม่อาจบอกใบ้ให้รู้เหนือรู้ใต้ เราจากโวคคิ่งมาหนึ่งวัน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้อยู่ที่ไหน

     

    แต่ผมรู้ว่าผมไม่ได้อยู่ที่นี่

     

    "นาย..."

     

    เขาหันขวับทันทีที่ผมกระซิบ

     

    "มีอะไร"

    "...เห็นกิบสันครั้งสุดท้ายเมื่อไร"

    "..."

     

    อเล็กซ์เงียบ

    แต่อาการหลบตาตอบชัดอยู่ในที

     

    "จะถามให้ได้อะไรขึ้นมา"

    "ฉันต้องรู้" ผมกัดฟันกระซิบ

    อเล็กซ์สั่นศีรษะ "ไม่มีประโยชน์ที่จะรู้ตอนนี้ มันไม่..."

     

    นั่นควรจะแปลว่าอะไรกัน?

     

    "การเอาชีวิตรอดมันไม่มีอะไรยุติธรรม ฉันบอกนายแล้ว"

     

    ผมไม่มีอะไรจะพูดอีก

    ไม่มี...

     

    อีกฝ่ายเอนหลังไปกับเบาะอีกครั้ง กอดอก หลับตาลง ผมไม่แน่ใจว่าเขาจะงีบ ในเมื่อเขาเพิ่งบอกว่าอีกไม่นานเราต้องลงจากรถไฟ ผมว่าเขาแค่เลี่ยงบทสนทนา หรือการสบตาผม หรือทั้งสองอย่าง

     

    คนแบบอเล็กซ์น่ะเหรอ หลบตา?

     

    ความรู้สึกในใจต้องท่วมท้นขนาดไหนกัน

    จะเท่าความรู้สึกผิดในใจของผมรึเปล่า

     

    ผมเอื้อมมือข้ามโต๊ะไป

     

    หมับ!

     

    แต่ทหารไฮแลนด์รู้ตัวไว และคว้ามือผมไว้ก่อนจะทันได้สะกิดเขาด้วยซ้ำ

     

    "เขาออกจากเรือของเราไม่ทัน พอใจนายรึยัง"

     

    เสียงหวูดรถไฟดังก่อนผมจะตอบคำ

     

    อเล็กซ์ปล่อยมือผม ไม่เก็บอาการหงุดหงิดที่ฉายชัดผ่านสีหน้าเลยแม้แต่น้อย เดาว่าคงเพราะเขาเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับกิบสัน มันคงรบกวนใจเขาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

     

    "..."

     

    ระบบประสาทของผมยังประมวลไม่ได้สักทีว่าควรต้องพูดอะไร ได้แต่ขยับร่างกายเคลื่อนไหวไปตามคลื่นทหารรอบตัวที่ทยอยลงจากรถไฟเท่านั้น อเล็กซ์อยู่ด้านหลังของผม ส่วนสูงและไหล่ที่กว้างกว่าช่วยดันคนอื่นออกไปจากช่องเดินของผม ผมจึงไม่ถูกเบียดเป็นปลากระป๋อง แต่ก็ไม่สบายเท่าไร

     

    ที่ไม่สบายยิ่งกว่ากลับเป็นข้างใน

     

    เหมือนสัตว์ป่าตัวน้อยที่ติดกับ

    ถูกล่า ถูกมัด พันธนาการในซี่ฟันแหลมคม

     

    เท้าของเราแตะพื้นชานชาลาไล่เลี่ยกัน ผมได้ยินเสียงรองเท้าคอมแบทของอเล็กซ์ตอกส้นลงมาติดๆ ไกลออกไปมีนายทหารพร้อมกับกระดานเอกสารในมือคอยตะโกนบอกให้เราจัดแถวตามหน่วย ผมกับอเล็กซ์ต้องแยกกันตรงนี้

     

    แต่ต่างคนยังต่างอ้อยอิ่ง

     

    "ฉันต้องกลับไป"

     

    ผมพึมพำในที่สุด สวนฝูงพลทหารออกไป

    ได้ยินอเล็กซ์สบถ สั้น แต่ดังทีเดียว

     

    หากวินาทีต่อมา เขาก็ปรากฏตัวอยู่ข้างผม

     

    "คิดจะทำอะไร"

    "ฉันต้องกลับไป"

     

    ผมพูดซ้ำ

     

    ...

     

    ผมไม่ได้อยู่ที่นี่

     

     

    .

    .


      

    2. THE CELL

    ______________

    three hours

     

     

    "ชาสักหน่อยไหม?"

     

    มันคงฟังดูไร้สาระมากในความคิดเขา

     

    แต่นายทหารที่ผมไม่เคยรู้และก็ยังไม่รู้ชื่อกลับใจดีพยักหน้าให้น้อยๆ มันแทบจะเป็นการเชิดคางแผ่วเบาซึ่งต้องหรี่ตาสังเกตเอาด้วยซ้ำ ทว่าก็เป็นการตอบรับที่มากพอจะทำให้ผมเริ่มต้นรินเครื่องดื่มร้อนๆ สีน้ำตาลใสลงไปในถ้วย

     

    !

     

    ชาเอ่อล้นขอบพาชนะ เพราะผมเอาแต่จ้องมองดวงตาของเขาที่พราวระยับใต้แสงจันทร์ มันลวกผิวผมไปแล้วนิดหน่อย ผมซี้ดปาก รีบกระตุกปลายนิ้วบวมแสบขึ้นมาอมไว้อัตโนมัติ เจ้าของดวงตาต้นเหตุหันกลับมามองทันที แย่จริง...

     

    "เป็นอะไรรึเปล่า?"

     

    คุณทหารทำท่าจะลุกขึ้นมาดู

    แต่ใครอีกคนเข้าถึงตัวผมก่อน

     

    ขายาวๆ สาวลงบันไดมายังใต้ท้องเรือ

     

    "ลวกเหรอ?"

     

    ผมผงกศีรษะเร็วๆ ครั้งหนึ่ง "นิดเดียว"

     

    คอลลินส์ดึงนิ้วออกจากปากผมไปดู ไม่ได้รังเกียจน้ำลายที่ติดอยู่บนนั้นตอนที่เขาใช้ริมฝีปากคู่เย็นของตนประกบคลายความแสบร้อนให้แทน ผมไม่รู้ว่า ณ จุดนี้ ตัวเองจะหันไปมองทหารนิรนามทำไม แต่อึดใจต่อมา ผมก็ชักมือกลับ ใช้มันรุนหลังทหารอากาศร่างสูงให้กลับขึ้นไปหาพวงมาลัยของเรือ

     

     

    "เดี๋ยวก็ไปไม่ถึงหรอก"

     

    ผมเอ่ย ส่งยิ้มยืนยันว่าไม่เป็นอะไร คอลลินส์จึงยอมเลิกพะว้าพะวงกับรอยลวกบนนิ้วผม และกลับไปขับเรือแทนผมชั่วคราวตามเดิม ระหว่างที่ผมพัก ชงชา และ... นั่งครุ่นคิดอย่างที่ทำมาตั้งแต่ออกจากฝั่ง ว่าทหารไร้ชื่อตรงหน้าขึ้นมาทำอะไรบนมูนสโตนกันแน่

     

    ครั้งก่อนเขาอยากกลับฝั่งแทบตาย

    อะไรทำให้ตัดสินใจออกเดินทางอีกครั้ง?

     

    ผมถูมือเข้าด้วยกัน กำลังจะรินชาให้ใหม่

    แต่ฝ่ามือกลับสัมผัสกับหลังมือของอีกคน

     

    "ฉันทำเองดีกว่า..."

     

    เขากระซิบ ผมกระตุกมุมปากแทนการตอบรับ ถอนมือออกจากมือของเขาที่เอื้อมถึงกาน้ำชาได้ก่อนเมื่อครู่นี้ เย็นเหลือเกิน... มือของเขา... เย็นเยียบตัดกับความร้อนของกาโดยสิ้นเชิง

     

    "ผมควรเรียกคุณว่าอะไรดี"

     

    ผมแค่อยากทำลายความเงียบ

    แต่ชื่อของเขาก็เป็นสิ่งที่ผมอยากรู้เช่นกัน

     

    "แค่ 'คุณ' ไม่พอเหรอ?"

     

    อย่างน้อยครั้งนี้เขาก็ไม่ได้เงียบและเอาแต่นั่งตัวสั่นขวัญผวาเหมือนครั้งก่อนที่พ่อถาม กลับกัน...เป็นผมเองที่นิ่งงันสงัดไป ความสนใจทั้งหมดถูกดึงดูดไปยังสองจุดบนใบหน้านั้น นัยน์ตากลมโตสีฟ้าอ่อนยิ่งส่องสว่างมากขึ้นในระยะใกล้ มันใหญ่โตจนสามารถเชยชมได้แม้ว่าเขาจะหลุบต่ำมองถ้วยชาอยู่ก็ตาม

     

    "นายรู้ใช่ไหมว่าฉันรู้ตัว..."

     

    ผมรีบละสายตาในฉับพลัน

     

    "แค่..." ผมมองหาข้ออ้าง

    "พลาสเตอร์คุณ...ดูสกปรกน่ะ"

     

     

    ผมโกหก และรีบหันหลังไปง่วนกับการควานหาพลาสเตอร์ยาอันใหม่ในกล่องปฐมพยาบาลบนเรือ เขายังอยู่ในรัศมีที่หางตาของผมกวาดถึง รับรู้ได้ว่าเขากลับไปนั่งที่เดิมแล้ว พร้อมถ้วยชาในมือ

     

    เขาเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยโดยอัตโนมัติ เมื่อผมกลับไปพร้อมกับพลาสเตอร์ยาอันใหม่

     

    เป็นสัญญาณยอมให้ผมวุ่นวายกับดั้งของเขา

     

    "..."

     

    ระหว่างที่ผมค่อยๆ แงะพลาสเตอร์เก่าออก

    ลูกแก้วสีฟ้าใสก็อยู่ในองศาที่ทอดมองผมเต็มๆ

     

    ผมพยายามไม่ลืมหายใจ แต่ก็เกือบสะดุ้งเมื่อจู่ๆ มือเย็นเยียบก็รวบข้อมือผมเอาไว้

     

    เรือโคลงรุนแรงขณะปีนป่ายคลื่นลูกใหญ่

     

    ทหารไร้ชื่อคงแค่กลัวว่ามือผมจะทำอุบัติเหตุกับหน้าเขา ระหว่างที่คลื่นทะเลกระแทกเรือโครมครามเท่านั้น

     

    แต่ผ่านหลายอึดใจ เขายังไม่ยอมปล่อยมือ

     

    "ที่นี่..."

    "..."

    "...จองจำฉัน"

     

    เขาพึมพำ น้ำเสียงชวนหดหู่

     

    "ผมขอโทษ"

     

    แต่เขากลับสั่นศีรษะ

     

    "ไม่ใช่นาย..."

     

    นัยน์ตาคู่สวยสาดฉายไปยังพื้นที่ว่างเปล่าในห้องใต้ท้องเรือ ซึ่งอาจไม่มีอะไรในตอนนี้

     

    แต่มันเคยมีใครบางคนสิ้นลมอยู่ตรงนั้น

     

    "...เขา"

     

    ราคาที่เราต้องจ่าย

    เพื่อโอกาสแห่งชัยชนะในสงคราม

     

     

    .

    .

     

      

    3. THE PRISON

    ______________

    three minutes

     

     

    หายใจหอบคลั่งดั่งพายุ

     

     

    ทว่าไม่อาจปล่อยให้สองขาหยุดนิ่งหรือแม้แต่ชะลอช้าลงสักนิด เขาเคลื่อนกายอยู่ในเงามืดเท่านั้น ใต้แสงจันทร์คือเขตต้องห้ามซึ่งมิอาจเยื้องกรายเข้าใกล้ รัตติกาลคือมิตรอันแท้เทียวที่สุดที่เขาจะหาได้ในยามนี้ และมันช่วยซ่อนตัวเขาเอาไว้เป็นอย่างดี

     

     

    จนกระทั่งพวกนั้นเสือกฉลาดขึ้นกะทันหัน

    แล้วเปลี่ยนไปใช้สุนัขตามกลิ่นของเขามา

     

     

    แฮ่ก แฮ่ก

     

     

    รอยแผลจากการถูกเฆี่ยนตีทุบทรมานไม่เคยเจ็บปวดร้าวรานขึ้นมาพร้อมกันได้เทียมเท่าตอนนี้ ทั้งร่างแทบฉีกสลาย ปอดแทบลุกไหม้จากการเสียดสีกับอากาศ ถ้าเขายอมแพ้ตอนนี้ก็แค่ถูกจับกลับไปซ้อมอีกหน รีดข้อมูลที่พวกมันไม่มีวันได้ และลงท้ายด้วยการกลายเป็นแรงงานทาส

     

    แต่เขายังมีคนที่ต้องกลับไปหา

     

    มีสัญญาที่ไม่เคยมีใครเอื้อนเอ่ย

    หากเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่รู้กันยามขึ้นบิน

     

     

    สุดท้ายยังไง...ต้องหากันให้เจอ

     

     

    ต่อให้สิ่งที่กลับไปเผชิญ จะเป็นข่าวว่าร่างนั้นแหลกสลายอยู่ในตัวเครื่องที่ถูกฉีกคร่าด้วยแรงตกกระทบกับผิวน้ำก็ตามที

     

    ฟุบ!

     

    เข่าที่เมื่อยล้าทนรับน้ำหนักตัวในก้าวต่อไปไม่ไหว ฉุดทั้งร่างร่วงจมผืนทราย

     

    โฮ่ง!

     

    พวกหมาล่านักโทษตะกุยอุ้งเท้ากร้านหนาใกล้เข้ามาทุกขณะ

     

    ได้แต่ทิ้งตัวนอนราบ กลั้นหายใจ

    ฝังทุกส่วนอยู่ในละอองร่วนหยาบเหล่านั้น

     

     

    เขาจะไม่กลับไปติดคุกของพวกมันเด็ดขาด

     

    .

    .

     

    มือเล็กๆ นั้นเกี่ยวนิ้วของผมเอาไว้

     

    ผมหลุดยิ้มอย่างเสียไม่ได้ ปล่อยให้สิ่งมีชีวิตตัวน้อยรั้งนิ้วมือของผมไว้เล่นต่อ ผมไม่เคยสัมผัสเด็กทารกใกล้ชิดขนาดนี้มาก่อนเลย มีแต่ความคาดหวัง เนื่องจากพี่สาวของผมก็ใกล้จะคลอดในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเหมือนกัน

     

     

    ช่างมหัศจรรย์นัก... เจ้าตัวเล็กพวกนี้ที่โตมากลายเป็นมนุษย์อย่างเราๆ

    และน่าเสียดายที่ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาจะต้องร่วงโรยหล่นไปตามกาลเวลา

     

    อ๊ะๆ

     

    เสียงจุ๊ปากดังมาจากใครอีกคนที่ตรงดิ่งมาอุ้มเด็กน้อยในตะกร้าขึ้นแนบอก ก่อนที่เขาจะอมนิ้วของผมเข้าปาก ซึ่งมันไม่สะอาดสำหรับทารกอย่างแน่นอน

     

    ผมได้แต่หัวเราะแห้งๆ ให้กับหนุ่มฝรั่งเศสที่ดุผมยกใหญ่ ก็ผมฟังไม่ออกด้วยซ้ำว่าเขากำลังบ่นอะไร เขาส่งลูกชายให้คนเป็นภรรยาอุ้มต่อ หล่อนเองก็หัวเราะกับความขี้บ่นของเขาเหมือนกัน

     

    "นายพูดอะไรกันแน่นะ"

     

    ผมได้แต่พึมพำ

    เขาไม่ตอบคำ กลับเดินไปที่ประตู

     

    แปลกดี...ผมไม่ทันสังเกตว่ามันอยู่ตรงนั้น

     

    เมื่อมันเปิด

    น้ำปริมาณมหาศาลก็ท่วมทะลัก

     

    ไม่!

     

    ผมร้อง แต่ของเหลวรอบตัวกักเสียงเอาไว้ มีเพียงฟองอากาศเท่านั้นพรั่งพรูออกมา

     

     

    กิบสัน!

     

     

    ผมตะโกน

     

     

    อีกฝ่ายยื่นมือออกมาราวจะคว้าจับผมไว้

    แต่สายธารเชี่ยวกรากพรากเจ้าตัวลอยหายไป

     

    กิบสัน...

     

    นั่นไม่ใช่ชื่อของนายด้วยซ้ำ

     

     

    "ทอมมี่"

     

    ผมสะดุ้ง

    ตื่น

     

     

    เราอยู่บนรถไฟ

     

     

    อเล็กซ์คู้ตัว คางซุกเข่าอยู่บนที่นั่งฝั่งตรงข้าม มองตรงมาอย่างสงสัยใคร่รู้ แววตาของเขามีคำถามมากมาย เช่นว่าผมฝันอะไร เรากำลังจะไปไหน หรือแม้แต่ ตัวเขาเองจะตามผมมาทำไม

     

    แต่กลับไม่เอ่ยปากถามแม้สักคำ

     

     

    "เราเพิ่งผ่านโวคคิ่ง"

     

     

    ใช่ เรานั่งรถไฟย้อนกลับไปดอร์เส็ท

     

     

    "ทำแบบนี้เพื่ออะไร"

    "อะไร" ผมถามกลับ

    "หมอนั่นก็แค่โชคร้าย"

    ผมเม้มปาก "นายบอกตัวเองอย่างนั้นสินะ ตอนที่ทิ้งเขาไว้--"

    "แล้วนายอยู่ไหนตอนที่ฉันบอกให้มันเลิกอุดเรือ"

     

     

    อเล็กซ์ขึ้นเสียง ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ

    เนื้อความต่างหากยังผลให้ผมสะอึก

     

     

    ใช่ ผมออกมาแทบจะก่อนใครเพื่อน

    แต่ผมผิดอะไร ผมก็แค่อยากกลับบ้าน

     

     

    ถึงจะพูดแบบนั้น...

    ผมก็อดไม่ได้ที่จะเกลียดตัวเอง

     

     

    ผมจำจากบ้านมาสงครามอย่างไม่ประสา

    แต่ต้องกลับไปอย่างเติบโตและแปดเปื้อน

     

    ทำไมคนเราถึงเป็นเด็กตลอดไปไม่ได้

     

     

    "ช่างเถอะ นายไม่ได้อยู่ตรงนี้ด้วยซ้ำ..."

     

     

    แม้แต่อเล็กซ์ยังมองออก

     

     

    ผมทำตัวเองหล่นหายไปแล้วตอนที่ทิ้งกิบสันเอาไว้

     

     

    ผมอาจนั่งอยู่กับอเล็กซ์ตรงนี้

    แต่ใจผมติดกับอยู่ที่นั่น

     

     

    วนเวียนอยู่กับความคิดที่ทิ่มแทงหัวใจ

     

     

    ว่ากิบสันคือราคาที่ผมต้องจ่าย

    แลกกับการได้กลับบ้าน

     

     

    บ้าน...

     

     

    ที่เขาเองก็ต้องมีเหมือนกัน

     

     

    .

    .

     

     

    จากด้านในแจ็กเก็ตทหาร

    เขาดึงหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งออกมา

     

     

    ผมสูดหายใจเข้าลึก

    เตรียมพร้อมรองรับอารมณ์

     

     

    แต่เท่าที่เขาทำคือกระซิบ

     

     

    "ทำไมต้องโกหก...?"

     

     

    ซึ่งมันบาดหัวใจกว่าหลายเท่านัก

     

    เขาวางมันลงข้างตัวอย่างเงียบเชียบ ด้านที่หงายขึ้นมาเป็นเนื้อข่าว กับกรอบรูปเล็กๆ ซึ่งบรรจุเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอาไว้ภายใน

     

    ใบหน้าที่ผมคุ้นเคยนักหนา...

     

    และอาจเป็นใบหน้าที่เขาจะไม่มีวันลืม

     

     

    "มันไม่ใช่ความผิดของคุณ..."

    "นายเชื่ออย่างนั้นจริงๆ หรือแค่พูดให้ฉันสบายใจเหมือนวันนั้น"

     

     

    ผมเม้มปาก

     

     

    "คุณขึ้นเรือมาเพราะอยากให้ผมด่าว่าคุณหรือยังไง"

     

     

    เขาวางถ้วยชาทับรูปหน้าของจอร์จบนหนังสือพิมพ์ "แบบนั้นอาจจะดีกว่าก็ได้..."

     

     

    "คุณไม่เป็นตัวเอง คุณไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเขา ถ้าผมจะโกรธใครสักคน คงเป็นพ่อผมเองที่ไม่ยอมเลี้ยวเรือกลับ ถ้าผมจะเกลียดใครสักคนคงเป็นพวกที่จุดไฟสงครามบ้านี่ขึ้นมา แต่ไม่ใช่คนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่... ไม่ใช่แน่ๆ"

     

    "นายเพิ่งทำให้ฉันขยะแขยงตัวเองมากกว่าเดิม รู้ไหม"

     

     

    ผมถอนหายใจซ้ำแล้วซ้ำอีก

     

     

    "งั้นก็เข้าใจแล้วสิว่าทำไมผมต้องโกหก"

    "..."

    "ผมปล่อยให้คุณกลับไปพร้อมแผลบอบช้ำทางจิตใจมากกว่าหนึ่งไม่ได้หรอก"

    "ทำไม?"

     

     

    อีกครั้งที่ดวงตาคู่นั้นสะกดผม

     

     

    ผมเลี่ยงไปมองปกเสื้อเขาแทน

    ยักไหล่ "ก็แค่ทำไม่ได้..."

    "นายดีเกินไปสำหรับโลกใบนี้ พีเทอร์"

     

     

    ผมไม่ยักรู้ว่าเขาจำชื่อของผม

     

     

    "แปลกดี ฉันเพิ่งมานึกได้ทีหลัง ว่าเด็กนั่นเอาผ้ามาห่มตัวฉันที่หนาวสั่น ฉันไม่รู้สึกถึงรายละเอียดพวกนั้นเลยตอนที่มันเกิดขึ้น..."

     

     

    ขอบตาผมเริ่มร้อนผ่าว

    แน่ละ ผมต้องเจ็บปวดอยู่แล้วที่เสียจอร์จไป

     

     

    ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ทหารนิรนาม เราต่างส่งผ่านคลื่นความรู้สึกมัวหม่นปนทุกข์แสนสาหัสให้ถ่ายทอดถึงกัน มันคือความสูญเสียที่ผูกพันเราไว้ คือสิ่งสำคัญที่ทำให้เรายังเป็นมนุษย์ แทนที่จะเคืองโกรธ ผมจึงเลือกเห็นใจ

     

     

    เพราะในขณะที่ผมสูญเสียเพื่อนไป

    คุณทหารได้สูญเสียความเป็นตัวเอง

     

     

    และจิตใจของเขาก็ถูกขังอยู่บนเรือลำนี้

     

     

    "ฉันใช้ชีวิตต่อไปไม่ได้ ถ้าไม่ได้สะสางเรื่องเด็กคนนั้นและความขี้ขลาดของตัวเอง"

     

     

    นั่นคือเหตุผลที่คุณกลับมา หรือว่า...?

     

     

    "คุณแค่ผวาสงคราม..."

    "นั่นก็แค่ชื่อทางการของอาการอย่างเดียวกัน..."

     

     

    ผมได้แต่กัดริมฝีปากตัวเองระหว่างฟัง

     

     

    "ไม่ใช่แค่เสียงระเบิดหรือปืนใหญ่ แม้แต่เสียงคนคุยกันตอนกลางคืนฉันยังสะดุ้งมุดหลบใต้เตียง ฉันกลับไปประจำการไม่ได้ ไม่ใช่ในสภาพนี้..."

     

     

    "..." ผมเม้มปากเป็นเส้นตรง

    เพิ่งสังเกตเห็นปืนพกที่เหน็บอยู่หลังเอวเขา

     

     

    "ถ้าคุณหวังว่าผมจะปลดปล่อยคุณจากเรื่องของจอร์จได้ แล้วเรื่อง..."

    "...บางคนแนะให้คิดเสียว่าตัวเองตายไปแล้ว จะได้ไม่ต้องกลัวตายอีก"

    "..."

    "ฉันอดคิดไม่ได้ว่าตายไปเลยอาจง่ายกว่า"

    "อย่า..."

     

     

    ผมถือวิสาสะสวมกอดร่างสั่นเทานั้นไว้

     

     

    "แบบนั้นการตายของจอร์จจะสูญเปล่า คุณเข้าใจไหม..."

    "..."

    "คุณต้องกลับมาเป็นตัวเองให้ได้"

     

     

    ผมบรรจงปลดปืนพกออกมาเงียบๆ

    ใช้จังหวะที่เขาอึ้ง เก็บปืนไว้ใต้เสื้อตัวเอง

     

     

    "...อย่างน้อยก็เพื่อเขา"

     

     

    ผมปล่อยเขาเป็นอิสระ ทิ้งเขาไว้ลำพัง

    เดินกลับขึ้นไปยังส่วนควบคุมเรือ

     

     

    ยัดปืนไว้ที่หลังเอวของคอลลินส์แทน

     

     

    "ฝากที"

     

     

    ผมกระซิบ

     

     

    .

    .

     

     

    ตลอดเวลาที่ถูกจับเป็นเชลยศึก แฟริเออร์ร่างแผนการหนีไว้ในหัวเป็นขั้นเป็นตอน ต้องซ่อนตัว อดทน เฝ้ารอเวลา สังเกตเวรยาม และแน่นอน หากหลุดมาได้ถึงหน้าหาด ก็ต้อง -เหมือนเดิม- ซ่อนตัว ภาวนาให้หาเรือได้สักลำ ไม่มีอะไรยากเย็นเกินกำลังหากยังมีสติ และเขารู้ว่าเขามีมันตลอด

     

     

    เว้นก็แต่เวลาเรื่องรบกวนใจบางเรื่องมาทำลายสมาธิเอาเท่านั้น

     

    ภาพเครื่องบินสปิตไฟร์กระแทกผืนน้ำคอยแต่จะแทรกขัดคลื่นสมองเข้ามาเล่นวนซ้ำอยู่บ่อยๆ

     

    เขาไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายยังมีชีวิตรอด

     

    แต่ว่า...

     

    'ฟาร์เรียร์'

     

    สำเนียงตลกๆ ของหมอนั่น... คุ้มค่ากับการเสี่ยงตายกลับไปฟังทุกประการ

     

     

    โฮ่ง!

     

    ทรายกลบได้เพียงร่าง ไม่อาจกลบกลิ่น

     

    นักบินอาร์เอเอฟผุดร่างจากผืนทรายในฉับพลัน สองขาออกวิ่งอีกครั้งอย่างไม่คิดชีวิต เขารู้ว่าพื้นที่ชายหาดอันเปิดโล่งทุกสารทิศไม่มีประตูทางรอดสักบานเปิดรออยู่เลย ทว่าเขาไม่ได้สักแต่เคลื่อนตัวหนีกระสุนพวกเยอรมัน เพื่อจะดำดิ่งลงสู่ท้องทะเลเบื้องหน้า

     

     

    แสงไฟดวงน้อยที่ลอยลำเข้ามาใกล้ท่าเรือต่างหาก...ดึงดูดให้เขาวิ่งออกไป

     

     

    ใช่

     

    เรือสักลำนั้นมาถึงแล้ว

     

     

    .

    .

     

     

    "ถ้ามันจะทำให้นายรู้สึกดีขึ้นก็เอาเลยนะ"

     

     

    อเล็กซ์สบตาผมอย่างจริงจัง

     

     

    "แต่นี่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น"

     

     

    ผมเงียบ

     

    เพราะเบื่อ และเพราะไม่มีอะไรจะเถียงออกไป ใช่ นี่ไม่ได้เปลี่ยนความจริงที่ว่ากิบสันตาย กิบสันผู้เป็นปัจจัยสำคัญในสมการการเอาชีวิตรอดออกจากดันเคิร์กของผม คนที่หากว่าผมไม่ได้เจอ คงไม่มีทางพาตัวเองออกมาจากชายหาดปิดตายนั่นได้จนถึงตอนนี้

     

    เพื่อจะเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าผมไม่เคยหนีมาได้ไกลเกินครึ่งทะเลเลย

     

    ผมทิ้งคนที่ผมต้องขอบคุณไว้ที่นั่น

    เขากลายเป็นหินถ่วงน้ำหนักลากผมกลับไป

     

     

    "และนายจำได้ใช่ไหมว่าหมอนั่นเป็นคนฝรั่งเศส มันทิ้งเพื่อนร่วมชาติไว้ที่หาดเพื่อหนีมากับเรา"

    "เรา...ที่จะไม่มีวันรอดมาถึงนี่ ถ้าเขาไม่ได้เปิดประตูเรือที่กำลังจม"

     

     

    ผมเอ่ย

    น้ำเสียงเหม่อลอย

     

     

    ในขณะที่ทหารสหราชอาณาจักรบีบบังคับให้เขาพิสูจน์สัญชาติ กิบสันกลับช่วยเราซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยไม่สนว่าเราเป็นใคร แค่เราคือมนุษย์ก็ดูเหมือนจะเป็นเหตุผลที่เกินพอแล้วสำหรับเขา

     

    กิบสันสนใจแค่นั้นเอง

     

    "นายเองก็คงไม่ตามฉันมา ถ้าไม่ได้อยากทำสิ่งถูกต้องให้เขาสักครั้ง อเล็กซ์"

     

    เขาเงียบไป เสหน้ามองทะเลสีดำ

    แต่ผมรู้และเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าผมพูดถูก

     

     

    "พวกนายอาจจะอยากลงใต้ท้องเรือ ถ้าไม่อยากเป็นหวัด..."

    "เราโอเค"

     

    อเล็กซ์ตอบพีเทอร์อย่างรวดเร็ว

     

     

    มูนสโตนพิสูจน์ว่าโชคชะตาชอบเล่นตลก

     

    อุตส่าห์โดยสารมันกลับถึงแผ่นดินบ้านเกิด

    ไม่กี่วัน เราก็โดยสารมันกลับไปยังดันเคิร์ก

     

    ผมไม่รู้ว่าพีเทอร์ หรือนักบินอาร์เอเอฟ กับทหารที่เราเคยเจอบนเรือพายจะกลับไปที่นั่นทำไม แต่เมื่อไปถึงดอร์เส็ท และเสาะหาเรือที่จะออกทะเลให้เราอยู่ข้ามวัน ก็ชัดเจนว่ามีแต่มูนสโตนเท่านั้นที่จะยอมอาสาพาเรากลับไป

     

    "พวกนายเพิ่งรอดตาย จะกลับไปทำไมกัน"

     

    พีเทอร์ก้าวมายืนพิงราวดาดฟ้าใกล้ๆ ผม

     

    "บางอย่างยังรั้งฉันไว้ที่นั่น..." ผมกระซิบ

    พีเทอร์มีสีหน้ารับรู้ "แถวนี้มีคนติดกับ ไม่ก็ถูกจองจำเยอะเกินไป"

     

     

    ผมไม่คิดว่าตัวเองเข้าใจประโยคนั้น

     

    เด็กหนุ่มในเสื้อไหมพรมสีแดงบีบบ่าผมเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนหมุนตัวกลับไปยังห้องบังคับเรือ จากตรงนี้ ผมสามารถมองทะลุกระจกเข้าไปเห็นถึงสีหน้าเคร่งเครียดของทหารอากาศคนนั้นซึ่งกำลังควบคุมพวงมาลัย จนกระทั่งพีเทอร์เข้าไปผลัดเปลี่ยนหน้าที่ขับเรือคืน

     

    ผมรู้แค่ว่านักบินแบบเขาคอยคุ้มกันทางอากาศให้เราที่ชายหาด

    บางคนก่นด่าเวลาพวกเขาไม่โผล่หัวมาจัดการเครื่องบินทิ้งระเบิดของศัตรู

     

    แต่ไม่มีใครเคยรู้เลย, ผมก็เช่นกัน

     

    ว่าพวกเขาต้องเผชิญกับอะไรบ้าง

     

     

    .

    .

     

     

    "ปล่อยผม!"

     

     

    ผมคำรามลอดไรฟัน

     

    ทำได้แค่นั้นขณะที่ถูกล็อกคอ กดศีรษะแนบพื้นโรงเก็บเครื่องบิน แขนสองข้างถูกเพื่อนทหารสองนายจับไขว้ทับกันไว้ และอีกคนต้องนั่งคุกเข่าโถมน้ำหนักดันร่างผมติดผืนซีเมนต์

     

    ถูกบังคับให้ได้แต่มองปีกเครื่องบินขับไล่

     

    แต่ไม่อาจปีนขึ้นไปนั่งข้างใน

    หรือเอื้อมมือไปถึงคันบังคับ

     

    เสียงเข้มๆ ของผู้บังคับบัญชาดังเตือนสติ

     

    "ปล่อยไม่ได้ ไอ้ลูกชาย นายคิดว่าจะทำยังไง บินเข้าไปในเขตของศัตรู? แล้ว? ช่วยเขาออกมา? ยังไง? นายจะจับเขานั่งส่วนไหนของเครื่อง พับเก็บไว้กับล้อหรือ...?"

     

     

    ผมรู้ว่านั่นคือปัญหา

    แต่ก็ยังไม่ได้คิดทางแก้

     

     

    คิดแต่ว่าต้องไปหาเขาให้ได้เท่านั้น

    ให้เจอซะก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน

     

     

    "เราไม่ได้นิ่งนอนใจ แฟริเออร์เป็นทรัพยากรที่มีค่าต่ออาร์เอเอฟ ฝึกนักบินอีกพันคนก็ไม่รู้จะได้อย่างเขาไหม แต่ปฏิบัติการช่วยเหลือต้องวางแผนอย่างรัดกุม คอลลินส์"

    "ถ้าเขาตายระหว่างนี้ แผนที่รัดกุมจะช่วยอะไรครับ"

     

    ผมสวนกลับเสียงเรียบ

     

    เมื่อผมหยุดต่อต้าน ทุกคนก็ปล่อยมือจากตัวผม ใครคนหนึ่งฉุดผมขึ้นยืน ผมไม่มอง แต่สะบัดตัวออกห่างอย่างไม่สบอารมณ์ สายตาหลายคู่ทอดมองด้วยความประหลาดใจ และเหตุผลที่เป็นแบบนั้น ก็คงเพราะพวกเขาไม่เคยเห็นผมเป็นอย่างนี้มาก่อน

     

    แต่ผมไม่มีอารมณ์จะแคร์สายตาใครทั้งนั้น

     

    รู้ว่าเครื่องของฟาร์เรียร์หายไปในแดนศัตรูก็แย่พออยู่แล้ว ถูกสั่งห้ามโดยตรงไม่ให้ไปช่วยเหลือ...ใครจะไปยอมรับได้กัน

     

    "อย่าทำอะไรโง่ๆ อย่าให้ฉันต้องสั่งพักงานนายเลย แค่นี้กำลังพลก็ขาดมืออยู่แล้ว"

    "..."

    "เข้าใจรึเปล่า"

    "ไม่รับประกันครับ"

     

     

    ผมทำความเคารพผู้บังคับบัญชาอย่างเกรี้ยวกราดที่สุดเท่าที่เคยทำมาในชีวิต

     

    เครื่องบินไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป

     

    .

    .

     

     

    "ฉันชอบนาย..."

     

    ผมยืนทำหน้าไม่ถูกอยู่พักใหญ่

     

    ไม่ใช่ไม่เคยได้ยินมันมาก่อน ในเมื่อคนตรงหน้าเพิ่งจะพูดมันไปเมื่อสองวันที่แล้ว รุ่งเช้าหลังกลับจากดันเคิร์ก แต่ต้องไม่ใช่ต่อหน้าพ่อผมแบบนี้สิ คิดอะไรของเขากัน!

     

    ผมคว้าแขนพ่อนักบินตัวดี ลากออกมาให้ห่างจากเรือมูนสโตน แล้วดุเขาเบาๆ

     

    "อะไรของนาย คอลลินส์"

     

    เขาตั้งสติ สองมือเอื้อมมาจับไหล่ผม

    แต่ลิ้นของเขาก็ยังระรัวคำพูดอยู่เช่นเดิม

     

    "ฉันชอบนาย...ชอบนายจริงๆ ใบหน้าของนายที่ฉันเห็นหลังออกจากค็อกพิทได้คือสิ่งสวยงามที่สุดที่ฉันเคยเห็น"

    "แต่...?"

    "แต่ฉันจำเป็นต้องพาเขากลับมาให้ได้"

    "เพราะเขาสำคัญกว่านั้น ฉันรู้"

     

     

    มือใหญ่ข้างหนึ่งเลื่อนขึ้นมาทาบแก้มผม

     

     

    "ชอบนายขึ้นทุกนาทีเลย..."

    "คอลลินส์" ผมดุ

    "เอ้อ ใช่ นายคิดว่าจะขับเรือของพ่อนายไปที่ดันเคิร์กได้ไหม"

    "เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก แต่นายรู้เหรอว่าเขาอยู่ตรงไหน แบบแน่ชัดน่ะ..."

     

     

    คอลลินส์ส่ายหน้าแรงๆ

     

    "ถึงยังไงฉันก็ต้องไป..."

     

    เพราะวันก่อนมีข่าวว่าทหารฝรั่งเศสที่ถูกจับเป็นเชลยศึกขโมยเรือหนีจากดันเคิร์กกลับมาถึงนี่ได้ คอลลินส์จึงมีหวัง

     

     

    แล้วผมเป็นใครจะไปทำลายความหวังนั้น

     

     

    "ฟ้ามืดเราจะไปกัน"

     

    คอลลินส์สวมกอดผมทันที

     

    เราไม่ได้คาดคิด ว่าลงท้ายแล้วเที่ยวเรือนั้นจะมีผู้โดยสารเพิ่มมาอีกถึงสามคน

     

     

    .

    .

     

     

    "เอาปืนให้ฉัน"

     

     

    ผมไม่ค่อยแปลกใจที่เขารู้

     

     

    อันที่จริง...

    ผมคิดว่าเขาปล่อยให้พีเทอร์เอาไปด้วยซ้ำ

     

    เพื่อความสบายใจของพีเทอร์เอง

     

    "ผมเชื่อใจคุณได้ไหม"

    "ว่าฉันจะไม่ฆ่าตัวตายน่ะเหรอ อย่าขี้กังวลเหมือนแฟนนายหน่อยเลย ถ้าฉันจะทำ ฉันไม่ถ่อขึ้นเรือมาทำถึงนี่หรอก"

     

    เขาพูดจามีเหตุผล

    และผมต้องการคนคุ้มกัน

     

    จึงส่งปืนให้เขา และเตรียมพร้อมจะปีนขึ้นไปทันทีที่พีเทอร์นำเรือเข้าเทียบท่า ผมเห็นแสงไฟฉายสาดส่อง ภาษาเยอรมันสากหูตะโกนก้องไปมา ผสมกับเสียงเห่าของสุนัข และเสียงลูกกระสุนแหวกอากาศก้องระรัวหูดับตับไหม้

     

     

    ทั้งหมดนั่นเกิดขึ้นพร้อมกัน

    เพราะร่างซึ่งกำลังวิ่งมาตามท่าเรือที่ดัดแปลงจากรถบรรทุก

     

     

    ด้วยท่าทางการวิ่งที่ผมจำได้ขึ้นใจ

     

     

    "ฟาร์เรียร์!"

     

     

    .

    .

     

     

    แฟริเออร์ทำสิ่งที่ทำไม่หยุดมาตลอดสองนาทีที่ผ่าน

     

    วิ่ง

     

     

    ก้มหลบกระสุนของพวกเยอรมันเป็นระยะ

    สายตาจับจ้องยังเรือที่กำลังจะเทียบท่า

     

    เรือนผมสีสว่างต้องแสงจันทร์นั่น...

     

     

    ดูท่าครั้งนี้นายจะเป็นฝ่ายตามหาฉันเจอ

    คอลลินส์

     

     

    พาฉันออกไปจากคุกนี่ที

     

     

    .

    .

     

     

    ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีเวลามากนัก

     

    ถ้าคนที่กำลังวิ่งมาตามท่าเรือ คือคนที่เรือลำนี้ตั้งใจมารับ

     

     

    จึงพุ่งตัวลงจากดาดฟ้าเรือโดยไม่บอกกล่าวแม้แต่อเล็กซ์ และรีบว่ายน้ำเข้าหาฝั่ง ทหารเยอรมันพุ่งความสนใจไปที่ทหารบนท่าเรือเท่านั้น และคงไม่ทันสังเกตเห็นผม ผมหรี่ตา พุ่งตรงไปหาจุดที่คุ้นเคยบนชายหาด ที่ซึ่งร่างของกิบสันตัวจริงถูกฝังเอาไว้

     

     

    เรืออาจจะทิ้งผมไปแล้ว แต่ผมไม่สนใจ

    ผมใช้เวลาเสาะหา จนเจอ

     

     

    แล้วลงมือขุด

     

     

    .

    .

     

     

     

    เสียงปืนของพวกเยอรมันดังสะท้านจนใจแทบสั่น

    แต่มือของผมยังมั่นคงพอจะเหนี่ยวไก

     

     

    เปรี้ยง

     

     

    ทหารที่ไล่หลังแฟริเออร์มาร่วงลงจากท่าเรือ

    จมหายลงไปในทะเล

     

     

    ผมไม่ได้ขี้ขลาด

    ไม่ได้กลับมาเพื่อพิสูจน์อะไร

     

     

    ผมแค่อยากเห็นว่าพีเทอร์โอเคหรือเปล่า

    ที่ต้องสูญเสียจอร์จไป เพราะความงี่เง่าของผม

     

     

    แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กคนนั้นคือราคาที่ผมต้องจ่าย

    แลกกับการไถ่ถอนตัวเองคืนมาจากฝันร้ายของสงคราม

     

     

    .

    .

     

     

    HOME

    _______

     

     

    ระดับน้ำอยู่ต่ำกว่าท่าเรือมากเกินไป

    ผมไม่อาจปีนขึ้นไปได้ เขาไม่อาจก้าวลงมาเฉยๆ

     

     

    "ฉันจะรับนาย ฟาร์เรียร์!"

     

     

    ผมร้องบอก

    และเขาไม่ลังเลเลยที่จะโดด

     

     

    วินาทีต่อมา เขาก็ร่วงลงสู่อ้อมแขนของผม

     

    "ฉันจะพานายกลับบ้าน นายจะได้กลับบ้าน ฟาร์เรียร์"

     

    ผมกระซิบกรอกหูเขา

    ซ้ำไปซ้ำมา

     

     

    .

    .

     

     

    "พีเทอร์ ขอเชือกที!"

     

     

    ผมละมือจากพวงมาลัย

    เอาสิ่งที่อเล็กซ์ถามหาไปให้ที่ท้ายเรือ

     

     

    ไม่รู้เลยว่าทอมมี่ลงจากเรือไปตอนไหนเมื่อไร

    สำคัญตอนนี้คือต้องเหวี่ยงเชือกให้เขาได้กลับขึ้นมา

     

     

    อเล็กซ์คว้าปลายเชือกในมือผมไป

    จังหวะเดียวกับที่ผมเผลอปล่อยมือ

     

     

    เพราะเสียงร้องของคอลลินส์...

     

     

    "ไม่ๆๆๆ"

     

     

    ผมวิ่งกลับไปยังดาดฟ้าหัวเรือ

    คอลลินส์ยังโวยวายไม่หยุดจนผมตกใจ

     

     

    แต่คุณทหารไร้ชื่อกลับคว้าเอวผมเอาไว้

    ฉุดรั้งไม่ให้เดินไปถึงตรงนั้น

     

     

    "อย่ามอง..."

     

     

    เขากระซิบ

     

     

    "เกิดอะไรขึ้น"

     

    ผมพยายามชะโงกข้ามไหล่ของเขาไป

    แต่ก็ถูกมือเย็นเยียบนั้นรั้งใบหน้ากลับมา

     

    บังคับสายตาของผมเอาไว้

    ให้มองเห็นได้เพียงนัยน์ตาของเขา

     

     

    "นายเห็นมาเยอะเกินไปแล้ว"

     

     

    เห็น...

     

    อะไร...?

     

     

    .

    .

     

     

    ผมไอโขลกระหว่างที่คอเสื้อถูกอเล็กซ์ดึงรั้งขึ้นไป

    และยังไอไม่หยุด จนอเล็กซ์ต้องคอยลูบหลัง

     

     

    "เกิดบ้าอะไรขึ้นมาโดดลงไปแบบนั้น!"

     

     

    เขาดุผมเสียงดัง

    แต่ใช้มือลูบหน้าลูบตาผม ไล่น้ำออกให้

     

     

    ผมหนาวจนทั้งร่างเทิ้มสั่น

    แต่นั่นไม่ใช่สาเหตุที่ผมโถมกอดอีกฝ่าย

     

     

    "ฉันรู้แล้ว..."

     

     

    ผมพึมพำ

    กำด็อกแท็กไว้แน่น ในมือข้างที่กดอยู่ตรงหลังคออเล็กซ์

     

    "...ฉันรู้ชื่อเขาแล้ว"

     

     

    รู้แล้ว...

     

    ว่าจะสลักชื่อบนป้ายเหนือหลุมศพไร้ร่างของเขาว่าอะไร

     

     

    .

    .

     

     

    "..."

     

    ผมเดาออกได้ไม่ยากเท่าไร

    ว่าเกิดอะไรขึ้นกับแฟริเออร์

     

     

    ที่ผมสนใจ กลับเป็นแววตาของคนตรงหน้า

     

    "เด็กอย่างนายไม่ควรต้องมาเห็นความตายต่อหน้าซ้ำซ้อนไล่เลี่ยกันแบบนี้..."

     

    มันไม่ได้สั่นคลอนวูบไหวอย่างที่เคยอีกแล้ว

     

     

    "นี่ตัวจริงของคุณใช่ไหม..."

     

    ผมพึมพำกับตัวเอง

     

     

    ดูเหมือนว่าในที่สุด

    คุณทหารก็ได้ตัวตนของเขากลับมา

     

     

    "...อาจใช่"

     

     

    อาจไม่ทั้งหมด อาจไม่มีวันได้คืนทั้งหมด

    แต่ก็เพียงพอแล้วสำหรับตอนนี้

     

     

    สัญชาตญาณในการปกป้องของทหารเป็นสิ่งแรกที่กลับมา

    และเขาปกป้องจิตวิญญาณของผมเอาไว้

     

     

    "..."

     

     

    คุณทหารไร้ชื่อโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้

    กระซิบบางคำด้วยเสียงหวีดหวิวไม่ต่างจากลมพัด

     

     

    'ค...'

     

     

    แต่มันกลับดังชัดในความรู้สึก

    ...ของผมคนเดียว

     

     

    "...ชื่อของฉัน"

    "..."

     

     

    ผมพยักหน้ารับ

     

     

    หวังว่าสักวัน...

    คุณคงกลับเป็นตัวเองที่สมบูรณ์ได้

     

     

    ให้คุ้มกับราคาที่ผมต้องจ่ายไป

    ราคาที่ผมไม่ได้ตั้งใจจ่ายให้คุณ

     

     

    .

    .

     

     

    "ไม่ๆๆๆ"

     

     

    มือของเขาไม่เคยได้กอดตอบผม

    มันทิ้งตัวตามแรงโน้มถ่วงอยู่นานแล้ว

     

     

    ผมคลายอ้อมแขนออกโดยไว

    ปากยังร้องตะโกนคำว่า 'ไม่' อยู่ซ้ำๆ

     

     

    และได้แต่ร้องดังขึ้น

    เมื่อเห็นรอยกระสุนบนร่างของฟาร์เรียร์

     

     

    นี่ไม่ใช่สิ่งที่ผมเตรียมใจมาเจอ

     

     

    "ไม่เอาแบบนี้ ฟาร์เรียร์ ไม่..."

     

     

    ทั้งประเทศเฉลิมฉลองที่พาทหารสามแสนนายกลับบ้านได้

    แต่มีใครรู้บ้างว่าคนที่ปกป้องพวกเขาอย่างนาย...

     

     

    ต้องมาเสียสละตัวเองแบบนี้

     

    ฟาร์เรียร์

     

     

    'อย่าพูดอย่างนั้น'

     

    ฉันรู้ว่านายต้องตอบกลับมาแบบนี้

    แต่นั่นไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร

     

    ไม่ได้เปลี่ยนแปลงความรู้สึกของฉัน

     

    ช่างหัวประเทศมันสิ

    ช่างหัวโลกเสรี

     

    ไม่มีอะไรควรค่าพอจะได้ชีวิตนายไปทั้งนั้น

    แม้แต่ฉัน

     

    ฉันรู้ดี

     

    "ไม่...ฟาร์เรียร์ ไม่..."

     

    แต่นี่ไม่ใช่ราคาที่ฉันสมควรต้องจ่าย

     

    .

     

    ไม่คุ้มกันเลยสักนิดเดียว

     

    .

    .

     

     

    _____

    END

     

     

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in