เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องสั้นขยันซอยfUkAdA
เขาค่อยๆยื่นมือไปจับอย่างงงๆ...

  • ⭕️ เสียงของเครื่องยนต์เบนซินคำรามกระหึ่มสุดพลัง ควันไอเสียสีขาวพุ่งพราดๆออกจากรูกลมของท่อไอเสีย รถยนต์ซูซูกิ วิทาร่า ขับเคลื่อนสี่ล้อ กำลังลุยแล่นตะบึงสุดแรง เพราะพื้นป่าไม่ราบเรียบ ตัวถังจึงโยกเยกโซเซไปมา เหยียบย่ำพื้นดินพื้นหญ้าที่ชื้นแฉะ ทั้งสี่ล้อทิ้งรอยสองรอยยาวไว้ด้านหลัง บนรถมีชายสามคนโดยสารอยู่ ในพื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอันกว้างใหญ่ไพศาล ดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า ฝนกำลังลงเม็ดห่างๆพร่างพรมทุกสรรพสิ่ง เหล่าต้นไม้กำลังยืนสงบนิ่ง แต่วัตถุที่เรียกว่ารถยนต์นี้กำลังเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วราวสัตว์ป่าที่หนีภัยจากผู้ล่า


    ใช่แล้ว พวกเขากำลังถูกล่า!


    “ไอ้โศก ระวังๆ!! ต้นไม้โว้ย!“ 

    เสียงของเขาแทรกมาท่ามกลางเสียงเครื่องยนต์


    “โธ่พี่ เชื่อมือผมดิ รถคันนี้ผมเอาอยู่” 

    เสียงของคนขับเปล่งออกมาแทรกทันควัน


    “ถ้ามึงขับแบบนี้นะ กูยอมโดนจับติดคุกดีกว่าชนต้นไม้ตายแบบโง่ๆ”

    เขาคนเดิมสวนขึ้น


    “ลูกพี่ๆ ผมว่าพวกมันตามไม่ทันแล้ว ดูสิจ๊ะ ไม่มีใครตามเรามาเลยจ้ะ” 

    ชายอีกคนอยู่ด้านหลังเอ่ยขึ้น


    “ไอ้พราน มึงอย่าพูดมาก! เพราะมึงคนเดียว แม่งยิงปืนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ มึงไม่รู้เหรอว่าที่นั่นมันใกล้จุดลาดตระเวร พวกมันก็เลยแห่กันมานี่ไง”


    “ลูกพี่ดูอะไรนี่...”

    คนด้านหลังหยิบสิ่งหนึ่งขึ้นมากจากด้านข้างตัว กลิ่นสาบและคาวเลือดถูกลมปะทะเตะจมูก


    “นานๆทีไอ้ตัวนี้จะปรากฏตัวให้เห็น มันหาตัวยากมากนะพี่”

    “หายากแล้วไงวะ งานนี้เดี๋ยวมึงก็ได้ไปหาในคุกหรอก” เขาสบถด้วยความไม่พอใจ


    “ขอโทษจ้ะลูกพี่ ฉันไม่ทันคิด ใจร้อนไปหน่อย” ชายที่อยู่ด้านหลังเสียงอ่อย


    “เฮ้ย! ไอ้โศก มึงก็ขับรถไปซี่ ผ่อนคันเร่งทำไม”

    “ผะ...ผมไม่ได้ผ่อนพี่ รถมันผ่อนเอง” เสียงคนขับเริ่มสั่น


    เพียงชั่วอึดใจเสียงเครื่องยนต์เบนซินก็เงียบสงบลงกลางป่าใหญ่


    “ตายห่าละ รถเป็นอะไรวะ” เขาร้องเอะอะ

    “สงสัยน้ำมันหมดว่ะพี่” ไอ้โศกคนขับตอบรับ

    “มึงขับรถยังไงให้น้ำมันหมดวะ?”

    “อ้าวพี่ รถนะไม่ใช่ควาย จะได้กินหญ้าแล้ววิ่งได้”

    “สงสัยพวกเราต้องลงเดินแล้วจ้ะลูกพี่” เสียงพรานด้านหลังเอ่ยขึ้น 


    “ไอ้พราน มึงเป็นพราน มึงนำทางได้ใช่มั้ยวะ?” เขาถามพร้อมกับรวบกระเป๋าคู่ใจ คว้าปืนยาว แล้วโดดลงจากรถ 


    “พอได้จ้าลูกพี่ แต่ฉันไม่ค่อยชัวร์นะจ๊ะ ลูกน้องพี่ขับรถออกนอกเส้นทางมาไกลมากแล้วจ้ะ” พรานตอบพร้อมกับเก็บข้าวของในรถ


    “พรานป่าห่าอะไรวะ พูดจ๊ะๆจ๋าๆ” คนขับรถพูดพร้อมเก็บของแล้วก้าวลงจากรถ

    “มึงเป็นพรานจริงป่ะเนี่ย?” ไอ้โศกนึกสงสัยจึงยิงคำถามไปที่พราน

    “จริงๆจ้ะ ฉันยิงสัตว์ป่าขายมาหลายปีแล้ว แต่เดี๋ยวนี้กลับตัวกลับใจ ไม่ยิงเอง รับจ้างนำทางให้คนอื่นไปยิงกันเองเลยจ้า”

    พรานพูดพร้อมสะพายปืนยาวไรเฟิล .308 ไว้ที่ต้นแขนและพกฝักมีด พร้อมเดินทาง


    “เฮ้ยแล้วตัวที่มึงยิงได้ล่ะวะ ไม่เอาไปด้วยล่ะ ไหนๆก็ยิงแล้ว กูเสียดาย”

    เขาเอ่ยขึ้น

    “ลูกพี่อยากเอาไปเหรอจ๊ะ เดี๋ยวฉันจัดการให้”

    พรานว่าแล้วก็จัดการยัดซากสัตว์เข้ากระสอบปุ๋ยใบเขื่อง เอาเชือกมัดหัวท้ายจนแน่นและหย่อนสายเชือกไว้สำหรับสะพาย


    “ลูกพี่จ๊ะ ตัวนี้ฉันยิง ฉันขอพิเศษนะจ๊ะ”

    “ถ้ามึงพากูรอดออกไปได้ กูจะตบรางวัลใหญ่ให้” 

    เขาพูดพร้อมตบไหล่พราน


    ไม่ทันขาดคำ เสียงเครื่องยนต์อื้ออึงเริ่มส่งเสียงดังมาจากชายป่า ตามด้วยเสียงเอะอะของกลุ่มคนแว่วมาแต่ไกล


    “รีบไปกันเถอะ พวกมันตามมาทันแล้ว” เขาพูดพร้อมสะพายเป้ เหน็บปืนพก ก้าวออกไปจากตรงนั้น 


    พรานป่าเทียมกระสอบปุ๋ยขึ้นหลัง เดินนำหน้าเขาและคนขับรถไป


    ไม่นานนัก รถกระบะยกสูงสีเขียวและสีดำสองคันก็มาจอดเทียบรถที่น้ำมันหมด กลุ่มชายฉกรรจ์หลายคนสวมชุดลายพรางโดดลงจากกระบะ และอีกหลายคนเปิดประตูแล้วลงจากรถ


    “พวกมันยังหนีไปได้ไม่ไกล” 

    ชายคนหนึ่งรูปร่างท้วม มีพุง สวมแว่นตาดำ สะพายปืนยาว ท่าทางจะเป็นหัวหน้า พูดกับลูกน้องร่วมสิบคน มันถอดแว่นตาดำออกแล้วหันซ้ายหันขวาดูสถานการณ์รอบข้าง


    “พวกมันคงเดินเข้าไปในป่ารก เราต้องเดินตามรอยมันไป” คนเป็นหัวหน้าพูด

    “เอาอุปกรณ์ลงจากรถเร็ว แล้วรีบตามไปจับมัน!” 

    ว่าแล้วพวกลูกน้องก็แบกสัมภาระขึ้นบ่า เหน็บมีดและอาวุธครบทุกคน

    “ไอ้พวกสวะพวกนี้ สัตว์ป่าจะไม่เหลือให้ลูกหลานก็เพราะพวกมันนี่แหละ” ชายคนเดิมพึมพำ

    แล้วกองกำลังชุดลายพรางท่าทางทะมัดทะแมงก็เริ่มออกเดิน


    “เดี๋ยวก่อน!” ชายหัวหน้าพูด

    “พวกมึงรู้เหรอว่าต้องเดินไปทางไหน?”

    ลูกน้องคนหนึ่งทำเสียงอ่อยพูดขึ้น “ไม่รู้ครับ”

    “แล้วมึงก็เดินไปเน๊าะ ปัดโธ่!” ชายหัวหน้ายักไหล่มองบน

    “ไปทางนี้โว้ย!” หัวหน้าตะโกนแล้วชี้นิ้วไปทางชายป่า


    ความมืดเริ่มเข้าคลอบงำป่าใหญ่ เสียงสัตว์ป่าร้องกันโฮกฮาก ดังแว่วมาจากทุกทิศทาง เสียงฝีเท้าและลมหายใจดังแว่วไม่แพ้กัน ทั้งสามคนเปียกโชกไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าจากเหงื่อหรือจากหยดน้ำฝนมากกว่ากัน 


    “ไอ้พราน มึงเดินมาถูกทางใช่มั้ย” เขาถามด้วยความร้อนใจ

    “ปล่อยให้ประสบการณ์ของผมมันบอกเถอะจ้า” พรานตอบ

    “ประสบการณ์ของมึงน่ะ จะพากูหลงป่ารึเปล่า?” ไอ้โศกเสริม

    “กูไม่รอลุ้นนะ” เขาพูด” 


    “ไอ้พราน มึงเดินช้าเพราะไอ้ตัวที่มึงแบกอยู่นี่รึเปล่า” เขาพูด

    “ก็มีส่วนจ้ะ”

    “งั้นเอามานี่ กูแบกเอง เอ้า! ไอ้โศก มึงเอาเป้กูไปสะพายหน่อย”


    สองสามคนสลับสัมภาระซึ่งกันและกัน


    “มึงรู้ไหม ไอ้ตัวนี้ ถึงมันจะตายแล้ว แต่ราคาในตลาดมืดน่ะ ใช่ย่อย” เขาเอ่ยพร้อมแบกกระสอบปุ๋ยขึ้นหลัง

    “ไม่มีเวลาแล้ว รีบไป” เขาเสริม


    เสียงฝีเท้าไล่กวดพวกเขามาติดๆ เขาได้ยิน ได้กลิ่น และเห็นแสงไฟฉายวับๆ ไล่หลังมา แต่ในฐานะผู้ถูกล่า พวกเขาจะใช้ไฟฉายไม่ได้ เพราะมันจะเป็นเป้า การหนีเป็นไปด้วยความยากลำบาก ป่ารกชัฏทำให้การลุยฝ่าใช้พลังงานเป็นอันมาก


    ด้วยความเหนื่อยล้า ประกอบกับน้ำหนักของไอ้ตัวนั้นที่เขาแบกอยู่ ทำให้เขาเดินช้าลง วูบหนึ่งเขานึกถึงข่าวการจับกุมแก๊งล่าสัตว์ นึกถึงเจ้าหน้าที่ป่าไม้ นึกถึงตำรวจ นึกถึงผู้พิพากษาในศาล บรรยากาศการตัดสินคดี นึกถึงเรือนจำ เขาเคยเข้าไปเห็นข้างใน แต่ก็ไม่อยากเข้าไปอยู่ในนั้น ใจหนึ่งอยากจะโยนไอ้ตัวนั้นทิ้ง ใจหนึ่งก็เสียดาย


    “ไหวมั้ยพี่” ไอ้โศกสังเกตุได้ว่าลูกพี่เดินช้าลง

    “ฉันว่านะ เราหาที่ซ่อนดีกว่าจ้ะ พวกมันไล่หลังเราใกล้เต็มทีแล้ว” พรานเอ่ย

    “จะไปซ่อนที่ไหนวะพราน” ไอ้โศกสำทับ


    “เฮ้ย หยุด อย่าหนี!” เสียงหนึ่งดังบางๆมาจากด้านหลัง

    “มันมากันแล้ว ทำไงดีพี่” ไอ้โศกเสียงสั่นเครือ

    “ลูกพี่ โคนต้นไม้ใหญ่นั่น เราไปแอบซ่อนตรงนั้นดีกว่าจ้ะ” พรานพูดพลันชี้นิ้วไป


    ทั้งสามคนรีบกุลีกุจอแหวกพงไม้มุดเข้าไปแอบซ่อนตัวในพูพอนของต้นพระเจ้าห้าพระองค์ โคนต้นไม้ใหญ่ให้ที่กำบังตัวของทั้งสามคนพอดิบพอดี


    “มึงพามาแอบในโคนต้นไม้นี่ มันจะง่ายเกินไปรึเปล่าวะไอ้พราน?” ไอ้โศกกระซิบในลำคอ

    “ไม่มีทางเลือกแล้วจ้ะลูกพี่ ต้องเสี่ยงแล้วล่ะจ้ะ”

    “คงต้องได้แต่ภาวนาให้ไอ้พวกนั้นมันโง่ เดินผ่านเลยไป” เขาพูดพร้อมถอนหายใจหนึ่งเฮือก


    เสียงฝีเท้าดังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา แล้วหยุดอยู่ไม่ไกลจากต้นไม้ใหญ่ เขาก้มหน้า ก้มตัวจนแทบจะแนบกับพื้นดิน สามคนหัวใจเต้นสั่นไหว เหงื่อแตกเป็นเม็ดๆ บังคับตัวเองให้หายใจเบาทั้งที่เหนื่อยและเพลีย 


    “ไปทางไหนต่อหัวหน้า” เสียงหนึ่งดังขึ้น

    ชายผู้เป็นหัวหน้าปาดไฟฉายไปมา แสงไฟสีขาววับๆลอดแขนงพุ่มไม้เข้ามา เขาสังเกตุเห็นแสงไฟวับๆ แล้วก็ก้มต่ำไปยิ่งกว่าเดิม แทบจะหยุดหายใจ ไอ้โศกและพรานก้มตัวนิ่งจังงัง 


    “รอยมันหายไปไหนวะ” คนเป็นหัวหน้าพึมพำ

    “หรือมันจะหาที่ซ่อนตัว” ลูกน้องคนหนึ่งเอ่ย

    “กูรู้แล้ว มึงไม่ต้องบอก” หัวหน้าสบถ ลูกน้องยิ้มเขิน

    “เอ้า! พวกมึง แยกกันหา”


    เสียงฝีเท้าอื้ออึงอีกครั้ง กลุ่มชายฉกรรจ์สาดแสงไฟฉายกันจนสว่างทั่วป่า ราวกับว่าในป่าวันนี้มีงานรื่นเริง พวกมันค้นกันจนป่าราบ แต่ก็ยังไม่มีใครเดินมาใกล้ๆ พูพอนใหญ่ที่เป็นที่ซ่อนตัวของพวกเขา


    “ไม่เจออะไรเลยครับ” ลูกน้องคนหนึ่งเข้ามาบอกหัวหน้า

    “เป็นไปได้ยังไง คนอื่นล่ะ?” หัวหน้าซักถาม

    คนอื่นทยอยเข้ามารายงาน “ไม่เจอเหมือนกันครับ”

    ชายที่เป็นหัวหน้า ทำหน้าตาฉงน

    “งั้นเราไปต่อ ไปหาที่อื่น ทางโน้น” พูดพลันชี้ไปข้างหน้า


    เสียงฝีเท้าหายลับไปแล้ว สามคนที่ซ่อนอยู่ ถอนหายใจเฮือกใหญ่


    “ไอ้พราน มึงมีของดีอะไร” เขาถามพร้อมความฉงน

    “นั่นนะสิ เมื่อกี้มันไม่เห็นเราจริงๆเหรอวะ” ไอ้โศกก็ฉงนไม่แพ้กัน

    “ผมไม่มีของดีอะไรหรอกจ้ะ แต่พวกนั้นมันน่าจะโง่กันมากกว่า”

    เสียงหัวเราะเบาๆออกมาจากลำคอทั้งสาม ปรากฏการณ์นี้ทำให้เขารู้สึกสะใจเล็กๆ 


    “เรารีบไปกันดีกว่าจ้ะ” พรานเอ่ยขึ้น

    “แล้วเราจะไปไหนต่อ?” ไอ้โศกถาม

    “นั่นน่ะสิ ค่ำมืดในป่าแบบนี้ กูว่าพักตรงนี้แหละ ปลอดภัยดี พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินทางต่อ” เขาพูด

    “ไม่ได้นะจ๊ะลูกพี่ โคนไม้ใหญ่ที่มีพูพอนแบบนี้ งูเงี้ยวเขี้ยวขอมันเยอะ นอนตรงนี้อาจจะโดนงูกัดตายก็ได้นะจ๊ะ เราไปหาที่ผูกเปลดีๆ กันดีกว่าจ้ะ” 

    “แล้วแน่ใจเหรอว่าพวกนั้นมันไปกันแน่ๆแล้ว” เขาถาม

    “เสียงฝีเท้าไม่มีแล้ว แสงไฟฉายก็หายไปแล้ว แสดงว่ามันไปกันแล้ว ฉันมั่นใจเลยจ้ะ” พรานกล่าวเสริม

    “งั้นก็ออกไปจากนี่กัน” เขากล่าว


    สามคนลุกขึ้นพร้อมสัมภาระ แหวกพงหญ้าออกมาจากโคนไม้ใหญ่อย่างทุลักทุเล ชั่วขณะนั้นก็ได้เกิดแสงวูบจ้าจนทั้งสามคนหรี่ตาลงและเอามือบังเพราะตายังสู้แสงจ้าไม่ได้ 


    แสงไฟฉายของชายฉกรรจ์ร่วมสิบคนโฟกัสมาที่ตรงกลางวง ไม่เพียงแค่ไฟฉาย ปลายกระบอกปืนต่างก็ชี้มาที่กลางวงด้วย สามคนโดนล้อมไว้หมดแล้ว ชายหัวหน้าชักปืนพกออกมา มือหนึ่งถือไฟฉาย เดินเข้ามากลางวง

    “สกิลการเล่นซ่อนหาของพวกมึงยังอ่อนหัดมากกกก..” ชายหัวหน้าพูดลากเสียง

    “เอาปืนและของทิ้งลงพื้นให้หมด” ชายหัวหน้าตะคอก 

    สามคนยืนนิ่งด้วยความตกใจ มองหน้ากัน ไม่พูดอะไร แต่ก็ทำตามโดยดี

    “ยอมเสียเถิด ยอมให้จับซะโดยดี ดูซิ ในกระสอบมีอะไร” ชายหัวหน้ากวักปืนเรียกให้ลูกน้องคนหนึ่งมาเปิดกระสอบออก


    “ของกลางมัดตัวแบบนี้ไม่รอดแน่” ชายหัวหน้าพูดอีกครั้ง

    “คุณจับผมไม่ได้นะ รู้ไหมผมเป็นปลัดอำเภอ” เขาพูดพร้อมหรี่ตาสู้แสง


    เขาพยายามลืมตามองหันมองชายหัวหน้า “คุณ...คุณเป็นใคร?”

    เขามองไปรอบๆ “พวกคุณไม่ใช่เจ้าหน้าที่ป่าไม้!”

    “ฮ่า ฮ่า ฮ่า...” ชายหัวหน้าหัวเราะลั่น 

    “หัวหน้าครับ ในกระสอบมีซากหมีขอตัวหนึ่งครับ” ลูกน้องตะโกนบอก


    “นึกว่าใคร ที่แท้ก็ปลัดหมีขอนี่เอง” ชายหัวหน้ากล่าวเสียงใหญ่


    “พวกคุณเป็นใครกันแน่?” เขาถามเสียงแข็ง

    ชายหัวหน้าเก็บปืน ยื่นมือขวาออกไป แล้วยิ้มมุมปาก


    “ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนร่วมอุดมการณ์เดียวกัน ผม...เสี่ย เสือดำ”


    เขามองหน้าชายข้างหน้าอยู่อึดใจหนึ่ง แล้วค่อยๆยืนมือไปจับอย่างงงๆ...


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in