เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เขียนเล่นเป็นเรื่องอ่าน-คิด-เขียน
จำ(เป็น)ต้องสงบ?
  • สงบ [สะหฺงบ] ก. ระงับ เช่น สงบจิตสงบใจ สงบสติอารมณ์ สงบศึก, หยุดนิ่ง เช่น คลื่นลมสงบ พายุสงบ, กลับเป็นปรกติเช่น เหตุการณ์สงบแล้ว, ปราศจากสิ่งรบกวน เช่น จิตใจสงบ,ไม่กำเริบ เช่น อาการไข้สงบลง ภูเขาไฟสงบ, ไม่วุ่นวายเช่น บ้านเมืองสงบปราศจากโจรผู้ร้าย. (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554)

    ความสงบคือสิ่งที่ใครๆ ก็ปรารถนาจะครอบครอง ความสงบมีทั้งที่เกิดขึ้นภายในและภายนอกตัวเรา ความสงบทำให้เราเป็นสุขทำให้เราสบายใจ ทำให้อะไร ๆ ดูจะราบรื่นไปเสียทุกอย่าง แค่มีใจที่สงบมีสิ่งแวดล้อมที่สงบ แค่นั้นก็ดูจะเป็นความสงบสุขสูงสุดในชีวิตคนคนหนึ่งแล้ว


    หากกล่าวว่าความสงบคือเป้าหมายสูงสุดในชีวิตก็คงไม่เป็นการกล่าวเกินจริงไปนัก

    นั่นจึงทำให้เราไขว่คว้าหาความสงบอยู่หลายต่อหลายครั้งเพียรพยายามสร้างความสงบจากภายในสู่ภายนอก บางทีก็เริ่มจากภายนอกสู่ภายใน จะวิธีการใดก็แล้วแต่ ขอเพียงความสงบเกิด อะไรต่าง ๆ ก็คงดีขึ้นเอง


    เรามักเชื่อเช่นนั้น

     

    .


    "ในตอนนั้นฉันนึกสงสัย
    ทำไมเราต้องหายใจตามที่ใครกำหนดด้วยนะ"


                คุณเคยรู้สึกจิตใจไม่สงบไหม คุณมีความคิดมากมายเกิดขึ้นอยู่ในหัว รู้สึกฟุ้งซ่านโมโห หงุดหงิดอารมณ์ หรืออาจมีเรื่องต่าง ๆ มารบกวนความคิดและจิตใจตลอดเวลาจนรู้สึกว่าไม่สามารถจัดการกับสภาพที่เป็นอยู่ได้


                แล้วคุณทำอย่างไรเมื่อเป็นอย่างนั้น


    ตั้งแต่ยังเด็ก ที่บ้านมักบอกให้ฉันนั่งสมาธิและสวดมนต์บ่อยๆ เพื่อให้มีสติรู้คิด เมื่อสติมาปัญญาก็จะเกิด และเมื่อถึงตอนนั้นฉันคงจะฉลาดขึ้น


    ฉันนั่งขาซ้ายทับขาขวาอย่างเชื่อฟังหลังยืดเหยียดตรง มือขวาทับมือซ้ายประสานไว้ที่หน้าตักคิดแล้วก็เป็นท่าที่ดูจะสง่างามไม่น้อยทีเดียว จากนั้นก็ค่อย ๆ หลับตากำหนดลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าให้ลึกและผ่อนลมหายใจออกช้า ๆบางครั้งก็กำหนดด้วยตัวเอง และก็มีบางครั้งที่ทำตามเสียงจากวิทยุธรรมะเสียงเนิบช้าพูดอย่างไม่รีบร้อน พุทธ...โธ...” ทุกอย่างดูช้าไปเสียหมดแม้กระทั่งจะหายใจ มันช้าจนปอดเล็ก ๆของฉันในตอนนั้นไม่สามารถเก็บลมไว้ได้มากพอ ก่อนจะหายใจออกในครั้งต่อไป ฉันหายใจออกก่อนเสียงจากวิทยุนั้น


    ในตอนนั้นฉันนึกสงสัยทำไมเราต้องหายใจตามที่ใครกำหนดด้วยนะ


    อา... ขาชาไปหมดแล้ว ปวดหลังด้วยแฮะรู้สึกไม่สบายสุด ๆ ไปเลย นี่เป็นการมีสติรู้คิดและรู้เท่าทันอาการทางร่างกายอย่างที่เขาบอกไว้หรือเปล่านะ

    แล้วนี่ฉันสงบหรือยัง


    ฉันอดสงสัยกับตัวเองเช่นนั้นไม่ได้

    .

    "คนที่สั่งให้เรานั่งสมาธิกลับไม่เคยรับรู้ความจริงข้อนี้เลย
    เขาไม่เคยรู้เลยว่าภายใต้ภาพรวมของความสงบที่เห็น
    มีแต่ความไม่สบายทั้งกายและใจที่ต้องจำยอมทำตาม..."

    มีคนเคยบอกไว้ว่าเมื่อเราหลับตาทำสมาธิ จิตใจเราจะรู้สึกสงบ ปลอดโปร่ง บางคนบอกว่าเห็นแสงสว่างรำไรในความมืดยามหลับตาบางคนก็บอกว่าหากนั่งได้นานพอจะรู้สึกราวกับตัวเราลอยได้


    แต่ฉันกลับรู้สึกเวียนหัว ถ้าจะรู้สึกลอยคงเหมือนลอยคว้างอยู่ในอวกาศที่ไร้แรงโน้มถ่วงมากกว่าหลังที่พยายามเหยียดให้ตรงโอนไปเอนมา กลัวเหลือเกินว่าจะดูตลกในสายตาคนอื่น อีกทั้งภาพที่เห็นในหัวคือความมืดที่บีบอัดเข้ามาอย่างรุนแรง มันเป็นตะปุ่มตะป่ำ ยุบพองน่าขยะแขยง ฉันไม่เข้าใจว่าเกิดภาพเหล่านี้ได้อย่างไรและฉันไม่เคยคิดอยากจะเห็นมันเสียด้วยซ้ำ แต่ฉันก็ไม่สามารถลืมตาได้เพราะยังไม่ครบกำหนดเวลาทั้งที่เป็นร่างกายของตัวเองแท้ ๆ


    เมื่อโตขึ้นจนเข้าโรงเรียนก็มีบางครั้งที่ครูผู้สอนให้นั่งสมาธิก่อนเริ่มเรียนและก็มีอีกหลายครั้งที่โรงเรียนจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมศาสนาในเช้าวันหนึ่งของทุกสัปดาห์หลังจากเข้าแถวหน้าเสาธงเรียบร้อยแล้วจะมีการสวดมนต์ยาว สวดมนต์ทำนองสรภัญญะต่อด้วยนั่งสมาธิ ฉันหลับตาลงอย่างรู้หน้าที่ รอบด้านสนามพิธีหน้าเสาธงมีแต่ความเงียบสงบในขณะเดียวกันในใจฉันก็ร่ำร้องอยู่ภายใน เพราะแดดที่ส่องลงมานั้นช่างร้อนเหลือเกิน


    ทว่าคนที่สั่งให้เรานั่งสมาธิกลับไม่เคยรับรู้ความจริงข้อนี้เลย


    เขาไม่เคยรู้เลยว่าภายใต้ภาพรวมของความสงบที่เห็น มีแต่ความไม่สบายทั้งกายและใจที่ต้องจำยอมทำตามเพราะไม่อย่างนั้นจะโดนทำโทษต่อหน้าเพื่อนมากมาย ซึ่งคงไม่มีใครต้องการเช่นนั้น


    และแน่นอนว่าความสงบในใจที่แท้จริงก็ไม่มีเลยสักนิดเดียว


    หรือเป็นฉันที่เข้าใจผิดไปเองว่าการทำสมาธิอย่างที่เคยทำนั้นเป็นไปเพื่อความสงบในใจหาใช่ความสงบที่เปลือกนอกไม่


    แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันก็ยังอยากเลือกทางสู่ความสงบในแบบของตัวเองด้วยตัวเองอยู่ดี



    .


    "เรารักความสงบ และเพื่อให้สังคมมีแต่ความปกติสุขที่ยั่งยืนเราจึงร่วมกันทำสังคมให้อยู่ในสภาพที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เรียกว่า สงบ” มากที่สุด
    ว่าแต่...เรามองข้ามอะไรบางอย่างไปหรือเปล่านะ"


                จากภายในใจ ความสงบค่อย ๆขยายตัวออกมาข้างนอกใจเราทีละนิด... ทีละนิด...


    เมื่อใจเราเงียบสงบเราย่อมต้องการอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สงบเรียบร้อย การจะสร้างสังคมที่สงบสุขได้อย่างใจนั้นอย่างน้อยก็ต้องเริ่มจากคนใกล้ตัวก่อน


                เมื่อยังเด็กเรามักถูกสอนให้รู้จักสงบเสงี่ยมต่อผู้ใหญ่


                ความสงบเสงี่ยมดังกล่าวนั้นคือการรู้จักระงับกิริยาวาจาไม่พูด ไม่เถียง ไม่ทำตัวแข็งกระด้าง บางทียังอาจรวมไปถึงการแสดงออกที่ไม่ควรมากเกินไปแต่ควรเป็นไปโดยสงบเรียบร้อย และสงวนท่าที


    มีแนวความคิดหนึ่งที่ว่าผู้สงบคือผู้ที่มีจิตใจอันสูงส่งเป็นผู้ที่ถือว่าเป็นมนุษย์แล้ว เด็กที่สงบเสงี่ยมจึงมักได้รับคำชม ถูกมองว่าเป็นเด็กที่มีพัฒนาการที่ดีส่วนเด็กที่ไม่สงบก็มักถูกดูถูกดูแคลน ถูกรังเกียจ ถูกมองว่าเป็นผู้ไม่ปกติเป็นผู้มีปัญหา สร้างแต่ความเดือดร้อนอยู่ร่ำไป


    และพวกผู้มีปัญหาเหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็สมควรถูกทำให้หายไป ทำให้ไม่เป็นที่รับรู้ขอผู้อื่นในสังคมโดยไม่วิธีใดก็วิธีหนึ่งเพื่อให้สังคมที่อาศัยอยู่นั้นยังสามารถรักษาความสงบไว้ได้ และเพื่อไม่ให้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่คนอื่นๆ

     

    เรารักความสงบ และเพื่อให้สังคมมีแต่ความปกติสุขที่ยั่งยืนเราจึงร่วมกันทำสังคมให้อยู่ในสภาพที่ใกล้เคียงกับสิ่งที่เรียกว่า สงบมากที่สุด


    สังคมที่สงบคือสังคมที่ไร้ซึ่งปัญหาไร้ซึ่งความขัดแย้ง ความไม่ลงรอย ความรุนแรง รวมไปถึงสิ่งต่าง ๆที่ทำให้เกิดความรำคาญใจ นั่นจึงอาจเป็นเหตุผลที่เราได้รับการปลูกฝังให้เป็นไปอย่างที่คนส่วนใหญ่ในสังคมนิยมชมชอบเป็นผู้สงบเรียบร้อย เก็บความรู้สึก สงวนวาจา ไม่แสดงออก ไม่พูดบริภาษกล่าวโทษใช้ความสงบเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ที่เข้ามา ก้มหน้ารับสิ่งต่าง ๆ ไว้ด้วยใจและกายที่สงบ


    ถึงแม้ภายในใจเราจวนเจียนจะรับไม่ไหวเต็มทีก็ไม่เป็นไร ขอเพียงใจเราสงบไว้ก่อนแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง แล้วปัญหาจะไม่กลายเป็นปัญหาอีกต่อไปแล้วสังคมที่เราอยู่จะดีขึ้นตามลำดับเอง


    นี่เป็นการเริ่มต้นในขั้นแรก


    แต่หากปลูกฝังค่านิยมให้คนรักสงบก็แล้วส่งเสริมให้คนประพฤติตนอย่างสงบก็แล้ว ทว่าสังคมยังคงไม่สงบยังมีผู้ซึ่งเป็นต้นเหตุก่อความไม่สงบขึ้นมาได้ สิ่งที่ต้องทำก็แค่ควบคุมอย่างตรงจุดให้มันสงบเสียง่ายแค่นี้เอง


    และแล้วกฎหมาย ระเบียบวินัย ข้อบังคับต่าง ๆ ก็ถูกบังคับใช้โดยเป็นไปเพื่อรักษาความสงบในสังคม


    ไม่ว่าต้นเหตุของความไม่สงบคืออะไร แต่แค่เพียงเรามีข้อกำหนดกฎหมายที่เข้มแข็งมีการตรวจตราที่ทั่วถึง เสียสละพื้นที่ส่วนตัวเพื่อความสงบของสังคมส่วนรวม มีการจัดการกับความไม่ปกติอันเป็นต้นเหตุความไม่สงบที่มีประสิทธิภาพแค่นั้นเราก็สามารถมีสังคมที่สงบเรียบร้อยได้แล้ว อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็แสนจะน้อยนิดเพียงยอมแลกความเป็นส่วนตัวนิดหน่อยเพื่อความสงบโดยรวม คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม


    จากนั้นหากมีผู้ส่งเสียงดังขัดขวางความสงบเรียบร้อย ผู้รับผิดชอบดูแลความสงบเรียบร้อยนั้นก็แค่จัดการคนผู้นั้นเสียยิ่งหากเรียกร้องถึงปัญหาต่าง ๆ อันนำมาซึ่งความไม่สงบ ก็ควบคุมดูแลคนผู้นั้นซึ่งเป็นสาเหตุของความไม่สงบนั้นเมื่อไม่มีคนที่จะคอยส่งเสียง ปัญหาก็จะไม่เกิด บ้านเมืองและสังคมก็จะสงบและทุกคนก็จะมีความสุข


    ว่าแต่...เรามองข้ามอะไรบางอย่างไปหรือเปล่านะ

    .


    "ความสงบเรียบร้อยอันเกิดจากการบังคับใช้กฎหมายเหล่านั้น
    ไม่ควรเป็นความสงบที่ผู้มีปัญหาถูกกดทับไว้ให้ไร้การเหลียวแล

    ไม่ควรเป็นความสงบที่ปัญหาไม่ถูกรับรู้และทำเหมือนไม่มีอยู่
    และยิ่งไม่ควรเป็นความสงบที่นำมาควบคุมกิริยาวาจา
    และการแสดงออกของเรา ให้ไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ได้อย่างเต็มที่"

    ในสังคมที่มีการอยู่ร่วมกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปกฎระเบียบและข้อตกลงร่วมกันย่อมมีความสำคัญเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขยิ่งเป็นสังคมใหญ่อย่างประเทศที่มากไปด้วยคนหลากความคิด หลายศาสนาพื้นเพที่ต่างกันกฎหมายที่บังคับใช้ร่วมกันจึงเป็นไปเพื่อความสงบเรียบร้อยเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน


    ทว่าความสงบเรียบร้อยอันเกิดจากการบังคับใช้กฎหมายเหล่านั้นไม่ควรเป็นความสงบที่ผู้มีปัญหาถูกกดทับไว้ให้ไร้การเหลียวแลไม่ควรเป็นความสงบที่ปัญหาไม่ถูกรับรู้และทำเหมือนไม่มีอยู่ และยิ่งไม่ควรเป็นความสงบที่นำมาควบคุมกิริยาวาจา และการแสดงออกของเรา ให้ไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ได้อย่างเต็มที่


    เพราะหากเป็นเช่นนั้นแล้วฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าจะสามารถเรียกสภาพดังกล่าวว่าเป็นความสงบได้อย่างเต็มปากนักในเมื่อภายนอกดูสงบ แต่ภายในคือการที่ความปั่นป่วนสืบเนื่องจากปัญหาต่าง ๆ ถูกทำให้สงบราบคาบ ไร้ร่องรอยของการปรากฏ


    แล้วคุณล่ะ เรียกมันว่าความสงบไหม


    .



         “เฮ้อ...อยู่ประเทศนี้แย่นะ หัวเราะก็ไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก
    หญิงผู้อยู่อาศัยคนหนึ่งในหน่วยอาศัยสี่เหลี่ยมเล็กแคบกล่าวกับสามีของเธอหลังจากรายการข่าวสารรัฐบาลจบไป
    ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้เธอ "
    หัวเราะก็ไม่ได้ ร้องไห้ก็ไม่ออก  

    คัดจากเรื่องสั้น "ที่นี่เงียบสงบ" ของ ชาติ กอบจิตติ



    คำว่า "รัฐบาล" ในข้อความที่คัดมาข้างต้น หมายถึง รัฐบาลผสมคอมพิ้วในการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบคอมพิวเตอร์ จากเรื่องสั้น ที่นี่เงียบสงบ (2526) โดย ชาติ กอบจิตติ 


    เรื่อง ที่นี่เงียบสงบเล่าถึงสภาพความเงียบสงบในแต่ละวันของมนุษย์ที่ปกครองโดยรัฐบาลมนุษย์คอมพิวเตอร์หลังจากพรรคคอมพิวเตอร์ประกาศยุบสภาและแย่งชิงอำนาจจากมนุษย์โดยเด็ดขาดเป็นต้นมาแล้วชีวิตในทุก ๆ วันของมนุษย์ก็มีแต่ความเงียบสงบ เพราะพวกเขาล้วนต้องทำตามหน้าที่ของตนไม่มีใครส่งเสียงปริปากบ่นและแน่นอนว่าไม่มีใครหัวเราะหรือร้องไห้ให้กับสภาพที่ตนเองเป็นอยู่เช่นกันเนื่องจากมีการเก็บภาษีหัวเราะและภาษีร้องไห้จากประชากรมนุษย์อยู่ นั่นจึงเป็นเหตุให้หญิงคนดังกล่าวหัวเราะก็ไม่ได้ร้องไห้ก็ไม่ออก และทุกคนต่างต้องกันอย่างเงียบ ๆ ราวกับไม่มีความรู้สึกอีกต่อไป


    แม้จะไม่อยากอยู่ในประเทศที่แม้แต่การแสดงออกทางอารมณ์สุขและเศร้ายังถูกจำกัดแต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะสามารถออกไปตั้งรกรากในประเทศใหม่ได้ง่าย ๆมนุษย์ที่ยังอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยคอมพิวเตอร์นี้จึงได้แต่ตั้งใจทำงานให้ดีเพื่อภาษีรัฐบาลที่จะถูกนำไปใช้สำหรับพัฒนาหน่วยทหารและข้าราชการคอมพิวเตอร์สำหรับปกครองมนุษย์ธรรมดาให้อยู่ในระบบระเบียบอย่างที่ควรจะเป็นมิใช่การนำภาษีไปใช้สำหรับพัฒนาความเป็นอยู่ของมนุษย์ให้ดีขึ้นแต่อย่างใด


    อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางความสงบเรียบร้อยของประเทศ กลับมี ชาลีผู้ดื้อด้านอดีตดาราตลกผู้ตกงานจากการบังคับใช้ภาษีหัวเราะและร้องไห้ทั้งยังถูกเรียกเก็บภาษีดังกล่าวจนไม่มีอะไรจะใช้จ่ายได้อีกแล้ว ในท้ายที่สุดชาลีถูกสั่งห้ามพูด และถูกศาลตัดสินให้เป็น บุคคลที่รัฐไม่พึงปรารถนาสมควรเนรเทศ


    เมื่อไม่มีชาลีผู้ประพฤติตนนอกกรอบกฎหมาย ไม่มีชาลีผู้เป็นต้นเหตุของความไม่สงบเมื่อนั้นประเทศจึงเงียบสงบ เป็นความเงียบสงบที่ไม่มีเสียงสรวลเสเฮฮายามค่ำคืนไม่มีงานเลี้ยงครึกครื้น ไม่มีเสียงหัวเราะเล็ดลอดออกมาเห็นเพียงแสงไฟลอดเล็ดออกมาตามร่องรู เงียบเชียบราวตกต้องอยู่ใต้อำนาจอิทธิพล



    ที่นี่เงียบสงบจึงทำให้เราเห็นภาพการถูกลิดรอนสิทธิและเสรีภาพโดยอ้างความสงบเรียบร้อยในการควบคุมพลเมืองซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่การควบคุมการแสดงออกทางการเมืองเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงการใช้ชีวิตประจำวันที่ประชาชนในประเทศต้องดูรายการที่รัฐกำหนดปิดไฟเข้านอนตามเวลา ห้ามทำสิ่งอื่นที่จะเป็นการขัดขวางกิจวัตรประจำวันที่เกี่ยวข้องกับรัฐทั้งยังถูกควบคุมไปถึงการแสดงออกทางอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์อีกด้วยและหากพลเมืองไม่ปฏิบัติตาม พวกเขาก็จะได้รับการ เตือนด้วยความปรารถนาดี


    นอกจากนี้ สิ่งต่าง ๆที่รัฐจัดหาให้ล้วนยังเป็นไปเพื่อควบคุมประชาชนให้อยู่ในความสงบอยู่อย่างเป็นระบบระเบียบ เพื่อความง่ายในการควบคุมสอดส่องดูแล แม้จะไม่ต้องการแต่เราก็จำเป็นต้องการมัน นั่นเพราะเป็นกฎหมายของรัฐนั่นเอง


    ที่นี่เงียบสงบยังทำให้เห็นว่าในท้ายที่สุดแล้วรัฐเองก็มีวิธีกำจัดตัวการหรือต้นเหตุของความไม่สงบในแบบของรัฐ นั่นคือการทำให้ตัวต้นเหตุนั้นหายไปเสียดื้อๆ ไม่ว่าด้วยวิธีการเนรเทศหรือกำจัดก็แล้วแต่ และเมื่อนั้นภาพรวมของประเทศก็จะสงบ เหมือนกับที่เราเลือกจัดการกับความไม่สงบภายในใจโดยการทำสมาธิหรือความไม่สงบภายนอกโดยการทำให้ต้นเหตุของความไม่สงบนั้นหายไป โดยอาจเป็นการไม่คิดถึงสิ่งนั้นปฏิเสธการมีอยู่หรือทำให้ไม่มีตัวตนไปเสีย แค่นี้เราก็คงจะมีชีวิตที่สงบขึ้นได้


    ทว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ฉันย้อนกลับมาถามตัวเองว่าบางทีการจะตัดสินว่าสภาพที่เป็นอยู่สงบหรือไม่นั้นอาจขึ้นอยู่กับตัวบุคคลแต่ละคนขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์บางอย่างที่ใครบางคนกำหนดขึ้นมาเพื่อนิยามความสงบนั้นก็ได้


    .

               "หลายต่อหลายครั้ง เรามุ่งมองไปที่ผลลัพธ์ มุ่งหวังไปที่ความสงบอันเป็นจุดหมายปลายทางของการมีชีวิตที่ดี และโดยไม่รู้ตัว เราเบียดบังอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็ถูกหยิบฉวยเอาบางอย่างไปเพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบนั้น และเมื่อรู้ตัวอีกที เราก็อาจกลายเป็นบุคคลที่ตัวเองไม่พึงปรารถนาไปเสียแล้ว"


    ความสงบของฉันอาจไม่ใช่ความเงียบไร้สรรพเสียงใดแต่เป็นสภาพที่ไร้ซึ่งสิ่งรบกวนใจต่างหากซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเราว่าจะมองสิ่งใดเป็นสิ่งรบกวนอีกเช่นกันฉันอาจรู้สึกสงบได้แม้รอบข้างวุ่นวายเพราะความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนั้นไม่ได้รบกวนฉันให้ต้องหงุดหงิดใจ และในขณะเดียวกันฉันก็อาจรู้สึกไม่สงบใจแม้จะอยู่ในที่ที่เงียบงันด้วยเพราะถูกอะไรบางอย่างรบกวนอยู่ภายในจิตใจและอาจเป็นความเงียบนั้นเองก็ได้ที่รบกวนจิตใจไม่ให้รู้สึกสงบได้อย่างที่ต้องการ


    ดังนั้นแล้ว ความสงบของแต่ละคนจึงไม่เหมือนกัน บางทีเราคงตั้งคำถามว่าการปิดหูปิดตาไม่รับรู้ควบคุมทุกการกระทำแม้กระทั่งการแสดงออกทางอารมณ์ซุกซ่อนปัญหาเพื่อให้เกิดความสงบนั้นล่ะ เป็นความสงบของใครกันแน่


    ที่นี่เงียบสงบจึงไม่ใช่ความสงบที่ไร้ซึ่งปัญหาแต่เป็นความสงบที่ซุกซ่อนปัญหาไว้และควบคุมคนไม่ให้มีปัญหาภายใต้คำว่า เงียบสงบนั้นต่างหาก

    .

    เรามักไขว่คว้าหาความสงบอยู่หลายต่อหลายครั้งเพียรพยายามสร้างความสงบจากภายในสู่ภายนอก บางทีก็เริ่มจากภายนอกสู่ภายในหรือจะวิธีการใดก็แล้วแต่ ขอเพียงความสงบเกิด อะไรต่าง ๆ ก็คงดีขึ้นเอง


    หลายต่อหลายครั้ง เรามุ่งมองไปที่ผลลัพธ์ มุ่งหวังไปที่ความสงบอันเป็นจุดหมายปลายทางของการมีชีวิตที่ดี และโดยไม่รู้ตัวเราเบียดบังอะไรบางอย่าง หรือไม่ก็ถูกหยิบฉวยเอาบางอย่างไปเพื่อให้ได้มาซึ่งความสงบนั้น


    และเมื่อรู้ตัวอีกที เราก็อาจกลายเป็นบุคคลที่ตัวเองไม่พึงปรารถนาไปเสียแล้ว




    เขียนโดย ชญามญช์ เพิ่มประโยชน์
    ภาพประกอบโดย Nathan Anderson
    ที่มาภาพประกอบ : https://unsplash.com/photos/p9wFQvRvmkU
    ผลงานสืบเนื่องจากรายวิชา
    นวนิยายและเรื่องสั้น ปีการศึกษา 2562
    บรรณานุกรม

    บรรณานุกรม

    ชาติ กอบจิตติ. 2547. “ท่ีน่ีเงียบสงบ,” ใน มีดประจําตัว. กรุงเทพฯ : หอน

    เผยแพร่เพื่อประโยชน์ทางวิชาการเท่านั้น ลิขสิทธิ์ผลงานเป็นของผู้สร้างผลงาน

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in