เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เขียนเล่นเป็นเรื่องอ่าน-คิด-เขียน
หนี


  •   เมื่อเสียงหนึ่งดังเข้ามาใกล้ สองเท้ายิ่งต้องวิ่งต่อ วิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด ก่อนที่ มันจะตามมาทัน             ท่ามกลางความมืดมิดของรัตติกาล ขณะที่ทุกคนกำลังหลับใหล หล่อนสาวเท้าเร็ว ๆ เพื่อให้ไกลจากที่ที่หล่อนจากมา ไกลจากบางสิ่งที่หล่อนนึกกลัวว่ามันจะตามมาทัน ลลิลเลี้ยวไปตามตรอกซอยเล็ก ๆอย่างชำนาญ ด้วยว่าหล่อนอาศัยอยู่แถวนี้นานเกือบสิบปี ทุกซอกซอยหล่อนเข้าออกหมด รู้ว่าตรงนั้นเป็นอะไร เป็นร้านอาหาร เป็นซอยทะลุ เป็นทางตัน รู้ว่าแถวนี้มีอะไรดี ร้านอาหารอะไรอร่อยชานมไข่มุก ขนมปังปิ้ง น้ำแข็งไสเจ้าดังที่คิวยาวไกลกว่าสองเมตร         คนกระจุกหน้าร้านยามดึก ราวกับหนอนแมลงวันยั้วเยี้ย หล่อนยังรู้อีกว่าร้านเสริมสวยร้านไหนดี ร้านถ่ายเอกสารต่าง ๆ ที่หล่อนใช้บริการเป็นประจำ                                                                                                                                                            สถานที่ที่หล่อนนึกถึงเป็นอันดับแรกหลังจากออกจากที่พักมาคือบ้านเดิมของหล่อน หล่อนจะต้องกลับบ้านให้เร็วที่สุด แม้ว่าจะต้องเดินเท้าก็ตาม ขณะนี้ตัวหล่อนเองก็คงจะเดินมาไกลจากหอพักเก่า คงห่างจากพวกนั้นพอสมควร เพราะไม่ได้ยินเสียงนั้นตามมาแล้ว หล่อนมาหยุดยืนอยู่ที่หน้า ร้านเสริมสวยรุจิรา ซาลอนร้านดีร้านดังในย่านนี้ ราคาหลักพัน แต่ได้ความสวยหลักแสน ร้านนี้ปกติเป็นตึกคูหาเล็ก ๆในซอยที่หล่อนยืนอยู่ ตัวร้านค่อนข้างเก่าไม่มีการตกแต่งอะไรมากมาย ราวกับจะเน้นที่ฝีมือช่างอย่างเดียว แต่หล่อนไม่ได้มานานหรือเหตุใดไม่ทราบ ร้านที่ดูเก่าทึบนั้น บัดนี้เปลี่ยนเป็นร้านเสริมสวยขนาดใหญ่ ตกแต่งอย่างหรูหรา ไฟประดับนับสิบดวง สปอตไลต์ส่องที่ป้ายชื่อร้าน ดูเป็นร้านราคาแพง หล่อนมองเข้าไปข้างในไฟปิดสนิททุกดวง แต่แสงสว่างจากข้างนอกยังพอให้มองเห็นอยู่บ้าง ข้างในร้านกว้างขวางขึ้น ที่นั่งรอของลูกค้าเป็นสัดส่วน พื้นปูด้วยกระเบื้องลายหินอ่อนอย่างดี กระจกเสริมสวยก็บานใหญ่กว่าเดิม มีกรอบฉลุลายดอกไม้อ่อนหวานราวกับของมีชีวิต ถ้าไม่เห็นด้วยตาตนเองลลิลคงไม่มีทางเชื่อเป็นแน่ คงจะต้องนึกว่าเป็นภาพมายา มิใช่ของจริง หล่อนยืนพินิจร้านอยู่สักพักก็ก้มมองนาฬิกาข้อมือ ตีสองแล้ว ชั่วโมงกว่าที่หญิงสาววิ่งหนีจากที่นั่น แต่ทำไมกันทำไมยังมาได้ไม่ไกลนัก ทั้ง ๆ ที่ความรู้สึกนั้นไกลหนักหนา ทันทีทันใดนั้นเสียงที่หล่อนนึกกลัวก็เริ่มดังขึ้น มันเข้ามาใกล้แล้ว ทางเดียวที่หล่อนจะรอดคือหนี หนีเท่านั้น                                                                                                                                             ไวเท่าความคิด สองเท้าก็พาหล่อนวิ่งหนีต่อไป เสียงฝีเท้าหล่อนเบากริบ เหมือนแมวย่องนับเป็นข้อดีที่อย่างน้อยพวกนั้นไม่มีทางจับเสียงฝีเท้าได้ ลลิลพาตัวเองออกมาจากซอยเล็ก ข้างหน้าหล่อนคือถนนใหญ่ น่าแปลกที่ไม่มีรถผ่านแม้สักคันเดียว ตามปกติแล้วถนนใหญ่สายนี้แม้จะดึกสักแค่ไหนก็ต้องมีรถผ่านตลอด ถึงจะไม่มากมายเหมือนยามสายก็ตาม หล่อนต้องเดินข้ามถนนไปฝั่งนู้น ปกติแล้วหญิงสาวใช้สะพานลอยตรงนี้ก็มีสะพานลอยรออยู่ ลลิลลังเลใจด้วยไม่มีรถเลย จะปีนขึ้นสะพานลอยที่สูงชันให้เหนื่อยไปทำไมกัน ข้ามตรงพื้นถนนนี่แหละดีแล้ว                                                                                              แต่สุดท้ายเธอก็เลือกข้ามสะพานลอยด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ควรประมาท ไม่มีรถก็จริง แต่ตอนข้ามอาจจะมีรถโผล่มาจากไหนก็ได้ แล้วถ้าโดนชน คงจะตายอนาถ แถมยังเพิ่มภาระให้กับคนขับรถอีก ทั้ง ๆ ที่ความผิดทั้งหมดนั้นเกิดจากตนเอง ว่าแล้วก็เดินขึ้นสะพานลอยอย่างรวดเร็วก่อนที่สิ่งที่เธอกลัวจะตามมาทัน                                                                                                                                                            หญิงสาววิ่งลงสะพานลอยเกือบจะสะดุดล้มหลายที เท้าทั้งสองข้างยังพาวิ่งไปเรื่อย ๆ  จนเริ่มรู้สึกเหนื่อย ลลิลหยุดพักหายใจตรงตรอกเล็ก ๆ พร้อมกับหวนรำลึกถึงคำของแม่ ก่อนที่เธอจะออกจากบ้านมา เพื่อตามความฝัน                                                                                                                                       ที่สวนหลังบ้าน ต้นไม้ขึ้นเต็มอุดมสมบูรณ์ด้วยฝีมือของมารดา ผู้ที่รักการดูแลและปลูกต้นไม้เป็นชีวิตจิตใจ ทำให้บ้านร่มเย็นด้วยพรรณไม้นานาชนิด ทั้งไม้ยืนต้น ไม้ล้มลุก ดอกไม้จากต้นไม้ใหญ่ส่งกลิ่นหอยรวยริน ทั้งพิกุล จำปี จำปา ดอกปีป พุดซ้อน มณฑากรรณิการ์ ที่บ้านยังมีโอ่งบัวขนาดใหญ่ ดอกบัวหลวงสีชมพูเข้ม บัวฝรั่งสีเหลืองอ่อน บัวนิลุบลสีน้ำเงินเข้ม บัวทั้งหลายต่างเบ่งบานรับแสงแดด ในสวนใหญ่นี้มีโต๊ะหินอ่อนตั้งอยู่ใต้ร่มไม้                                                                                                                       “บนโลกนี้ เราจะโกหกใครก็ได้แต่เราไม่สามารถโกหกตัวเองได้                                                                บนโลกนี้ เราหนีอะไรก็แล้วแต่ แต่เราหนีความจริงไม่ได้หรอก                                                               วิธีเดียวที่จะรับมือกับมัน คือยอมรับมันมารดาของหล่อนพูดกับหล่อนขณะมือที่เริ่มเหี่ยวย่นนั้นกำลังพลิกหน้าหนังสือนวนิยายเล่มบางไปมา เหมือนแค่เปิดผ่าน มากกว่าจะอ่านจริง ๆ จัง ๆ                          ในวันนั้นลลิลไม่ได้เข้าใจและไม่ใส่ใจคำกล่าวนั้น แต่วันนี้มันกลับมาอยู่ในหัว ราวกับจะย้ำเตือนหล่อนให้หยุดหนี แต่หล่อนรู้ว่าตัวเองทำไม่ได้ ไม่เช่นนั้น ชีวิตที่หล่อนวาดฝันไว้ทั้งหมด จะต้องภินท์พังลงมา สิ่งที่หล่อนคาดหวังไว้คงจะสลายหายไป หล่อนยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้เด็ดขาด นึกแล้วก็เริ่มมีกำลังใจวิ่งต่อ ชีวิตไม่สิ้น ก็ต้องดิ้นต่อไป                                                                                                             หญิงสาวเลี้ยวซ้ายเข้าตรอกที่ตนยืนอยู่วิ่งตรงไปเรื่อย ๆ ไม่สนใจสิ่งใด ๆ แม้กระทั่งสุนัขที่กำลังหลับสนิท โชคดีจนถึงขั้นแปลกใจที่มันไม่ตื่นมาไล่เห่าให้คนแตกตื่นแล้วเดี๋ยวเขาก็จะหาว่าเธอเป็นขโมยกันหมด สุดซอยข้างหน้ามีซอกหลืบแคบให้เลี้ยวขวา หากคนนอกที่เดินเข้ามาในตรอกนี้ ก็คงจะไม่สังเกต เพราะหากสังเกตก็คงคิดว่ามันจะต้องเป็นทางตัน แต่ไม่ใช่ เมื่อเดินไปตามเส้นทางแคบ ๆ ก็จะทะลุอีกซอยซึ่งอยู่ถัดจากตรอกนี้ไปห้าร้อยเมตร ซอยนั้นเป็นทีตั้งของร้านขนมหวานที่หล่อนชอบ ชาไทยแสนอร่อย รสชาติเข้มถึงใจ ที่เสิร์ฟพร้อมขนมปังเนย-นม-น้ำตาล ที่หากรับประทานบ่อย ๆ คงจะเกิดโรคได้                                                                                                                                                                เกิดเรื่องแปลกอีกเช่นกันเพราะร้านนี้ปกติแล้วตกแต่งดูดีเหมาะสมกับเป็นร้านคาเฟ่สมัยใหม่สไตล์มินิมอล แต่มาเห็นครั้งนี้กลับเปลี่ยนไป ร้านที่เธอชอบตอนนี้กลับกลายเป็นร้านที่ไม่ได้ตกแต่งอะไรเลย เมื่อมองจากกระจกเข้าไปจะเห็นตัวร้านว่างเปล่าพื้นเป็นพื้นปูนเรียบ ๆ เก้าอี้เป็นเก้าอี้พลาสติกสีแดง โต๊ะเป็นโต๊ะเหล็กธรรมดา ไม่ได้ประดับตกแต่งแต่อย่างใด                                                                                    หรือร้านจะเปลี่ยนแนวก็ไม่รู้นะ…” ลลิลรำพึงกับตัวเองเบา ๆ                                                         เสียงสวบสาบเหมือนเสียงคนเดินดังขึ้นมาใกล้ๆ ที่ลลิลยืนอยู่ หล่อนจึงหยุดพิจารณากับความเปลี่ยนแปลงของร้านแล้วรีบวิ่งต่อรองเท้าผ้าใบสีขาวเปื้อนน้ำขังบนถนนที่เกิดจากฝนตก เมื่อวานเย็น  ลลิลไม่สนใจจะดูความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่รีบก้าวต่อไป ต่อให้เสียงนั้นมันจะไม่ใช่เสียงที่เธอหนีมาก็ตามความเหนื่อยหอบจากการวิ่งหนีทั้งคืนเข้ามาครอบคลุม ตอนนี้สี่นาฬิกาแล้ว อีกไม่นานคงจะเช้า แล้วพอพระอาทิตย์ขึ้น มันก็จะตามหาหล่อนเจอ ลลิลรู้ตัวว่าต้องรีบหนี หนีไปให้ไกล และเร็วที่สุด หากถึงบ้านก่อนจะเช้าก็คงจะดี แต่มันคงเป็นไปไม่ได้ ในเมื่ออีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าแสงอรุณจะสาดส่อง หล่อนไม่ชอบความสว่างแม้สักนิด ผิดกับผู้คนมากมายที่ชอบความสว่างไม่ชอบความมืด เมื่อเป็นเช่นนี้ลลิลจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีก หล่อนเดินลงสะพานใหญ่ที่มีที่สำหรับคนเดินอยู่แคบ ๆ หลังจากนั้นลลิลก็ลงบันไดเล็ก ๆ เป็นเส้นทางที่ติดกับคลองขนาดใหญ่เดินไปวิ่งไปสลับกัน หยุดหอบบ้าง วิ่งเร็วบ้าง ต้องไปถึงจุดหมายให้เร็วที่สุด เหงื่อชุ่มเสื้อยืดเป็นวงกว้าง หากในยามปกติตอนกลางวันหล่อนคงจะใส่ใจกับมันมากพอสมควร และคงจะไม่ยอมให้มันชุ่มขนาดนี้ เพราะมันจะดูไม่งาม มือเรียวปัดเม็ดเหงื่อที่กำลังจะไหลเข้าตา ต้องกำจัดก่อนที่มันจะสัมผัสดวงตา ก่อนที่จะทำให้ตาของหล่อนแสบจนลืมแทบไม่ขึ้น แม้แต่กลิ่นเน่าของน้ำในคลองที่เต็มไปด้วยขยะก็ไม่สามารถหยุดยั้งความเร็วของเธอได้                                                 “หึลลิลสะดุ้งสุดตัวด้วยกลัวว่าจะเป็นเสียงของพวกมัน แต่ท้ายสุดเธอก็ระลึกได้ว่ามันคือเสียงของตัวเธอเองที่ดังขึ้นท่ามกลางความสงัด นี่เธอคงจะกลัวจนประสาทหลอนไปเลยละมั้ง  หรือเสียงนั้นที่มาจากตัวเองพยายามจะบอกให้เธอ ยอมยอมรับว่าเธอคงหนีมันไม่พ้น                                                                   ไม่มีทางหญิงสาวบ่นเบา ๆ พร้อมกับสั่นหัวราวจะสลัดความคิดพ่ายแพ้ให้ออกไป                                  พอมาถึงสุดทางเดินเลียบคลองแล้วหล่อนก็เดินขึ้นบันไดเล็ก ๆ แถวนั้น เลี้ยวซ้ายไปตามซอกเล็ก ๆ จากนั้นจึงเลี้ยวขวา สภาพบ้านเรือนเริ่มคุ้นตา แม้จะไม่ได้มาเยือนนาน แต่หล่อนก็ยังพอจำได้ มันคือบริเวณบ้านเดิมของหล่อน การได้เห็นภาพเช่นนี้ทำให้ใจชื้นยิ่งขึ้น มีกำลังใจในการเดินต่อ                                 สองข้างทางบนซอยที่ลลิลเดินเต็มไปด้วยบ้านเรือน คล้ายหมู่บ้านจัดสรร ตัวบ้านแต่ละบ้านมีการออกแบบที่แตกต่างกันไปตามใจผู้อยู่อาศัย บางบ้านก็เป็นแบบยุโรป บางบ้านเป็นเรือนขนมปังขิง บางบ้านมีการยกใต้ถุนสูงทำทรงคล้ายเรือนไทย ทุกบ้านเป็นสัดส่วน สวยงามแตกต่างแต่เข้ากันได้ไม่ขัดตาทุกบ้านล้วนมีไม้ใหญ่ประดับทำให้ร่มรื่น เสียงนกส่งเสียงเจื้อยแจ้วเตือนให้ลลิลรู้ว่าใกล้เช้าแล้ว ใกล้เวลาที่พวกปักษาทั้งหลายจะออกหากิน เช่นเดียวกับคน มันคงจะเป็นเวลาที่ผู้คนเริ่มตื่นจากนิทราเตรียมพร้อมจะออกไปทำหน้าที่ของอาชีพตน ลลิลเดินมาถึงซอยสิบก็เลี้ยวเข้าไปบ้านของหล่อนอยู่สุดซอย หันหน้าออกข้างนอก เป็นบ้านที่สังเกตได้ง่าย โดดเด่นและใหญ่ที่สุดในซอย                                                            ในที่สุดลลิลก็เดินมาถึงรั้วบ้านของตน แต่ไม่ใช่! มันเป็นเพียงภาพลวงตาที่สร้างขึ้น ไม่ใช่ความจริง ภาพของบ้านที่หล่อนเห็นกลับกลายเป็นกำแพงทึบหนา หล่อนโดนพวกมันหลอก   พร้อมกันนั้นเองเสียงร้องแหลมอันคุ้นหู เสียงอีกเสียงหนึ่งที่หล่อนพยายามหลีกหนีก็ดังขึ้น มันยิ่งกรีดร้องดังขึ้นทุกขณะพร้อม ๆ กับฟ้าสาง หล่อนรำคาญมันเหลือเกิน และไม่อยากยอมรับว่าตนแพ้ตัวเธอคงหนีไม่พ้น                              เสียงนั้นดังขึ้นอีก                                                                                                                                      และดังขึ้นเรื่อยๆ                                                                                                                                      เป็นจังหวะ                                                                                                                                                มันคือเสียงของ                                                                                                                                                                                                                                                                                                        นาฬิกาปลุก…                                                                                                                            

                       

                                                                                                                                                    

    © สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ (ฉบับเพิ่มเติม) พ.ศ. 2558 เผยแพร่เพื่อประโยชน์ทางวิชาการเท่านั้น 


    ข้อเขียนนี้เป็นส่วนหนึ่งในหนังสือ “เขียนเล่นเป็นเรื่อง” รวมผลงานสร้างสรรค์ของนิสิตภาควิชาภาษาไทย ซึ่งเป็นผลงานลำดับที่ 3 ในหนังสือชุด “วิชญมาลา” รวมผลงานด้านภาษาและวรรณคดีไทย จัดทำโดย ภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2563 
    อ่านฉบับ E-book ได้ที่ .....


    ข้อมูลเกี่ยวกับผู้เขียน:      พรประทาน วงศ์วุฒิวัฒน์                                                                                                                         นิสิตชั้นปีที่ 1 ระดับปริญญาตรีภาควิชาภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์                                                       จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นิสิตทุนโครงการส่งเสริมพัฒนาสมรรถนะนิสิต                                                 ทางด้านศิลปะระดับชาตินานาชาติ มีความสนใจเพลงสุนทราภรณ์                                                           กับนิยาย หลายเล่ม                                                                                        ภาพประกอบ:                    ณิชา เวชพานิช                                                                          บรรณาธิการต้นฉบับ:       หัตถกาญจน์ อารีศิลป                                                                                    กองบรรณาธิการ:             ธัญวรัตม์ วงศ์เรือง  บุษกร บุษปธำรง  วรนุช ขาวเกตุ                                                                                ธีรศักดิ์ คงวัฒนานนท์  จุฬารัตน์ กุหลาบ  















เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in