เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
I met you in the summerP.E.A.C.E
โปรดครั้งที่ 3
  •         หลังจากวันที่เจอกันหน้าระเบียงทางเดินก็ผ่านมาได้ 1 สัปดาห์แล้ว กิจกรรมในค่ายยังเป็นตามรูปแบบเดิมคือ ช่วงเช้าเรียนภาษา ช่วงบ่ายเรียนวัฒนธรรม กลุ่มของพวกเธอสนิทกับพริ้งและสไบมากขึ้น รวมถึงแจนเพื่อนของพริ้งที่มักแวะมาทานข้าวด้วยกันทุกมื้อหลังเลิกคลาส

    “พี่ทำไมหน้าบูดจัง” มิ้งที่กำลังแย่งเกี๊ยวทอดในจานป้าส้มเอ่ยปากถามแจนที่ทิ้งตัวนั่งข้างพริ้ง หน้าสวยๆ ที่พวกเธอลงความเห็นว่าเป็นสไตล์มั่นๆ กำลังเบ้ปาก คิ้วที่เขียนได้รูปขมวดเป็นปม

    “จะอะไรอีกละ ก็ไอ้หมอนั่นแหละ” แจนรวบผมยาวสลวยเป็นหางม้า ปากที่วันนี้เจ้าตัวทาสีแดงกำลังพ่นคำด่ายาวเหยียดให้ไอ้หมอนั่นที่เธอพูดถึง


    ไอ้หมอนั่นที่มันจีบเธอแล้วก็เป็นสลิ่มอะ


    “น่ารำคาญอ่ะ วอแวอยู่นั่นแหละบอกว่ามีแฟนแล้วก็ไม่เชื่อ” แจนบ่นไปมือก็คีบผัดมั่นผรั่งที่เธอแชทมาบอกพริ้งให้ซื้อไว้ให้ อาหารจานนี้กลายเป็นเมนูโปรดของทันทีที่เธอได้ลองชิม

    “หือ แจนมีแฟนแล้วเหรอ” สไบเอ่ยปากถาม

    “นี่ไง นั่งนุ่มนิ่มอยู่ข้างๆ เนี่ย” ทั้งโต๊ะหันไปมองพริ้งที่กำลังเป่าซุปกระดูกหมูอย่างเรียบร้อย สมกับที่เป็นคนนุ่มนิ่มที่   แจนว่า

    “มุขนี้อีกแล้วนะแจนนะ” พริ้งส่ายหัวให้กับเพื่อนของเธอที่ชอบเอาเธอไปเป็นไม้กันหมา

    “เป็นแฟนกูไม่ดีตรงไหนคะ น้องพริ้ง” แจนถามกลับขณะที่เลาะก้างปลาให้เพื่อนที่กำลังทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เธอ

    “ดูแลดีขนาดนี้ หาไม่ได้แล้วนะ” มือก็คีบปลาที่เลาะก้างเสร็จแล้วใส่จานพริ้ง

    “จ้าๆ”



           โปรดมองเพื่อนซี้สองคนที่กำลังงุ้งงิ้งใส่กัน แอบคิดในใจว่าคนสองคนที่ลักษณะนิสัยต่างกันขนาดนี้เป็นเพื่อนกันได้ไง คนนึงก็เปรี้ยวแซ่บ สไตล์สาวมั่น อีกคนก็นุ่มนิ่ม สไตล์คุณหนู

    “แต่พี่เคยบอกว่าเค้าหล่อนี่” บุ้งที่จัดการอาหารตรงหน้าหมดแล้วและกำลังเริ่มจัดการขนมหวานเอ่ยปากถาม

    “หล่อ แต่ตรรกะป่วยมาก คนแบบนี้พี่ไม่กินค่ะ”

    “ขนาดนั้นเลย” ป้าส้มถาม

    “คิดดูนะมันด่าว่าพวกลิเบอร์ร่านอ่ะหน้าโง่ วันๆ จ้องแต่จะล้มเจ้า แถมยังฉอดเรื่องยืนไม่ยืนในโรงหนังอีกนะ แล้วทำไมไม่ยืนมันจะตายเหรอ อิคว้ายยยยย” คำด่ายังไม่สิ้นสุด เหมือนเจ้าตัวยิ่งพูดอารมณ์เสียขึ้นไปอีก

    “ใจเย็นนะแม่ เราจะตายกันหมด” สไบยกมือเป็นปรางค์ห้ามญาติ

    เดี๋ยวเรื่องนี้จะโดนแบนซะก่อน


    แจนคนมั่นยกมือกุมหัวพร้อมถอนหายใจแรงๆ หนึ่งที

    “กินข้าวเถอะ เดี๋ยวก็หมดพักเที่ยงพอดี” พริ้งเอ่ยปรามคนที่พยายามสงบจิตสงบใจตัวเอง


           

            หลังจากหมดช่วงพักเที่ยงที่แจนใช้เวลาเกือบทั้งหมดในการก่นด่าและสาปแช่ง ‘ไอ้หมอนั่น’ พวกเธอก็เกาะกลุ่มไปเข้ากิจกรรมช่วงบ่ายที่เป็นคลาสเรียนรวม กิจกรรมช่วงบ่ายวันนี้เป็นการห่อเกี๊ยว

    “โปรด พริ้งว่ามันไม่ได้อ่ะ”

    โปรดหันหน้าไปดูเกี๊ยวในมือเล็กๆ สลับกับมองหน้าบัดดี้ของเธอ

    “...”

    เจ้าเกี๊ยวน่าสงสาร

           สภาพของเจ้าเกี๊ยวอับโชค ไส้ทะลัก ลักษณะการจับจีบที่เบียดกันจนดูเหมือนลูกชิ้นกลมๆ ก้อนหนึ่ง คาดว่าถ้าเอาไปต้มไส้ทั้งหมดจะต้องลอยออกมาเท้งเต้งนอกห่อแป้งแน่ๆ

    “ไม่แปลกใจค่ะ การทำอาหารเป็นอย่างเดียวที่พริ้งทำไม่ได้” แจนพูดหน้าตายหลังจากเห็นสภาพเกี๊ยวในมือของพริ้ง


            เธอยังจำได้ขึ้นใจในคาบวิชาการงานตอนม.ปลาย พวกเธอต้องทำขนมชั้น ส่งอาจารย์ในคาบ ความฉิบหายมันเริ่มตั้งแต่ให้พริ้งผสมส่วนผสม พริ้งใส่เกลือลงไปแทนน้ำตาล… ดีนะที่เธอสังเกตเห็นก่อน แต่เดี๋ยวก่อนความซวยมันยังไม่จบ พริ้งลืมเติมน้ำใส่ซึ้งที่ใช้นึ่งขนม พวกเธอมารู้ก็ตอนที่ได้กลิ่นไหม้ เธอและเพื่อนที่เหลือในกลุ่มจึงตกลงกันว่าให้พริ้งเป็นคนจัดจานและนำเสนอแทน คาบนั้นพวกเธอจึงผ่านมาได้โดยที่ไม่ทำห้องไหม้ไปก่อน


    “พริ้งอย่าฝืนเลยเนอะ” โปรดหยิบเกี๊ยวที่ดูไม่เหมือนเกี๊ยววางลงในจาน พริ้งหน้างอทันทีที่เห็นว่าเกี๊ยวของเธอไม่ได้รับการยอมรับ

    โธ่ เจ้าเกี๊ยว…


    “มาแล้วววว!!!!” บุ้งกับป้าส้มวางถาดเกี๊ยวต้มร้อนๆ เกี๊ยวพวกนี้เป็นเกี๊ยวชุดแรกที่พวกเธอห่อเสร็จ หน้าตาดูดีเกินความคาดหมาย

    ทุกคนหยิบตะเกียบอย่างว่องไว ประหนึ่งว่าอดข้าวเที่ยงกันมา


    “อร่อยใช้ได้เลยอ่ะ!” มิ้งที่กินคนแรกเอ่ยอย่างประหลาดใจในรสชาติ

    “บอกแล้วสูตรหมูหมักของพี่คือเดอะเบส” สไบโอ้อวดอย่างภูมิใจ

    “เดอะเบสจริงพี่”

    ตะเกียบคู่แล้วคู่เล่าคีบไม่หยุดจนถาดตรงหน้าว่างเปล่าอย่างรวดเร็ว

    หิวอะไรกันขนาดนั้น



            โปรดหยิบเกี๊ยวถาดที่สองเดินไปยังหม้อต้มที่ทางอาจารย์เตรียมไว้ให้ เธอเทเกี๊ยวลงหม้อน้ำที่กำลังเดือดปุดๆ รอจนเกี๊ยวลอยขึ้นมา แปลว่าไส้สุกแล้ว โปรดใช้กระชอนอันใหญ่ช้อนเกี๊ยวสะเด็ดน้ำ เททั้งหมดลงถาด รีบยกถาดกลับไปที่โต๊ะก่อนที่ไอ้พวกนั้นจะโวยวาย


    ไอ้พวกตะกละ




    “วันนี้ไปวิ่งที่สนามกีฬาไหม?” สไบถามขึ้น หลังจากที่พวกเธอจัดการเกี๊ยวถาดที่ 2 หมดแล้ว

    “เราไป” แจนยกมือ

    “หนูกับป้าส้มไป” มิ้งยกมือ

    “ไป/ไปค่ะ” บุ้งกับโปรดก็เอาด้วย ทั้งโต๊ะหันไปมองพริ้งที่ยังเงียบอยู่

    “ทำการบ้านก่อนแล้วค่อยไปมั้ย มีแบบฝึกหัด 2 บทนะ” ทุกคนทำหน้าเลิกลั่กเหมือนเพิ่งนึกได้ว่ามีการบ้าน

    “งั้นหลังเลิกคาบบ่าย เราไปทำการบ้านที่ม้าหินอ่อนก่อนก็ได้” สไบให้ข้อสรุป

    “ดีล!”



            พริ้งนั่งอยู่บนสนามหญ้าข้างลู่วิ่งที่เพื่อนกับแก๊งเด็กโวยวายกำลังวิ่งกันเสียงดังเอะอะ เธอเกี่ยวปอยผมที่ปลิวไปตามแรงลมทัดข้างหู มือเล็กเปิดหนังสือเล่มบางที่อ่านค้างไว้ จมดิ่งไปกับเรื่องราวของคุณเจ้าของร้านหนังสือเก่ากับผู้ช่วยหนุ่มที่ไม่สามารถอ่านหนังสือได้

             เธอชอบหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือเก่า กลิ่นเฉพาะของกระดาษที่ผ่านกาลเวลาจนเป็นสีน้ำตาลแล้วทำให้เธอรู้สึกสงบ เธอสามารถนั่งเงียบๆ อ่านหนังสือหรือวาดรูปทั้งวันได้ ต่างจากแจน เพื่อนสนิทของเธอชอบกิจกรรมกลางแจ้ง ในหลายๆ ครั้งที่ไปเที่ยวด้วยกัน แจนจะเลือกสถานที่ที่เธอสามารถนั่งอ่านหนังสือในร่มได้และแจนเองก็สามารถทำกิจกรรมกลางแจ้งได้ หรือในบางครั้งทั้งคู่ก็แยกกันไปในที่ที่ตนเองสนใจ แล้วค่อยนัดเจอกันอีกที ทำให้พวกเธอไม่มีปัญหาแม้ว่าความชอบจะแตกต่างกัน


           พริ้งเงยหน้าพักสายตาหลังจากที่อ่านหนังสือได้สักระยะ มือเล็กควานหาที่คั่นหนังสือในกระเป๋าผ้า แต่ไม่ว่าจะรื้อหาเท่าไรก็ไม่เจอ เธอเป็นคนรักษาหนังสือดังนั้นตัดเรื่องพับมุมกระดาษออกไปได้เลย

    “อ่ะ ใช้นี่สิ”

    พริ้งเงยหน้ามองดอกหญ้าช่อเล็กๆ ที่ยื่นมาตรงหน้าเธอ

    เป็นเจ้าแมวยักษ์นั่นเอง

    คนตัวสูงในชุดกางเกงวิ่งขาสั้น อวดขาเรียวยาว ทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ เธอ

    “เอาดอกนี้ละกัน ยังสวยอยู่” คนข้างๆ เลือกดอกหญ้าให้เธอ

    “นี่ไปเก็บมาตอนไหนเนี่ย” เธอถามยิ้มๆ อย่างประหลาดใจ

    “ก็เห็นนั่งรื้อกระเป๋าอยู่นานสองนาน เลยคิดว่าคงหาที่คั่นไม่เจอ ก็เลยเก็บมาให้” คนตัวสูงตอบ

    “เอาไปคั่นแก้ขัดไว้ก่อนสิ”

    “มั่นใจได้ไงว่าพริ้งหาที่คั่นอยู่”

    “ถ้าไม่ใช่ก็ถือซะว่าโปรดให้ดอกไม้พริ้งไง”


    หืออออออ พลังโจมตีรุนแรงอีกแล้วค่ะ

    “หูยยย เขินนะเนี่ย” พริ้งทำตลกกลบเกลื่อน เธอรู้สึกแก้มร้อนวูบวาบทำตัวไม่ถูก ต้องยอมรับเลยว่าครั้งนี้เธอใจเต้นแรงจริงๆ

    พริ้งยื่นมือไปรับดอกหญ้าจากคนข้างๆ เธอ มืออีกข้างก็แก้เขินด้วยการเอาปอยผมทัดหู

    เธอมองเจ้าแมวยักษ์ยิ้มแฉ่งสดใสเป็นพระอาทิตย์


    อืมมมม เด็กก็น่าจะอร่อยเนอะ



    “สองคนนั้นอ่ะ”

    “เลิกจีบกันได้ยัง!”


    ไอ้แจน นังทัวดี!!!





    “ไม่ให้เข้า”

    “โธ่ ไม่โกรธน้าาาาา”

    “ไม่!”


    “พี่ทำไรอะ” บุ้งถามแจนที่ยืนเกาะประตูห้องของพริ้ง ดูจากสถานการณ์แล้วสงสัยเจ้าของห้องจะไม่ต้อนรับ

    “บุ้งช่วยพี่ด้วยยยยย คุณหนูเค้าโกรธแหละ”

    “ยังไม่หยุดอีก!” พริ้งว่าเสียงเขียว

    “ไปห้องอื่นเลยไป๊ ไม่ต้อนรับ!” ไม่วายแม่คุณหนูตัวดี ยังไล่เพื่อนตาดำๆ ได้ลงคอ

    “พี่ไปแกล้งอะไรพี่พริ้งเค้าอ่ะ” ป้าส้มสงสัย เธอเพิ่งจะเคยเห็นพี่พริ้งคนนุ่มนิ่มโมโหนี่แหละ

    “แกล้งนิดหน่อยเองงง” พูดจบก็โดนคุณหนูถลึงตาใส่ ส่วนเธอจะทำอะไรได้ได้แต่หดคอแล้วไปหลบอยู่หลังน้องบุ้ง

    “บุ้งพี่ฝากเอาเพื่อนพี่ไปด้วยนะ เหม็นหน้า” คุณหนูย่นจมูกก่อนจะปิดประตูใส่หน้าพวกเธอสามคนที่ยังยืนอยู่อย่างงงๆ


    “พี่ไปด้วยนะ”

    “...”




           เมื่อความสงบกลับมาอีกครั้งก็ได้เวลาวาดรูปเสียที เธอนั่งลงที่โต๊ะจัดแจงเตรียมอุปกรณ์สีน้ำ เลือกเพลงจากเพลย์ลิสต์ เธอลงสีรูปที่ทำค้างไว้จากคราวก่อน เสียงหวานๆ ของนักร้องคนโปรดพร้อมกับลมเย็นๆ ช่วงหัวค่ำจากประตูระเบียงที่เปิดแง้มไว้ทำให้บรรยากาศในห้องผ่อนคลาย

            พริ้งรักความสงบแต่เธอเกลียดเองก็ความเงียบ เธอชอบอยู่คนเดียวก็จริงแต่ไม่ชอบอยู่คนเดียวในที่ที่เงียบสงัด ดังนั้นในห้องของเธอจึงเปิดเพลงคลอไว้ตลอด เธอรักที่จะอยู่กับหนังสือ กระดาษวาดรูป สีน้ำและเสียงเพลง

           พริ้งเป็นคนโลกส่วนตัวสูง มีเพียงแค่คนสนิทเท่านั้นที่จะได้เข้ามาในโลกของเธอ ทั้งๆ ที่เธอสร้างกำแพงระหว่างโลกของเธอกับโลกภายนอกแต่ก็มีคนคนหนึ่ง คนที่เข้ามาทำให้ใจเธอสั่นไหว ทำให้ตกหลุมรัก ทำให้โลกของเธอสดใสกว่าที่เคย

    และเป็นคนเดียวกันที่ทำให้โลกทั้งใบของเธอแตกสลาย

    เธอยังรักและในขณะเดียวกันเธอยังเกลียดมากมายเหลือเกิน



           พริ้งมองหยดน้ำที่เปื้อนเป็นดวงๆ บนสมุดวาดรูป ทีแรกเธอคิดว่าจุ่มพู่กันจนชุ่มน้ำเกินไป เธอยกมือแตะข้างแก้มของตัวเอง ความเปียกชื้นทำให้เธอตระหนักได้ว่า เธอกำลังร้องไห้ ร้องไห้ให้กับเรื่องเดิมๆ ที่ยังไม่สามารถก้าวผ่านไปได้


    เมื่อไหร่ถึงหายเจ็บสักที



           โปรดเงยหน้ามองดวงจันทร์ แสงสีเหลืองนวลสว่างไสวบนท้องฟ้าที่ไร้เมฆ ถึงแม้จะเป็นช่วงหน้าร้อนแต่ลมกลางคืนก็หนาวพอให้โปรดไม่ลืมหยิบเสื้อคลุม ในใจนึกถึงบัดดี้ตัวเล็กที่เคยเอ็ดเธอครั้งก่อน ตาเรียวเหลือบไปมองประตูห้องของคนในความคิด ในใจก็แอบคิดไปว่าคืนนี้จะได้เจอกันอีกมั้ย

    เดี๋ยวนะ เราก็เจอกันทุกวันอยู่แล้วนี่


           โปรดโคลงหัวให้กับความคิดประหลาดๆ ของตัวเอง ป่านนี้พริ้งคงไปนอนไปแล้ว ตอนนี้เองก็เกือบตีสองแล้ว ถ้าจะถามว่าทำไมโปรดยังไม่นอน ตอบได้แค่ว่านอนไม่หลับ



    แกร๊ก…



    โปรดรีบหันตามเสียง


           คนที่เธอนึกถึงสวมเสื้อคลุมตัวเดียวกับที่เธอเห็นเมื่อวันก่อน ใบหน้าที่เคยมีรอยยิ้มหวานๆ ที่เธอชอบแอบมอง บัดนี้เรียบสนิท ดวงตากลมโตที่เคยระยิบระยับก็หม่นลงจนน่าใจหาย ขอบตามีรอยช้ำบางๆ ในมือคีบมวนบุหรี่สีดำอยู่หนึ่งมวน

    บุหรี่เหรอ


    เจ้าตัวชะงักทันทีที่เปิดประตูแล้วพบว่าไม่ใช่ตัวเองเพียงคนเดียวที่นอนไม่หลับในค่ำคืนนี้

    “ทำไมยังไม่นอน” พริ้งเป็นฝ่ายเปิดปากถาม

    “นอนไม่หลับ แล้วนั่นละ”

    “อ๋อ”


           โปรดมองปากเล็กจิ้มลิ้มสูดควันเข้าปอดในอากัปกิริยาที่เธอแอบคิดว่ามันมีเสน่ห์ ใบหน้าหวานหลับตาเงยหน้าปล่อยควันออกมาช้าๆ กลุ่มควันสีขาวลอยอ้อยอิ่งอยู่ในความเงียบเมื่อคนทั้งคู่ไม่คิดจะต่อบทสนทนา กลิ่นนุ่มนวลของช็อกโกแลตกับวนิลาลอยแทรกอยู่ในอากาศ ซึ่งโปรดคิดว่าเป็นกลิ่นที่เหมาะกับเจ้าตัวดี


    “ติดมั้ย บุหรี่อ่ะ” โปรดเอ่ยทำลายความเงียบ

    “ไม่ติดหรอก แค่นานๆ ที” เจ้าตัวเหลือบตามอง “ไม่ถามเหรอ”

    โปรดมองดวงตาที่ยังคงแดงช้ำและบรรยากาศหม่นเศร้าที่แผ่ออกมาจากร่างเล็ก ดวงตาคู่เรียวมองหน้าอีกฝ่าย

    “ไม่หรอก”

    “ดีแล้ว เพราะถึงถามพริ้งก็จะไม่ตอบ” คนตรงหน้ายิ้มบางๆ ร่างเล็กสูดควันเข้าปอดอีกหนึ่งที มือบางปล่อยบุหรี่ที่เพิ่งสูบไปได้ครึ่งมวนทิ้งลงพื้น ใช้ปลายเท้าขยี้ จัดการเก็บทิ้งให้เรียบร้อย


    แม้อยู่ในอารมณ์เศร้าแต่พริ้งก็ไม่คิดที่จะทิ้งขยะเรี่ยราดหรอกนะ


    “ชอบดูพระจันทร์เหรอ” คนตัวเล็กเท้าแขนลงบนราวเหล็ก ใบหน้าหวานเงยมองพระจันทร์ดวงโตบนท้องฟ้า โปรดเอนหลังพิงราวจ้องมองใบหน้าด้านข้างของคนที่อายุมากกว่า

    “ก็ไม่ขนาดนั้น แค่ชอบความเงียบตอนกลางคืนมากกว่า”

    “เป็นนกฮูกเหรอ” โปรดย่นจมูกให้กับคนที่อารมณ์ดีพอที่จะหยอกเธอ

    “ขอถ่ายรูปได้เปล่า

    “สภาพนี้ เอาจริงดิ”

    แทนคำตอบโปรดหันหลังเข้าห้องคว้ากล้องฟิล์มตัวเล็กที่เธอพกมาด้วย


    “ถ่ายขาวดำ”

    “แสงพอเหรอ”

    “ไม่รู้อ่ะ ลองดู”

    “แล้วแต่” คนตัวเล็กพูดด้วยน้ำเสียงปลงๆ อยากถ่ายก็ถ่ายไป แสงน้อยขนาดนี้จะได้กี่รูปกันเชียว


           โปรดทำเป็นเมินน้ำเสียงของพริ้ง เธอไม่ได้กดชัตเตอร์ในทันที รูปที่เธออยากได้เธอจะให้บรรยากาศโดยรอบเป็นตัวพาไปว่าควรจะถ่ายตอนไหน พูดง่ายๆ ก็คือถ่ายตามมู้ดนั่นเอง บทสนทนายามค่ำคืนของคนนอนไม่หลับสองคนดำเนินไปเรื่อยๆ ใบหน้าของคนตัวเล็กมีรอยยิ้มแต่งแต้มอยู่น้อยๆ ลมกลางคืนพัดมาเบาๆ โปรดอดไม่ได้ที่จะยื่นมือไปสัมผัสเส้นผมที่ปลิวไปตามแรงลม นิ้วเรียวยาวลูบไล้ปลายผมเบาๆ เธอรู้สึกได้ว่าดวงตาคู่สวยเจือประกายความเศร้า

    “คิดถึงเขาเหรอ”

    พริ้งปล่อยให้ความเงียบเป็นคำตอบ



Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in