“แกรู้อะไรมั้ย นกฮัมมิ่งเบิร์ดน่ะ ถึงจะเห็นตัวเล็กน่ารัก ดูดกินน้ำหวานจากดอกไม้ แต่มันหวงเขตแดนของมันมากนะ และถ้าใครก้าวล้ำเขตแดน มันก็พร้อมที่จะสู้สุดชีวิต เพราะงี้แหละ เทพเจ้าสงครามของชาวแอซเทคถึงชื่อว่าฮัมมิ่งเบิร์ด” อัฐสาธยาย
ผมไม่ค่อยอยากจะเชื่อข้อมูลของอัฐเท่าไหร่ มันดูเพ้อเจ้อเหลือเกิน “ฮัมมิ่งเบิร์ดเนี่ยนะ”
“ฮัมมิ่งเบิร์ดเนี่ยแหละ ชื่อภาษาแอซเทคเรียกอะไรจำไม่ได้ แต่แปลว่าฮัมมิ่งเบิร์ด” มันสูดหายใจลึกเรียกกำลัง
“ฉะนั้นแก๊งเราก็ต้องชื่อฮัมมิ่งเบิร์ด”
“ชื่อน่ารักจังวะ” ผมตอบ
ผมกับอัฐเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก เกเรกันทั้งคู่ และเราก็รู้ตัวว่าเราเกเร แต่อัฐมันกร้านกว่าผมนิดหน่อย มันเลยมักเป็นฝ่ายชวนผมทำโน่นทำนี่ตลอด เราใช้พลังงานวัยรุ่นของเราอย่างคึกคะนอง ฮัมมิ่งเบิร์ดของเราดุร้ายและตัวใหญ่กว่านกตัวไหน เรามีเพลงประจำแก๊งที่อัดกันในโรงรถบ้านผม เนื้อหาด่าทอครูม.ต้น เสียงกลองเสียงกีต้าร์ถูกเล่นอย่างลวก ๆ ไม่เน้นความไพเราะ แต่เน้นที่ความรู้สึก ความโกรธ ความรุนแรงในการเล่น เราทั้งคู่ตั้งเพลงนี้เป็นริงโทน
เมื่อถึงวันปัจฉิมนิเทศ ในระหว่างที่ผู้อำนวยการให้โอวาทกับพวกเรา ริงโทนเจ้ากรรมก็ดังขึ้น ทำเอาเหล่าครูที่มีชื่ออยู่ในนั้นทำหน้าไม่จืด ไม่เว้นแม้แต่ผู้อำนวยการ เรานี้ดังไปทั่วโรงเรียน ดังออกไปจนถึงหูผู้ปกครอง ครูปกครองเรียกเราสองคนและเชิญพ่อแม่เราเข้าไปพบ ฟังเทศนาเสียยืดยาว แล้วถูกสั่งห้ามใช้เพลงนี้อีก แน่นอนว่าเราไม่เลิก และชีวิตม.ต้นของเราก็จบเห่อย่างเป็นทางการ
พ่อแม่ของเราถึงกับทนไม่ไหว และพร้อมใจกันแยกเราสองคนไปเรียนคนละโรงเรียน แต่ให้ตายเราก็ไม่ยอม ผมกับอัฐ เราผูกพันกันด้วยจิตวิญญาณ แยกออกจากกันไม่ได้หรอก เราหนีไปอยู่ด้วยกันในเพิงเล็ก ๆ เสียสามวัน ให้พ่อแม่พอร้อนใจแล้วง้อให้เรากลับบ้าน สุดท้ายเราก็ได้เรียนโรงเรียนเดียวกันแต่เป็นโรงเรียนที่ขึ้นชื่อเรื่องกฎระเบียบที่เข้มงวดมาก และบทลงโทษก็รุนแรงอย่างกับกฎหมายฮัมมูราบีแต่กฎเหล็กของโรงเรียนกลับไร้สาระสิ้นดี
ห้ามใครอยู่ในโรงเรียนเกินกว่าหกโมงเย็น
ข้อแรก ใครมันจะไปอยากอยู่โรงเรียนตั้งดึกขนาดนั้น
ข้อที่สอง ถึงแม้จะสั่งห้าม แต่ครูฝ่ายปกครองก็มักจะแหกกฎเรียกนักเรียนที่ทำผิดกฎมาคุยตอนหกโมงเย็น
และเราก็มีเรื่องให้ต้องได้ท้าทายกฎเหล็กกันแต่แรกเข้า เมื่อครูได้ยินเสียงริงโทนของอัฐ (อีกแล้ว) และเรียกตัวไปคุยที่ห้องปกครองตอนหกโมงเย็น
เช้าวันต่อมาผมพบสภาพอัฐดูซูบเซียวลงไปมาก สายตาก็ดูล่อกแล่ก ไม่เหมือนเพื่อนคนเก่า พอถามว่าครูปกครองทำอะไรไปบ้าง มันก็ไม่บอก ทำหน้าหวาดกลัวสุดขีดแล้วเดินหายไป เฉย ๆ มันไม่เคยขี้กลัวขนาดนี้ ไม่เคยเดินหนีไป ปล่อยผมไว้คนเดียว เหมือนมันไม่ใช่อัฐ เหมือนครูปกครองเปลี่ยนมันเป็นคนอื่น เป็นเหมือนนักเรียนคนอื่น ๆ ที่พบเห็นได้ในโรงเรียนนี้ ขี้ขลาดและหวาดกลัวไม่ใช่อัฐที่กล้าและกร้านอย่างที่ผมชื่นชมตลอดมา อัฐกลายเป็นพวกมัน เป็นเพื่อนของพวกมัน ไม่ใช่เพื่อนคนเก่งของผมอีกต่อไปแล้ว
ผมสังเกตว่าวันนี้อัฐไม่แม้แต่จะหยิบโทรศัพท์มาเล่นเลย ผมซักไซ้มันแทบตายกว่าจะรู้ว่ามันถูกยึดโทรศัพท์ไป ผมเลยตั้งใจว่าเย็นนี้จะกลับไปเอามาคืน โดยผมจะทำเป็นลืมล็อคหน้าต่างห้องแล็บวิทยาศาสตร์ ที่อยู่ในตึกเดียวกันกับห้องปกครอง และห้องผอ. จากนั้นก่อนหกโมงเล็กน้อย ผมจะเดินออกจากโรงเรียน แล้ววกกลับมาปีนกำแพงเข้ามาในโรงเรียนอีกทีหนึ่ง แอบเข้าตึกทางห้องแล็บ เพราะประตูตึกจะถูกล็อกลงกุญแจในเวลานั้น แต่ประตูอื่น ๆ จะไม่ล็อก เพราะประตูใหญ่ถูกล็อกไปแล้ว ไม่จำเป็นต้องล็อกประตูอื่นอีก
“อย่าไปเลย มันผิดกฎ” อัฐพูด ในขณะที่ผมพยายามปีนข้ามรั้วโรงเรียนอย่างทุลักทุเล ผมแทบไม่เชื่อหูตัวเอง ไม่คิดว่าชีวิตนี้ผมจะได้ยินคำพูดนี้จากปากมัน
สิ้นเสียงเพลงชาติ ทุกอย่างเงียบสนิท เงียบเหมือนตาย ดวงอาทิตย์สาดท้องฟ้าด้วยสีเลือด ผมปีนกำแพงสำเร็จ เข้าตึกทางหน้าต่างแล็บวิทยาศาสตร์ตามที่วางแผนเอาไว้ ผมเดินผ่านหลอดทดลอง โหลดอง และโครงกระดูก ออกจากห้องแล็บก็ตรงไปที่ห้องปกครอง ในห้อง ทุกอย่างเป็นระเบียบเหมือนไม่มีคนอยู่ ผมเริ่มค้นห้อง หามือถือของอัฐ แต่สิ่งที่ผิดแผนคือ ครูปกครองกลับพานักเรียนคนหนึ่งเข้ามาผมรีบหลบไปซ่อนตัวอยู่หลังโซฟา ที่อยู่ตรงข้ามโต๊ะครู ไม่ใช่ที่ซ่อนที่ดีเลย จริง ๆ แต่โชคดีที่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“เธอรู้ใช่ไหมว่าโรงเรียนเรามีเป้ของโรงเรียน” ครูถาม
“ครับ”
“แต่เธอก็ยังสะพายเป้ของที่อื่นมา”
“มันไม่มีกฎข้อไหนบอกนี่ครับว่าให้ใช้แต่เป้ของโรงเรียนเท่านั้น” นักเรียนคนนั้นเถียง
“ใช่ มันไม่มี แต่เธอก็เห็นไม่ใช่หรือว่าเพื่อนของเธอใช้เป้ของโรงเรียนกันทั้งนั้น ไม่มีใครใช้กระเป๋าแฟชั่น เพราะพวกเขารักและภูมิใจในการเป็นนักเรียนโรงเรียนเรา เธอไม่รักโรงเรียนเราหรือ ไม่ใช้เป้โรงเรียน”
“ผมว่ามันไม่เห็นจะเกี่ยวกันตรงไหนเลยครับครู ผมรักโรงเรียนผมก็ไปแข่งวิชาการ สร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนมากมาย แค่นั้นยังไม่พออีกเหรอครับ”
“เรื่องสร้างชื่อเสียงให้กับโรงเรียนก็เรื่องนึง แต่ตอนนี้เธอกำลังทำให้โรงเรียนเสียภาพลักษณ์ เธอทำลายความเป็นระเบียบเรียบร้อยของโรงเรียนเรา”
“ผมแค่เปลี่ยนเป้ก็พอแล้วใช่ไหมครับ” ครูถอนหายใจ
“ครูเองก็ไม่อยากลงโทษเธอหรอกนะ แต่เรื่องนี้มันให้อภัยกันไม่ได้ แล้วผอ. ก็สั่งมาถึงครูโดยตรง”
ทันทีที่พูดจบประตูบานหนึ่งเปิดออก มันเป็นประตูเชื่อมระหว่างห้องปกครองกับห้องผอ. แล้วก็มีใคร – หรือตัวอะไร เดินเข้ามา
มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่รูปร่างเป็นคน ตัวสูงสักสองเมตรได้ ร่างกายเปลือยเปล่าและผอมแห้ง มีเพียงขนนกสีเขียวอ่อนปกคลุมร่างกาย ขนมันดูรุ่ยร่าย ร่วงหล่นลงพื้นตลอดทางที่มันเดินออกมา ปากของมันเป็นจะงอยเรียวยาว จะงอยปากของนกฮัมมิ่งเบิร์ด!
“ช่วยทำให้เด็กคนนี้เห็นทางสว่างด้วยค่ะ” ครูพูดด้วยใบหน้าที่เฉยชาที่สุด
มันเดินจ้ำมาคว้าคอเด็กคนนั้นไว้ด้วยมือเดียว ยกเขาขึ้นสูงจากพื้น เขาดิ้นพราด ๆ อยู่กลางอากาศ มันค่อย ๆ แหย่จะงอยปากของมันเข้าไปในปากของเด็กคนนั้น ลึกเข้า ลึกเข้า ลึกเข้าไปเรื่อย ๆจนสุด ร่างเขานูนออกจนเห็นได้ว่าจะงอยปากมันลงลึกไปถึงกระเพาะ ผมได้ยินเสียงดูดอย่างรุนแรงจากข้างในร่างเด็กหนุ่ม เหมือนสัตว์ประหลาดนั่นกำลังดูดอะไรบางอย่างออกจากร่างเขา ซึ่งนึกได้ไม่ยากเลยว่าดูดอะไรออกไป น่าขยะแขยงที่สุด
ร่างของเขาถูกสูบจนซูบหมดแรงจะขยับเขยื้อน สัตว์ประหลาดนั่นค่อย ๆ ดึงจะงอยปากออกมาจากร่างเด็กทีละนิดทีละนิด จนหลุดออก มันทิ้งร่างเขาลงกับพื้นอย่างไม่ใยดี
“ช่วยแบกเขาไปหน้าโรงเรียนด้วยค่ะ”ครูพูดกับมันอย่างนบนอบ
มันยกร่างเด็กนั่นพาดไว้บนไหล่และเดินออกไปครูเดินตามไปติด ๆ และปิดประตู
เรื่องนี้มันเกินกว่าที่จะเป็นการลงโทษธรรมดาแล้วจู่ ๆ ก็มีสัตว์ประหลาดมาทำร้ายนักเรียน และครูก็เห็นดีเห็นงามด้วย ผมถ่ายวีดิโอเหตุการณ์ทั้งหมด ซ่อนตัวอย่างเงียบเชียบรอคอยเวลาที่จะเคลื่อนไหวอีกครั้ง เมื่อทุกอย่างกลับไปอยู่ในความสงบ ผมจึงหาโทรศัพท์ของอัฐต่อ จากนั้นจะได้รีบออกจากโรงเรียน นำเรื่องนี้ไปบอกพ่อแม่หรือตำรวจ หรือนักข่าว ต้องมีคนรู้เรื่องนี้
โลกต้องรู้เรื่องนี้!
ผมลองโทรเข้ามือถืออัฐยืนนิ่งอยู่ในความเงียบงัน สักครู่ก็มีเสียงดังขึ้น
เสียงเพลงที่เราสองคนแต่งด้วยกัน แต่มันไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ได้อยู่ในห้องนี้ ดังมาจากห้องผอ. ผมค่อย ๆ ย่องเข้าไปในห้องนั้น เดินไปตามเสียง ที่ตอนนี้แน่ชัดแล้วว่ามันดังมาจากฝ้าเพดานห้องผอ. ภายในห้องมีบันไดให้ปีนขึ้นไปบนฝ้าด้วย ผมไม่เคยรู้มาก่อนว่ามีสิ่งนี้อยู่ ห้องผอ. คือดินแดนลึกลับสำหรับนักเรียนอย่างเรา ๆ ผมค่อย ๆ ปีนขึ้นไป ห้องใต้หลังคามืดสนิท มีเพียงแสงสลัวจากโทรศัพท์ที่ดังอยู่ที่นี่มีกลิ่นอวลของขี้นก อึดอัด อบอ้าว ในห้องมีรังนกขนาดใหญ่รังหนึ่งรูปทรงเหมือนถ้วยมันทำมาจากเศษผ้า หรือเศษขนสัตว์ต่าง ๆ โทรศัพท์ส่งเสียงออกมาจากรังนั้น ผมคลำทางไปที่รังเรื่อย ๆ จนเกือบถึงแต่แล้วก็มีแรงมือหนัก ๆ คว้าไหล่ผมเอาไว้!
มนุษย์นก! มันลากผมลงจากห้องใต้หลังคา ฟาดผมลงกับพื้น ใช้แรงมืออันหนักหน่วงกดร่างผมไว้ ดิ้นอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด ตอนนั้นเองที่ผมเห็นได้ถนัดตาว่ามันเป็นมนุษย์นกนี้เป็นคนละตัวกับตัวก่อนหน้าเพราะมันสวมชุดนักเรียนอยู่ ชื่อที่ปักอยู่บนเสื้อก็เป็นชื่อที่คุ้นเคยผมเคยเรียกชื่อนี้อย่างมีความสุขมาตลอด แต่ตอนนี้มันกำลังจะทำในสิ่งที่ผมหวาดกลัวที่สุด
มันรีบสอดจะงอยปากเข้ามาในปากผมอย่างตะกละตะกราม ผมรู้สึกเหมือนท่อเล็กยาวแทงตรงจากปากไปถึงกระเพาะอาหารอย่างรวดเร็ว ผมสำลักแรงเสียบนั่นแทบสำรอกออกมา หลังจากนั้นมันก็ดูดเอาอะไรสักอย่างที่จับต้องไม่ได้ออกไปจากผม อาจเป็นพลังงาน จิตวิญญาณ สติสัมปชัญญะ หรือความมุ่งมั่น ผมรู้สึกเหมือนวิญญาณผมค่อย ๆ เลือนหายไป ผมแทบไม่รับรู้ถึงแรงดูดของมัน แรงมือของมัน ผมพอจะรับรู้ได้ว่าครูปกครองกลับมาครูพูดอะไรบางอย่าง แต่ผมฟังไม่ได้ศัพท์ สิ่งเดียวที่ผมทำได้คือนึกถึงอดีต คำพูดของอัฐหวนคืนมาอีกครั้ง ดังก้องอยู่ในหัว
“แกรู้อะไรมั้ย นกฮัมมิ่งเบิร์ดน่ะ ถึงจะเห็นตัวเล็กน่ารัก ดูดกินน้ำหวานจากดอกไม้ แต่มันหวงเขตแดนของมันมากนะ และถ้าใครก้าวล้ำเขตแดน มันก็พร้อมที่จะสู้สุดชีวิต เพราะงี้แหละ เทพเจ้าสงครามของชาวแอซเทคถึงชื่อว่าฮัมมิ่งเบิร์ด”
ข้อเขียนนี้เป็นส่วนหนึ่งในหนังสือ “เขียนเล่นเป็นเรื่อง” รวมผลงานสร้างสรรค์ของนิสิตภาควิชาภาษาไทย ซึ่งเป็นผลงานลำดับที่ 3 ในหนังสือชุด “วิชญมาลา” รวมผลงานด้านภาษาและวรรณคดีไทย จัดทำโดย ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2563
อ่านฉบับ E-book ได้ที่ Meb
หมายเหตุเกี่ยวกับงานเขียน:
ได้รับคัดเลือกในการประกวดเรื่องสั้นในหัวข้อ “สัตว์ประหลาด” ของ Facebook Fanpage เขียนไหม ระหว่างวันที่ 3 มกราคม – 31 มีนาคม 2562
ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียน:
ธีสุวรรณ ปิติภากร ศิษย์เก่าภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยปัจจุบันเป็น Content Creator สนใจวรรณกรรมภาพยนตร์ เกม ฯลฯ
ภาพประกอบ: ณิชา เวชพานิช บรรณาธิการต้นฉบับ: หัตถกาญจน์ อารีศิลป กองบรรณาธิการ: ธัญวรัตม์ วงศ์เรือง บุษกร บุษปธำรง วรนุช ขาวเกตุ
ธีรศักดิ์ คงวัฒนานนท์ จุฬารัตน์ กุหลาบ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in