เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Dear, DiaryYour writer
Bird Box คุณมองเห็นอะไร?

  • 'Bird Box' หรือ แปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ ว่า 'บ้านนก' เป็นชื่อหนังที่ไม่ได้ดึงดูดเท่าไรนัก แต่ด้วยแรงโหมโปรโมตของ Netflix ทำให้คิดว่า ต้องดูให้ได้เลย และเพื่ออรรถรสในการรับชม จึงไม่ได้อ่านสปอยก่อนแต่อย่างใด

    จาก trailor สิ่งที่เราทราบเกี่ยวกับ Bird Box มีเพียง นางเอก boy และ girl จะต้องผ่านแม่น้ำอันเชี่ยวกราดไป (เพื่ออะไรก็ยังมิทราบ) โดยที่ห้ามเปิดตา ถ้าเปิดตาจะเจอสิ่งที่กลัว ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีนั้น เราคิดว่า การเปิดตาจะทำให้เห็นภาพสิ่งที่กลัวมากที่สุด หากแต่เรื่องราวกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น


    หลังจากดูจบ ก็แอบรู้สึกเสียดายเวลานิดหน่อยค่ะ เพราะ หนังค่อนข้างยาว กินเวลากว่าสองชั่วโมง และไม่ได้สนุกตลอดทั้งเรื่อง จำได้ว่ากดข้ามเยอะพอสมควร ซึ่งจริงๆทำให้เราพลาดจุดสำคัญบางจุดไป อย่างไรก็ตาม การมานั่งเขียนสปอย ทำให้เราได้ไตร่ตรองสิ่งที่หนังเรื่องนี้ตั้งใจจะสื่อได้อย่างถี่ถ้วนขึ้น รวมทั้งได้เก็บประเด็นที่พลาดไปอีกด้วย

    สำหรับตัวเรานั้น ถ้าย้อนกลับไป ก็คงจะไม่เลือกดูเรื่องนี้ค่ะ เพราะ เวลาของเรามีค่อนข้างจำกัด แต่ก็ไม่ได้เสียใจที่เลือกดูนะ จึงเป็นที่มาของการเขียนคอนเทนต์นี้ นั่นเอง 

    _____________________________________________________________________________________________________

    คำเตือน จากจุดนี้ไปเราจะเริ่มสปอยแบบหมดทุกมุกทุกมุมของหนัง
    หากผู้อ่านยังอยากรับชมหนังเรื่องนี้ด้วยความคาดหวัง กรุณาเลื่อนผ่านไป

    หนังจะฉายภาพระหว่างปัจจุบัน และอดีตเมื่อห้าปีก่อน สลับกันไปมา แม้จะงงๆเล็กน้อยในช่วงแรก 
    แต่โดยรวมแล้ว ช่วยสร้างความสงสัย ชวนติดตาม(นิดหน่อย) และคลายปมไปทีละเรื่องได้ค่อนข้างดี
    _____________________________________________________________________________________________________

    Now

    เปิดเรื่องด้วย มาโลรี่ สั่งเด็กทั้งสองคน ไม่ให้ถอดผ้าปิดตาเด็ดขาด ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเป็นฉากที่เราเห็นกันใน trailor แต่สิ่งที่เป็นจุดสำคัญของเรื่อง คือ กล้องฉายให้เราเห็นว่า มาโลรี่เอานกใส่กล่องไปด้วย ทั้งๆที่สัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งที่ไม่เข้ากับสถานการณ์เสี่ยงชีวิตของเธอและเด็กทั้งสองอย่างมาก อย่างไรก็ตามการเดินทางกว่า 42ชั่วโมง ก็เริ่มต้นขึ้น

    ทั้งสามคนออกจากบ้านไปลงเรือพายลำน้อย ด้วยการคลำไปตามเชือก (ที่ตอนแรกเราก็สงสัยว่า มองไม่เห็นแล้วใครสร้างเอาไว้กันนะ?) ในที่สุด ทั้งสามก็ลงเรือไปถึงแม่น้ำได้สำเร็จ

    สิ่งที่น่าสงสัย คือ มาโลรี่ใช้วิธีการนับก้าว แสดงว่า ต้องคุ้นชินเส้นทางเป็นอย่างดี แต่กระนั้นก็มีสะดุดบ้าง ล้มบ้าง และเธอดูเร่งรีบอย่างมาก แม้จะไม่มีใครตามมา
    _____________________________________________________________________________________________________

    FIVE YEARS EALIER

    มาโลรี่กำลังวาดภาพอยู่ในสตูดิโอของตัวเอง พร้อมสนทนากับเจสสิก้า(พี่สาว) ผู้เป็นสัตวแพทย์ 
    จากบทสนทนา เราเดาว่า นางเอกน่าจะมีปัญหาหรือรู้สึกอึดอัดในการพบปะผู้คน และชอบที่จะอยู่คนเดียว ในTV ฉายข่าวเหตุการณ์ความไม่สงบ กลุ่มคนคลุ้มคลั่ง ในเอเชียและยุโรป ซึ่งเจสสิก้าดูค่อนข้างกังวลกับเรื่องนี้ ในขณะที่มาโลรี่ไม่รู้สึกเช่นนั้น

    หลังจากนั้น หนังก็ตัดภาพมาที่โรงพยาบาล และหว่างทางเดินไปห้องตรวจ กล้องโฟกัสที่ผู้หญิงในชุดแดงคนหนึ่ง กำลังคุยโทรศัพท์ แต่ก็ไม่มีอะไรให้น่าสงสัย ทั้งสองคนเดินผ่านเธอไป

    วันนี้ มาโลรี่มาทำอัลตราซาวและคุณหมอก็ได้มอบคู่มือการอุปการะบุตรให้กับเธอ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับมาโลรี่ในการตัดสินใจเรื่องลูกของเธอ

    เจสสิก้าออกมาก่อนเพื่อไปเอารถมารับ ทุกอย่างดูปกติ จนกระทั่งมาโลรี่ตามออกมา เธอพบผู้หญิงในชุดแดงคนเดิมกำลังเอาหัวโขกกระจก ดวงตาของเธอได้เปลี่ยนไป...

    มาโลรี่รีบวิ่งไปขึ้นรถ และบอกเจสสิก้าถึงสถานการณ์ร้ายที่ได้คืบคลานมาถึงอเมริกาแล้ว บนท้องถนนเต็มไปด้วยความปั่นป่วน และสุดท้ายเจสสิก้าก็มองเห็นสิ่งนั้น... ดวงตาของเธอเปลี่ยนไป เจสสิก้าเริ่มสูญเสียการควบคุม และในที่สุดรถก็คว่ำ

    ทั้งสองคนรอดชีวิตจากเหตุรถคว่ำ แต่เมื่อเจสสิก้าคลานออกมา เธอเดินไปที่ถนนและยืนให้รถชน เป็นภาพอันเลวร้ายสำหรับมาโลรี่ อย่างไรก็ตาม ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นต่อ มาโลรี่วิ่งไปตามถนนและขอความช่วยเหลือ มีผู้หญิงคนหนึ่งออกจากบ้านมาช่วยมาโลรี่ แต่ผู้หญิงคนนั้นมองเห็นบางอย่างและไม่รอด

    ขณะนี้ ทั้งเมืองติดอยู่ในภาวะวิกฤต การออกมาข้างนอกบ้าน หมายถึง ความตาย ข่าวเตือนมิให้ผู้คนออกมาข้างนอก รวมทั้ง SNS ก็เป็นอันตราย

    บ้านที่รับมาโลรี่เข้าไป เป็นบ้านของ Mr.ดักกลาส และที่บ้านหลังนี้เอง หนังแสดงให้ผู้ชมเห็นถึงธาตุแท้อันแตกต่างของคนในยามวิกฤต 

    สมาชิกแรกเริ่มเดิมทีของบ้านนี้ (ซึ่งเราจำชื่อไม่ได้ทั้งหมด) ประกอบด้วย Mr.ดักกลาส, Old man, Nanny, Tom ทหารผ่านศึกอิรัก, ชาร์ลีย์ พนักงานซูเปอร์มาร์เก็ต, Lucy ตำรวจฝึกหัด(ญ) และ Felix วัยรุ่นหัวทอง(ช) เมื่อรวม เมโลรี่ ก็จะมีสมาชิกทั้งหมด 8 คน

    ทั้งหมดตัดสินใจปิดม่าน ตัดขาดจาดโลกภายนอก แต่แล้วก็มีเสียงเคาะประตู เกิดการกโต้เถียกันอย่างรุณแรงระหว่างทอมและold man แต่มาโลรี่เอาปืนมาขู่ ทำให้ old man ต้องยอมให้ทอมเปิดประตู    โดยสมาชิกใหม่เป็นหญิงท้องแก่ ชื่อ โอลิมเปีย ซึ่งเป็นคนที่ดูแล้วจิตใจอ่อนโยนและมีความเสียสละอยู่

    ผ่านไปได้ระยะหนึ่ง อาหารใกล้หมด แต่จะออกไปข้างนอกก็ไม่ได้ เพราะ เปิดตาไม่ได้ ดักกลาสจึงเสนอให้ใช้กล้องวงจรปิดที่ติดอยู่รอบบ้าน เพื่อสำรวจความเป็นไปข้างนอก ซึ่งสมาชิกหลายคนก็คัดค้านว่า การมองผ่านตัวกลางก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย แต่ดักกลาสพร้อมจะเสียสละ โชคร้ายที่ เจ้าสิ่งนั้นสามารถติดต่อผ่านตัวกลางและพรากชีวิตของดักกลาส ผู้เปี่ยมด้วยเมตตาและเสียสละไป ในที่สุด
    _____________________________________________________________________________________________________

    Now


    มาโลรี่พายเรือไปได้สักพัก ก็มีเสียงผู้ชายตะโกนว่า ต้องการความช่วยเหลือรึเปล่า? ถอดผ้าปิดตาออกก็ได้นะ แต่มาโลรี่สั่งให้เด็กๆหมอบลง และเตรียมป้องกันตัว

    หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีชายคนหนึ่ง(ปิดตาเช่นกัน) เข้ามาและพยายามจะแย่งปืนไปจากมาโลรี่ ทั้งคู่ปะทะกัน แต่แล้วผ้าปิดตาของชายคนนั้นก็หลุดออก เขามองเห็นสิ่งนั้น และพยายามจะถอดผ้าปิดตาของ มาโลรี่ แต่มาโลรี่สามารถป้องกันตัวเองไว้ได้ ประโยคสุดท้ายของชายคนนั้น คือ 'It shall cleanse the world (มันจะชำระล้างโลก)'
    _____________________________________________________________________________________________________

    FIVE YEARS EALIER

    ปัญหาขาดแคลนอาหารยังไม่ถูกแก้ไข ในขณะที่ทุกคนกำลังเข้าสู่ภาวะตึงเครียด ชาร์ลีย์ก็พูดขึ้นมาว่า เขาได้ล็อกประตูซูเปอร์มาร์เก็ตไว้ แต่ชาร์ลีย์ปฏิเสธที่จะออกไปนอกบ้าน และมอบกุญแจให้แทน

    ชาร์ลีย์เชื่อเรื่องวันสิ้นโลก เค้าเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจะล้างโลก นั่นทำให้เขายิ่งตื่นตระหนก แต่สุดท้าย มาโลรี่ก็กล่อมให้เขาไปได้สำเร็จ

    ในฉากนี้ จะเห็นธาตุแท้ของมนุษย์ได้ชัดเจน ผู้หญิงท้องแก่ อย่างโอลิมเปียอาสาที่จะออกไปหาเสบียง ในขณะที่ ชายวัยรุ่นที่ยังแข็งแรง และผู้รู้ทางอย่างชาร์ลีย์ กลับเห็นแก่ตัวกลัวตาย ซึ่งความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องผิด แต่เราก็ยังคิดว่า มันควรมีจิตสำนึกบ้างแหละนะ

    เมื่อตกลงกันได้แล้วว่าใครจะออกไปหาเสบียง คำถามถัดมาก็คือ จะออกไปอย่างไร? ทอมเสนอขึ้นให้ทาสีกระจกรถทั้งหมดและขับตาม GPS ซึ่งวิธีนี้ใช้ได้ผลทีเดียว

    โดยส่วนตัวคิดว่า ฉากบนรถค่อนข้างน่ารำคาญชาร์ลีย์อย่างมาก แหกปากตลอดเวลา ตัดๆไปบ้างน่าจะดีกว่านี้

    เมื่อไปถึงซุปเปอร์มาร์เก็ต old man ก็พูดขึ้นมาว่า เราสามารถอยู่ที่นี่ได้ (ซึ่งหมายความว่า จะทิ้งกลุ่มที่อยู่ที่บ้าน) แต่มาโลรี่ตอบว่า เราไม่ใช่พวกสารเลวเสียหน่อย (ในหนังใช้คำว่า asshole)

    มาโลรี่ตัดสินใจนำนก จากซุปเปอร์ฯ กลับไปด้วย และ'birds' นี้เองได้เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ทำให้นางเอกของเรารอดชีวิตในตอนท้าย

    ขณะที่เหตุการณ์เหมือนจะสงบ ก็มีเสียงเคาะประตู เพื่อนพนักงานของชาร์ลีย์นั่นเอง อีกครั้งที่ทอมเป็นตัวแทนในการเปิดประตู แต่การเปิดประตูเพื่อช่วยเหลือเพื่อนครั้งนี้กลับนำมาซึ่งความสูญเสีย

    เพื่อนของชาร์ลีย์ถูกกลุ่มอะไรสักอย่าง(เหมือนฝูงซอมบี้)ไล่ล่า และพยายามจะเข้ามา พวกเขาจะพยายามปิดประตู แต่ก็ไม่สามารถต้านแรงได้ ชาร์ลีย์ตัดสินใจวิ่งดันเพื่อนออกไป และประตูก็ปิดลง พวกเขาสูญเสียชาร์ลีย์ไปตลอดกาล

    ทีมหาเสบียงที่เหลือ (มาโลรี่ ทอม old man และ Lucy) ก็เดินทางกลับถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ แต่ความวัวไม่ทันหาย ความควายก็เข้ามาแทรก... ในคืนนั้น LucyและFelix ขโมยรถ และหนีออกไปกันสองคน

    _____________________________________________________________________________________________________

    Now
    24 Hours on the river

    เรือของมาโลรี่ชนเข้าเข้ากับซากรถ ทำให้ boy ตกลงไปในน้ำ! boy แม้จะช่วย boy ไว้ได้ แต่พวกเขาสูญเสียผ้าห่มและเสบียงอาหารทั้งหมดไป (เวลาคุยกับเด็กๆ มาโลรี่จะใช้ผ้าห่มคลุม แล้วจึงเปิดตา)

    หลายคนอาจจะสงสัยว่า มาโลรี่ท้องลูกแฝดหรือ? และทำไมถึงเรียกเด็กว่า boy and girl มาจนถึงตอนนี้ หนังก็ยังไม่เฉลยค่ะ แต่เราจะสปอยล์ให้ก่อน :)

    boy เป็นลูกของมาโลรี่ และ girl เป็นลูกของโอลิมเปีย (โอลิมเปียหายไปไหนนั้น ต้องติดตามต่อไป) 
    ส่วนการที่ไม่ตั้งชื่อเด็กนั้น หนังไม่ได้เฉลย แต่เราคิดว่า เพราะ ไม่มีชื่อเรียกจะทำให้ปลอดภัยมากขึ้น

    มาโลรี่ได้ยินเสียงบางอย่าง และเอาเรือเข้าฝั่ง เธอสั่งให้เด็กๆหมอบอยู่บนเรือ แล้วจึงเดินขึ้นฝั่งไปหาเสบียง โชคร้าย girl ไม่ฟังที่มาโลรี่สั่ง และเดินขึ้นฝั่งไป มีบางอย่างลากตัว girl ไปกับพื้น แต่เด็กไม่ยักร้องนะ แต่มาโลรี่ช่วยไว้ได้ พร้อมกำชับอีกครั้งว่า แม้ว่าเธอจะมีปัญหาก็ห้ามออกไปช่วยเธอเด็ดขาด จากนั้นทั้งสามก็ออกจากฝั่งไป (เด็กหน้าตาน่ารักมาก แต่บททำให้หนูดูน่ารำคาญเสียจริง)

    เมื่อดูมาจนถึงครึ่งเรื่อง จะสังเกตได้ว่า girl ดูกลัวๆมาโลรี่ และไม่ได้คิดว่าเธอเป็นแม่ นอกจากนี้จะเห็นได้ว่า เด็กทั้งสอง ไม่ได้เรียก มาโลรี่ว่า mom แต่เรียก มาโลรี่ ตลอด
    _____________________________________________________________________________________________________

    FIVE YEARS EALIER

    ทอมเล่าให้มาโลรี่ฟังเกี่ยวกับประสบการณ์ที่อิรัก มาโลรี่ให้ทอมจับท้องดู ทั้งสองดูพึ่งพิงกันและกัน (ดูเริ่มมีsomething กันน่ะ)

    ภาพตัดไปที่ ปัจจุบัน มาโลรี่และเด็ก หลับบนเรือ และไม่ยินเสียงวิทยุ จากนั้นก็ตัดกลับมาที่อดีต มาโลรี่กำลังพยายามติดต่อโลกภายนอกด้วยวิทยุสื่อสาร เธอก็สังเกตความผิดปกติที่ประตู

    ปราศจากความเห็นชอบของสมาชิก โอลิมเปียเปิดให้ชายแปลกหน้าเข้ามาในบ้าน ตาของเขายังปกติ พร้อมทั้งบอกเล่า เรื่องราวของกลุ่มคนจากทางเหนือที่สามารถอยู่ภายนอกได้ โดยไม่ต้องใช้ผ้าปิดตา พวกมันตามล่าเขา

    old man เอาปืนมาขู่ให้ชายผู้มาใหม่ (Gary) ออกไป หรือไม่งั้น ใครเห็นด้วยี่จะรับชายคนนี้ ก็ต้องออกจากบ้านไป เพื่อแก้ปัญหานี้ nanny (ผู้ถนอมตัวมาตลอด) เอาแจกันฟาดหัว old man และทอมก็เอา old man ไปขังไว้ที่โรงรถ

    ในคืนนั้น โอลิมเปียบอกกับมาโลรี่ว่า เธอเปิดประตู เพราะ เธอก็เคยมีความรู้สึกเดียวกันตอนอยู่ข้างนอก ไม่มีใครเปิดประตูให้เธอ จนมาถึงบ้านดักกลาส จากนั้น มาโลรี่ได้มอบของขวัญให้โอลิมเปีย ให้โอลิมเปียมอบให้ลูกสาวของเธอ ซึ่งก็คือ พวงกุญแจตุ๊กตาคิตตี้ ที่ห้อยอยู่บนกระเป๋าของ girl นั่นเอง นอกจากนี้ โอลิมเปียได้ขอให้มาโลรี่สัญญากับเธอว่า หากเธอเป็นอะไรไป ให้มาโลรี่ช่วยดูแลลูกของเธอด้วย ราวกับว่า จะรู้ว่าเหตุการณ์อันตรายกำลังจะเกิด แม้จะกระอักกระอ่วน สุดท้ายมาโลรี่ก็ตอบรับ
    _____________________________________________________________________________________________________

    Now
    38 Hours on the river

    กระแสน้ำเชี่ยวแรงขึ้น มาโลรี่ตัดสินใจประชุมอีกครั้ง เธอพูดกับเด็กทั้งสองว่า เมื่อเราไปถึงจุดที่น้ำเชี่ยวสุด หนึ่งในพวกเธอสองคนจะต้องเป็นคนมอง เพราะ ถ้ามาโลรี่มอง พวกเราจะไม่รอด ซึ่งก็ไม่เป็นที่แปลกใจว่า boy อาสาจะทำเอง แต่มาโลรี่กลับตอบว่า ถึงตอนนั้น เธอจะตัดสินใจเองว่าใครจะเป็นคนมอง

    ในมุมมองของเรา แวบแรกที่คิด คือ มาโลรี่ไม่ยอมให้ลูกตัวเองเสียสละแน่ และ girl เองก็เหมือนจะคิดว่า คงต้องเป็นเธอ ที่จะต้องเป็นคนมอง
    _____________________________________________________________________________________________________

    FIVE YEARS EALIER

    โอลิมเปียเจ็บท้องและกำลังจะคลอด ทุกคนวิ่งไปช่วยโอลิมเปีย ฝั่งมาโลรี่ก็เช่นกัน เธอเริ่มเจ็บท้อง ทอมรีบเข้ามาดูมาโลรี่ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาอันเหมาเจาะ ชายผู้มาใหม่สบโอกาส เขาเปิดเพลง เก็บของ จับนกใส่ตู้เย็น และกำลังเริ่มทำการบางอย่าง...

    ตอนนี้มีเพียง old man ที่ถูกขังอยู่ในโรงรถ ที่เห็นว่า Gary กำลังพยายามเปิดม่าน และลอกกระดาษที่ปิดหน้าต่างอยู่ออก

    ทอมลงมาได้ทันและวิ่งไปขัดขวาง Gary แต่ไม่ทันการณ์ ทอมถูกตีสลบไป Gary เดินกลับมาที่โรงรถ เขากดเปิดประตูโรงรถ และได้เผยสีตาที่แท้จริงออกมา (สีตาของคนปกติ ที่มองเห็นสิ่งนั้น จะเริ่มมีเส้นเลือดดำๆ แต่ของ Gary ตาเป็นสีเขียว)

    Gary เดินกลับมาที่ชั้นบน เขามองลูกของโอลิมเปียที่เพิ่งคลอด และพูด 'Thank you' (ซึ่งเราคาดว่า คงเป็นลัทธิอะไรสักอย่าง) จากนั้นก็ลอกกระดาษที่ปิดห้าต่างอยู่หมด และบังคับให้ผู้ใหญ่มองข้างนอก นางเอกกำลังวิกฤต Gary สั่งให้นางเอกมอบลูกให้เขา แต่ old man เข้ามาขวางไว้ทัน พวกเขาประทะกัน old man ถูกกรรไกรแทงตาย แต่โชคยังเข้าข้าง ทอมที่สลบ รู้สึกตัวและคว้าปืนมายิง Gary ได้ทัน
    _____________________________________________________________________________________________________

    Now

    มาโลรี่และทอม ย้ายมาอยู่บ้านอื่น พวกเขารักและใช้ชีวิตด้วยกัน เด็กทั้งสองเติบโตขึ้น แต่ชีวิตก็ไม่ได้ต่างจากเดิมมากนัก พวกเขายังต้องผลัดกันออกไปหาเสบียงในบางครั้ง รวมทั้งสอนเด็กๆให้หัดฟังเสียงด้วย

    วันหนึ่งขณะมาโลรี่กลับจากหาเสบียง เธอได้ยินเสียงดริฟรถ ราวกับว่าไม่ได้ปิดตา และคิดว่า ต้องเป็นพวกเดียวกับ Gary อย่างแน่นอน

    กลางดึก ขณะที่เด็กๆกำลังหลับ มาโลรี่คุยกับทอมว่า จะให้กระดิ่งไว้กับเด็กๆ เป็นสัญญาณเตือนภัย และแล้ว ยามรุ่งก็มาถึง เสีงวิทยุสื่อสาร(เครื่องเดิม)ดังขึ้น

    เจ้าของปลายสาย คือ ริก ริกกล่าวว่า เขามีสถานที่และผู้คนจำนวนหนึ่ง อยู่ปลายแม่น้ำ ริกถามที่อยู่ของทอม รวมทั้งคำถามสำคัญ ' พวกคุณมีเด็กด้วยมั้ย?' ซึ่งนั่นทำให้มาโลรี่กลัว แต่ทอมตอบว่า 'ไม่' ริกให้เหตุผลว่า ทางเร็วสุดที่จะมาถึงสถานที่ของเขา คือ ลงเรือมาตามแม่น้ำ การมีเด็กเดินทางด้วยเป็นเรื่องยาก ซึ่ง girl ตื่นและได้ยินพอดีจ้า (ก็ว่าละว่าทำไมตานางดูมีเลศนัย)

    ริกบอกพวกเขาว่า เมื่อมาถึงจุดที่น้ำเชี่ยว ซึ่งเป็นจุดที่อันตรายที่สุด ริกเสียพวกของเขาบางคนไป ดังนั้น หนึ่งในสี่จะต้องเป็นคนมอง และเมื่อมาถึงปลายน้ำ ทอมจะหาพวกเขาเจอด้วยการตามเสียงนก

    บ่ายวันนั้น ขณะทอมและมาโลรี่กำลังรดน้ำต้นไม้ พวกเขาเถียงกันเรื่องริก มาโลี่ไม่เห็นด้วย เธอกลัวว่า ริกจะเป็นพวกเดียวกับ Gary แต่ทอมกลับเห็นต่าง

    คืนนั้น ทอมเล่าเรื่องในวัยเด็กของเขาให้เด็กๆฟัง (อารมณ์แต่งเรื่อง เพื่อโยงเข้าเรื่องเรือ) ราวกับวาดฝันให้เด็กๆ แต่ยังไม่ทันจบ เจ้มาโลรี่ก็เข้ามาขัดเสียก่อน และไล่เด็กไปนอน

    หลังจากส่งเด็กๆเข้านอน ทั้งสองมีปากเสียงกันอีกครั้ง เราชอบประโยคที่ทอมพูดว่า ' Surviving is not living' มันทำให้เห็นความต่างของมุมมองจริงๆ ต่างจากทอมมีชีวิตด้วยความหวังว่าจะได้ใช้ชีวิต มาโลรี่พยายามเพื่อเอาชีวิตรอด


    วันต่อมา พวกเขาเดินทางไปบ้านหลังอื่น โดยพาเด็กๆไปด้วย ระหว่างที่กำลัง enjoy ความสุขเล็กๆจากขนม มาโลรี่ก็ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ ทันใดนั้น ก็มีเสียงปืนตามมา กระสุนพุ่งทะลุหน้าต่าง!

    ทอมสั่งให้มาโลรี่พาเด็กๆกลับไปบ้าน และถ้าเขาไม่ตามกลับไปภายใน 15 นาที ให้เธอและเด็กทั้งสองลงเรือไปทันที ซึ่งแน่นอน มาโลรี่ปฏิเสธที่จะทิ้งทอมไว้ แต่สิ่งที่เขาบอกเธอ คือ 'I love you so much.' และมอบเครื่องรางที่ได้จากอิรักให้เธอ และสั่งให้ 'Go!' ทันที

    ทอมออกมาเปิดประตูหน้า พวกนั้นมากันประมาณ 5 คน และพยายามโน้มน้ามให้ทอมถอดผ้าปิดตาออก ขณะที่ผู้หญิงที่ยืนหน้าสุด กำลังจะใช่ไม้มีตะขอ เกี่ยวผ้าของทอม ผู้ชายวัยกลางคน (ที่น่าจะเป็นหัวหน้า) ก็หันไปเห็นมาโลรี่และเด็กๆ ทำให้ทอมตัดสินใจยิงทันที แม้เขาจะกำจัดไปได้ 2 คน แต่ก็ถูกยิงเข้าที่สีข้างและผ้าปิดตาก็เป็นอุปสรรคมากเต็มที...

    ทอมตัดสินใจถอดผ้าปิดตาออก เขาสามารถกำจัดพวกที่เหลือได้ แต่สุดท้าย เขาก็มองสิ่งนั้น... (หนังไม่เฉลย แต่เราว่าถ้าตาที่ชาร์ลีย์พูด บวกกับกลุ่มคนที่ตามล่าลูกนางเอก สิ่งนั้นก็คงเป็น devil แหละ)

    ด้วยความเสียสละของทอม (พ่อคนดี ศรีสยาม เสียสละมาทั้งเรื่อง) มาโลรี่และเด็ก ก็รอดชีวิตมาลงเรือ โดยสวัสดิภาพ

    _____________________________________________________________________________________________________

    Now
    42 Hours on the river


    เรือใกล้ถึงจุดที่น้ำเชี่ยวแล้ว มาโลรี่จำต้องเลือกว่า เด็กคนไหน จะเป็นคนมอง และภาพความทรงจำต่างๆตัดเข้ามา มาโลรี่ตัดสินใจว่า จะไม่มีใครต้องมอง

    เมื่อมาถึงจุดนั้น กระแสน้ำเชี่ยวและเต็มไปด้วยโขดหิน เรือคว่ำลง ทุกคนตกลงไปในแม่น้ำ มาโลรี่โผล่พ้นน้ำ (พร้อมผ้าปิดตาที่ยังไม่หลุด) ตะโกนเรียก boy and girl

    เด็กชายตะโกนเรียกชื่อเธอ ทำให้มาโลรี่ว่ายน้ำตามเสียงไปช่วยเด็กชายที่เกาะโขดหินอยู่ จากนั้น เธอตะโกนเรียก girl ด้านเด็กหญิง ที่ลอยไปติดฝั่ง เมื่อได้ยิน เด็กผู้หญิงจึงสั่นกระดิ่ง สุดท้ายทั้งสามก็ผ่านไปได้ และเริ่มเดินเข้าฝั่งไป

    สิ่งที่น่าคิดอยู่ตรงที่ เมื่อเกิดวิกฤต เด็กชายตะโกนเรียกชื่อ มาโลรี่ ทันที ทำให้แอบคิดไม่ได้ว่า สะท้อนถึงสันชาตญาณของลูกนก ที่ร้องเรียกแม่ยามมีภัย ในทางกลับกัน เด็กหญิงกลับไม่ทำเช่นนั้น เธอปลอดภัยอยู่บนฝั่ง ไม่ร้องเรียกมาโลรี่ และไม่สั่นกระดิ่ง จนกระทั่งมาโลรี่ตะโกนเรียกหาเธอ

    ทั้งสามเดินลึกเข้าไปในป่า เริ่มแรก มาโลรี่ ได้ยินเสียงกระซิบของ เจสสิก้า พี่สาวของเธอ ' I'm here.' ตามด้วยเสียงผู้ชาย 'Look at me.' ต้องขอบคุณจิตใจที่เข้มแข็ง มาโลรี่ไม่ลังเลและผ่านไปได้

    ในความคิดของเรา เหตุการณ์ข้างต้นอุปมาดั่ง เสียงกระซิบจากปิศาจที่มาเพื่อทดสอบจิตใจของเรา

    จากนั้น มาโลรี่สะดุดขอนไม้ กลิ้งลงทางชันไป เธอสลบไปสักพัก...

    เสียงเด็กชายตะโกนเรียก(อีกเช่นเคย) ปลุกเธอให้ฟื้น ครั้งนี้ เสียงกระซิบบอกให้มาโลรี่เปิดตา แต่มาโลรี่พยายามลุกขึ้น และเริ่มตามหาเด็กทั้งสอง ครั้งนี้ มีเสียงกระดิ่ง...

    เห็นได้ชัดว่า เด็กชายยังคงเดินอยู่ที่เดิม หนูน้อยทำตามคำสั่งได้อย่างดีเยี่ยม แต่แล้วเสียงกระซิบก็เริ่มทำงานของมัน พยายามล่อลวงให้เด็กชายถอดผ้าปิดตาออก เด็กชายถามกลับไปว่า 'It's safe?' ขณะเดียวกัน มาโลรี่ ก็ตะโกนบอกว่า นั่นไม่ใช่เสียงของเธอ

    ฝั่งด้านเด็กหญิง ที่เดินออกนอกเส้นทางไปเรื่อยๆ พร้อม bird box ก็เริ่มได้ยินเสียงกระซิบแบบเดียวกัน นกในกล่องเริ่มส่งเสียงเตือนภัย

    ภาพตัดมาที่ มาโลรี่ เธอยังคงตะโกนเรียกหาเด็กทั้งสอง พร้อมสั่งให้สั่นกระดิ่งต่อ ซึ่งทำให้เราทราบว่า เสียงกระดิ่งที่ได้ยินทีแรกนั้น เป็นของเด็กชาย

    มาโลรี่เข้าไปช่วย boy ไว้ได้ทัน และตามหา girl ต่อในทันที ซึ่งแสดงให้เห็นว่า เธอก็เป็นห่วงเด็กหญิงไม่แพ้กัน ทันใดนั้น เด็กชายก็พูดขึ้นมาว่า 'She's scared of you.' นั่น ทำให้มาโลรี่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดทันที เธอตะโกนขอโทษ เธอไม่น่าดุจนเกินไป และเล่า(แต่ง)เรื่องที่ทอมยังเล่าไม่จบต่อ ในที่สุด girl ที่กำลังจะเปิดผ้าปิดตาก็ตัดสินใจกลับมาหามาโลรี่

    โดยส่วนตัวแอบรำคาญ girl มาก Why are you so stupid และอกตัญญู ได้ขนาดนี้อ่ะ! นอกจากนี้ เรายังเชียร์ให้เปิดผ้าไปเลย อยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น 5555

    เมื่อครบองค์สาม ขั้นต่อไปก็คือ ตามเสียงนก แต่เสียงอื้ออึดังก้องไปหมด... แต่พระเจ้าทรงโปรด ในที่สุด มาโลรี่ก็ได้ยินเสียงนก (เป็นเสียงนกคล้ายเวลาเตือนภัย) เธอจึงรีบตามเสียงนั้นไป ขณะที่ยิ่งเข้าใกล้จุดหมาย ลมก็กรรโชกแรงมากขึ้น

    ในที่สุด มาโลรี่ก็มาถึงประตู เธอพยายามเคาะประตูและบอกว่าเธอมีเด็กมาด้วย เธอมาตามที่ริกบอก แต่ก็ยังไม่มีใครเปิด ทันใดนั้น เสียงของทอมก็ดังขึ้น 'Look at me.' ทำให้ด็กหญิงเริ่มกลัว...

    มาโลรี่ตัดสินใจตะโกนว่า okay งั้นพวกคุณแค่ช่วยรับเด็กไป สักพัก ประตูก็เปิดออก พวกเขาขอดูตาของเธอและตามด้วยเด็กๆ เมื่อพบว่าเธอโอเค ใครสักคนเรียกริก และริกจึงบอกให้มาโลรี่เดินตามเขาไป

    สิ่งแรกที่มาโลรี่เปิดผ้าออกและเห็น คือ ป้ายโรงเรียนคนตาบอด ใช่แล้วค่ะ ที่นี่ คือ โรงเรียนคนตาบอด พวกเขารอดชีวิต เพราะ พวกเขาตาบอด แต่ก็มีบางส่วนที่เป็นคนปกติ 

    ริกพามาโลรี่ไปยังห้องหนึ่ง คล้ายประตูสู่สวน เป็นที่ๆทุกคนมารวมกัน ที่นี่ ทุกคนใช้ชีวิตอย่างสันติ ภาพฉายขึ้นไปยังเพดานกระจก ที่ปกคลุมด้วยต้นไม้ พร้อมเหล่านกที่เลี้ยงไว้อย่างอิสระ ซึ่งจะทำหน้าที่เตือนภัยให้คนที่ตาปกติ มาโลรี่ตัดสินใจปล่อยให้นกที่เธอพามาด้วยโบยบินไปรวมกับเพื่อนๆของมันอย่างอิสระ

    ทันใดนั้น ผู้หญิงคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทักเธอ ผู้หญิงคนดังกล่าง คือ คุณหมอ Lapham สูตินารีแพทย์ที่ดูแลครรภ์ให้เธอนั่นเอง คุณหมอถามชื่อของเด็กๆทั้งสอง แต่เด็กตอบว่า 'Girl' 'Boy' (คุณหมอหน้าเสียเลยจ้า คือ คุณหมอก็รู้ปัญหาของมาโลรี่อยู่อ่าเนอะ)

    จู่ๆ มาโลรี่ก็พูดขึ้นมาว่า จริงๆแล้ว Girl ชื่อ โอลิมเปีย ชื่อเหมือน sweetest girl I ever met. ส่วน Boy ชื่อ ทอม และ ฉันเป็นแม่ของเด็กทั้งสองคน จากนั้น คุณหมอก็พาเด็กๆไปเล่นกันเพื่อนๆ 

    ภาพตัดจบที่ นางเอกมองขึ้นไปที่ท้องฟ้า (ที่มีต้นไม้คลุม) แลัวยิ้ม :)

    - จบบริบูรณ์ -
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in