เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ความทรงจำฝังใจoffiouz
ความทรงจำฝังใจของเด็กชาย
  •     ตั้งแต่วัยเด็กเรามีผู้คนมากมายผ่านเข้ามาในชีวิต ผ่านเข้ามาและผ่านออกไป บางคนยังอยู่ บางคนหายไป เหลือทิ้งไว้เพียงความทรงจำที่มีร่วมกันเท่านั้น และเราไม่มีทางรู้เลยเรากับเขาจะได้พบกันอีกหรือไม่ เขายังสบายไหม? เขาเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมากหรือเปล่า? เขายังจำเราได้ไหมนะ? คำถามมากมายเหล่านี้วนเวียนในหัวเสมือนปลาที่ว่ายเวียนอยู่ในอ่าง ว่ายไปข้างหน้าก็ชนกำแพงแล้วก็ต้องหันกลับไปว่ายอีกทาง แล้วก็ชนกำแพงอีกครั้ง เป็นอย่างนี้ไม่รู้จบ
        
        ทว่า คุณเป็นเหมือนกันไหม? ที่แม้จะมีความทรงจำร่วมกับคนอื่นมากมาย แต่มีความทรงจำหนึ่งที่ยังคงวนเวียนอยู่ภายในหัว ทั้งที่เรื่องมันผ่านมานานมากแล้ว ทั้งที่คิดว่าลืมมันไปแล้ว แต่ทำไมจู่ ๆ มันถึงย้อนกลับมานึกถึงอีกล่ะ....

        มันไม่ได้วนเวียนภายในหัวเราหรอก....มันวนเวียนอยู่ภายในใจของเราต่างหาก

        ภายในจิตใจ...ที่เราปิดผนึกมันไว้ ผลักออกไปในส่วนลึกของจิตใจ หากลืมไปได้ก็เท่ากับว่าเหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้น  มันไม่เคยเกิดขึ้น

        แต่มันเคยเกิดขึ้น.... จริง ๆ

        ในวัยเด็ก สมัยประถมเราต่างเริ่มรู้จักการมีเพื่อน การละเล่นต่าง ๆ ตามแบบฉบับของเด็กทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการละเล่นยอดฮิตอย่าง พ่อแม่ลูก หมากเก็บ กระโดดยาง เล่นตุ๊กตาบาร์บี้ ซึ่งล้วนแล้วแต่เล่นกับเด็กผู้หญิงทั้งนั้น  ในขณะที่เด็กผู้ชายก็มักจะเล่นฟุตบอลหรืออะไรก็ตามที่ดูจะใช้ความรุนแรงหน่อย ๆ

        ผมเป็นหนึ่งในที่เล่นทั้งสองแบบ แต่ค่อนข้างจะเอนเอียงไปเล่นกับเด็กผู้หญิงมากกว่า เพราะผมไม่ค่อยความรุนแรง และไม่อยากโดนลูกบอลอัดใส่หน้า


        ผมในวัยเด็กค่อนข้างผอมกะหร่อง เป็นเด็กมีโรคประจำตัว ตัวเตี้ยเป็นอันดับสองของห้อง ผิวก็ดำเหลือเกิน แต่ผมก็ไม่ได้สนใจหรอก อาจเป็นความโชคดีที่โรงเรียนประถมที่เรียนเป็นโรงเรียนเอกชน และไม่มีใครพูดคำหยาบกันเลย อันที่จริง ตอนอนุบาลผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนวัดซึ่งอยู่อีกทางหนึ่ง พอขึ้นประถมผมโดนแม่จับย้ายมาเรียนที่โรงเรียนเอกชนเพราะเหตุผลที่ว่า ผมพูดคำหยาบ

        'ไอ้หมาเหี้ย'

         สมัยนี้คงไม่แปลกเท่าไรหากจะได้ยินคำหยาบออกจากปาก แต่หากเป็นเด็กที่พูดคำนั้นมันก็คงดูไม่ดีเท่าไร แม้ว่าหลายครอบครัวจะไม่ซีเรียสที่ลูกพูดคำหยาบตั้งแต่เล็ก ๆ เพราะตนก็พูดคำพวกนั้นให้เด็กได้ยินทุกวัน จนเด็กเข้าใจไปว่าสามารถพูดได้ แต่ไม่ใช่กับแม่ผม... หลังจากประโยคนั้น รู้ตัวอีกทีผมก็มาอยู่โรงเรียนเอกชน ขึ้นป.1 ทั้งที่ไม่ได้เรียนอนุบาล 3

        ช่วง ป.2-ป.3 ผมมักโดนเพื่อนคนหนึ่งแกล้ง แกล้งด้วยวิธีแปลก ๆ ซึ่งตอนเด็ก ๆ ก็ไม่เข้าใจหรอกว่าทำไมถึงต้องแกล้งแบบนั้น โตมาก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าเพราะอะไรและทำไม

        ผมขอแทนชื่อเขาด้วยคำว่า B  ก็แล้วกัน B เป็นเด็กผู้ชายที่หน้าตาน่ารักค่อนไปทางหล่อเลยล่ะ ผิวขาวอีกต่างหาก ถ้าเป็นสมัยนี้คงไม่พ้นคิวท์บอยแน่ ๆ เป็นแบบพิมพ์นิยมที่คนชอบกันเลย ผมยังรู้สึกชอบเลยด้วยซ้ำก่อนที่จะรู้ตัวว่าตัวเองชอบผู้ชาย

        การแกล้งของ B ไม่ใช่การล้อเลียนปมด้อยหรือแกล้งเล่นแรง ๆ อะไรแบบนั้น แต่คือการที่มัน....

        ขอจูบผม

        วิธีการแต่ละอย่างที่มันขอจูบผมนั้นมีหลายอย่าง แต่ผมเองก็จำได้ไม่หมดหรอก เพราะตอนนั้นผมแค่ป.2-ป.3 เท่านั้น  นึกแล้วก็ขำดีที่ชีวิตนี้เคยมีอะไรแบบนี้กับเขาด้วย

        "ขอจูบหน่อย"

        คือประโยคที่ B พูดขึ้นมา ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องมาจูบผม ทั้งที่มันเองก็ชอบเด็กผู้หญิงห้องข้าง ๆ อยู่คนหนึ่ง แล้วผมให้มันจูบไหมน่ะเหรอ?  ไม่ให้หรอก

        ผมจำได้ว่าตอนซ้อมกีฬาสี พวกเราเด็ก ๆ ต้องนั่งร้องเพลงตามที่พี่ป.6 สอน ผมได้นั่งข้าง B จำไม่ได้ว่าทำไมถึงได้นั่งข้างมัน เพราะผมนั่งอยู่ก่อนแล้วมันนั่งตาม หรือมันนั่งอยู่ก่อนแล้วผมนั่งตาม หรือโดนพี่เขาจับมานั่งใกล้กันโดยบังเอิญ

        วันนั้นเราก็คุยกันตามปกติ เล่นอะไรตามปกติ กระทั่ง B ชวนเล่นอะไรบางอย่าง มันบอกว่าให้มันจะให้ยานี้กับผม (ซึ่งเป็นการเล่นจินตนาการสมมติแบบที่เด็ก ๆ สมัยก่อนชอบเล่นกัน) แล้วก็ทำนิ้วโป้งกับนิ้วชี้เข้าหากันเหมือนถืออะไรบางอย่าง เสร็จแล้วมันก็บอกผมว่าพอผมกินยานี้ผมก็สลบไปแล้วฟุบลงไปบนตักของ B แล้วมันก็บอกว่ามันจะปลุกผมด้วยจูบ จากนั้นผมถึงจะลืมตาขึ้นมา

        อะไรดลใจให้ผมเล่นตามน้ำไปก็ไม่รู้ ตอนเอนหัวลงนอนบนตักของ B ผมจำได้เลยว่าตอนนั้นมันลูบหัวผมอยู่เบา ๆ  แน่นอนแหละผมลืมตาขึ้นมาก่อนที่มันจะจูบแต่มันก็เห็นแล้วบอกให้ผมหลับตาใหม่ ผมก็ทำตาม ยิ่งสัมผัสได้ว่ามันใกล้มากเท่าไรผมก็ยิ่งรู้สึกแปลก ๆ แบบนี้ดีแล้วเหรอ? นี่จะให้มันจูบจริง ๆ เหรอ? ประโยคพวกนี้ดังในใจผมซ้ำไปซ้ำมา โดยที่ผมเผลอคิดไปชั่วขณะหนึ่งว่า ถ้ามันได้จูบผมแล้ว มันจะยังขอจูบผมอีกหรือเปล่า

        ผมหยิกขา B จนได้ยินเสียงมันร้องโอ๊ย ผมเด้งตัวขึ้นมาแล้วบอกว่าตื่นแล้ว B โวยกลับว่ายังไม่ได้จูบเลย แต่ผมก็ไม่สนใจ ว่ากันตามจริงผมก็กลัวนะ กลัวว่ามันจะจูบผมอยู่ตลอด พอถึงช่วงกีฬาสีแล้วเห็นว่าเหมือนจะได้นั่งใกล้กันผมก็กลัวว่ามันจะมาจูบอีก จนบอกมันไปว่าอย่ามาจูบนะ B ก็สวนกลับมาว่าใครจะไปจูบ

        เคยถึงขนาดที่ว่าบอกพ่อกับแม่ว่าอยากจะย้ายโรงเรียน จนพ่อกับแม่ถามว่าเป็นอะไร ทำไมถึงอยากย้าย ผมก็บอกไปว่ามีแต่คนแกล้ง ทั้งที่จริงแล้วคนแกล้งมีคนเดียว แล้วก็ไม่รู้ว่าขอจูบนั่นคือการแกล้งหรือเปล่า


        กระทั่งวันหนึ่งมีผู้ปกครองของใครไม่รู้มาที่โรงเรียน ครูออกไปคุยกับพวกเขาและผมก็แอบอยากรู้ว่าคุยเรื่องใครและคุยเรื่องอะไร ผมเห็นครูยืนคุยกับพ่อแม่แล้วก็ B ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นผมได้ยินเขาคุยกันไหม แต่ผมจำได้ว่าวันที่พ่อแม่ของ B มาคุยคือมาคุยเรื่องที่ B จะต้องย้ายโรงเรียน

        ผมใจหาย.... ใจหนึ่งดีใจที่จะได้ไม่ต้องมีคนมาแกล้งอีก อีกใจหนึ่งก็โหวง ๆ แปลก ๆ

        พอผมรู้ว่า B จะย้ายโรงเรียน ผมก็จำพยายามจำชื่อเล่น ชื่อจริงและนามสกุลของ B ให้ได้ จนในที่สุด B ก็ย้ายโรงเรียน ตั้งแต่วันนั้น...ผมก็ไม่เคยเจอมันอีกเลย



        ช่วงป. 5 ผมชอบเพื่อนผู้ชายในห้องเดียวกัน ชอบมานานจนถึงม.6 ก็รู้สึกว่ามันทรมานตัวเอง รอทำไมทั้งที่เขาไม่ได้บอกให้รอ จนเข้ามหาลัยก็ไม่ได้รู้สึกอะไรกับเพื่อนคนนั้นแล้ว แล้วจู่ ๆ คนที่ผมคิดว่าลืมไปแล้วก็ผุดขึ้นมาในใจ

        ไม่รู้ทำไมผมถึงนึกถึง B ทีแรกก็คิดว่าคงนึกถึงแป๊ป ๆ เดี๋ยวก็หายไป แต่เปล่าเลย... นับวันยิ่งนึกถึงและคิดถึงขึ้นทุกที

        เคยคิดจะตั้งกระทู้พันทิปด้วยซ้ำว่าให้ช่วยตามหาคนชื่อนี้ ๆ หน่อย แต่ก็กลัวว่าคนจะขุดหาว่าคนตั้งกระทู้เป็นใคร คนที่จะให้ตามหาเป็นใคร กลัวถึงขนาดที่ว่า ถ้าเกิดตามตัวเจอแล้ว B แต่งงานไปแล้วหรือมีแฟนแล้ว หรือแม้กระทั่งไม่อยู่แล้ว.... ผมจะทำใจได้หรือเปล่า

        ลองกระทั่งหาชื่อในเฟซบุ๊ก ในกูเกิล ก็ไม่เจอเลย ลองทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทยก็แล้ว อดคิดไม่ได้ว่าเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุลไปแล้วล่ะมั้ง

        ผมลองทักไปถามเพื่อนสมัยประถมดูว่าพอจำ B ได้ไหม คำตอบเป็นที่น่าพอใจเพราะเพื่อนจำได้ โชคดีกว่านั้นคือมันกับ B เรียนอนุบาลด้วยกัน เคยถ่ายรูปด้วยกัน ผมบอกอยากดู อยากเห็น เพราะอย่างน้อยผมก็จะได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง ผ่านรูปถ่าย ไม่ใช่ภาพในความทรงจำอย่างที่ผ่านมา

        แต่โชคร้ายครั้งที่หนึ่งก็เข้ามา เพื่อนบอกว่าหารูปไม่เจอ ผมถามมันว่ารู้ไหมว่า B ย้ายไปอยู่ที่ไหน เพื่อนถามแม่แล้วได้ความว่าย้ายไปจังหวัดหนึ่งในภาคใต้.... ผมแอบภาวนาขอให้เจอ

        แน่นอนว่าการตามหาคนทั้งที่ไม่มีเบาะแสหรือภาพถ่ายอะไรเลยมันยาก ช่วงมหาลัยน่าจะปี 2 ผมได้ไปเที่ยวที่จังหวัดนั้น อยากจะตามอยู่หรอก แต่ผมไม่มีรถ ไม่มีเบาะแสด้วย อยู่ที่นั่นจริงหรือเปล่า หรืออาจจะย้ายไปแล้วก็ได้  สุดท้ายผมก็ได้แต่นั่งมองพระอาทิตย์ริมทะเล และคิดถึงอยู่ในใจ


        ผมไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟังหรอก เพราะผมอยากเก็บความทรงจำนี้ไว้กับตัวเอง เคยเล่าให้เพื่อนประถมฟังแค่คนสองคนก็ตอนโตแล้วนี่แหละ แต่เพื่อนจะจำได้หรือเปล่าก็ไม่รู้

        กระทั่งตอนนี้ผมก็ยังคิดถึง B อยู่ ถ้าได้เจอกันอีกครั้งผมก็อยากจะถามมันว่า ทำไมถึงขอจูบ ทำไมต้องเป็นผม เคยลองคิดคำตอบอยู่เหมือนกัน อาจจะแค่เล่น ๆ ซึ่ง.... แค่นั้นก็ได้... อย่างน้อยผมก็ได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วมันยังไงกันแน่ ดีกว่าต้องมาคิดเองแล้วก็เครียดเอง  แม้เจอหน้ากันมันอาจจะผมไม่ได้ด้วยซ้ำ อาจจำสิ่งที่มันทำกับผมไม่ได้เลยด้วยซ้ำ อย่างน้อยถ้าได้เจอ.... ผมก็คงไม่มีอะไรค้างคาใจอีก

        คิด ๆ ดูแล้วก็เสียดายเหมือนกันนะ ถ้ารู้ว่าโตขึ้นแล้วยังไม่มีแฟนรู้งี้น่าจะให้จูบแรกมันไปซะก็สิ้นเรื่อง แต่ถ้าเป็นแบบนั้นภาพของ B คงเวียนอยู่ในหัวและในใจผมไปตลอดแน่ ๆ  ทั้งที่คิดว่ารักแรกคือเพื่อนในห้องเดียวกันที่ชอบตอนป.5 แต่ตอนนี้ผมกลับคิดว่ารักแรกของผมคือเด็กผู้ชายหน้าตาหล่อ ผิวขาวคนนั้นตอนป.2-ป.3  เหมือนเป็นปั๊บปี้เลิฟ ที่ยังหลงเหลือส่วนหนึ่งของความจำ



        เราคงไม่ได้เจอกันอีก ขอบคุณมากสำหรับการแกล้งแบบนั้น ขอบคุณที่ยังอยู่ในใจเราถึงขนาดที่จำชื่อนามสกุลได้ชัดเจน คงฝังใจเรื่องแกไปอีกนานเลย

        ไม่ว่าตอนนี้แกอยู่ไหน... หวังว่าแกสบายดีนะ

        ขอบคุณจริง ๆ



        รัก... จากเด็กชายตัวดำ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in