เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องสั้นนอวอรอรอตอพอลอ
สี่คำสาปของชายผู้ท่องไปในกาลเวลา​ (1)
  • ชายหนุ่มถือภาพถ่ายใบนั้น​ไว้ในมือที่สั่นเทา​ ภาพใบนั้นเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่า​ เขาอยู่ในโลกใบนี้​ ณ​ ช่วงเวลานี้​ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาค้นพบความรัก

    "คุณเป็นใครกัน?" เขาจำประโยคแรกที่หญิงสาวในภาพถ่ายพูดกับเขาได้​ เขารู้สึกว่าตนเองถูกสาปด้วยการไร้ความสามารถในการลืมหรือละทิ้งความทรงจำเล็กๆ​ น้อยๆ​ ได้ตลอดการเดินทางข้ามเวลากว่าสี่สิบห้าปีของตนเอง

    มันยากเสมอที่จะอธิบาย​ว่าเขาเป็นนักเดินทางข้ามกาลเวลา​โดยไม่ตั้งใจ​ เขาเรียนรู้เรื่องนี้มาเนิ่นนานแล้ว​

    นับเป็นอีกหนึ่งคำสาปส่วนตัวของเขา​ การเดินทางข้ามเวลานั้นน่าสะพรึงกลัว​เสมอ​ เพราะเขาไม่สามารถควบคุมได้ว่าเขาจะไปโผล่ที่ไหนและในช่วงเวลาใด

    เกือบยี่สิบครั้ง​ ที่เขาปรากฏตัวขึ้นกลางสมรภูมิ​ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาได้แค่มองเห็นทหารที่นอนไส้ไหลจมกองเลือดอยู่กับพื้นก่อนที่กระสุนไรเฟิลที่กำลังปลิวว่อนลูกหนึ่งจะเพ่นพ่านมาถูกเข้าที่ขมับซ้ายจนเขาล้มลงด้วยแรงปะทะขนาด​ 8,400ฟุต/ปอนด์

    บางครั้งการตายก็เจ็บ​ คนส่วนมากโชคดียังไม่ทันรู้สึกเจ็บก็ตายไปก่อน​ 

    แต่กับตัวเขา​ การถึงแก่ชีวิตเป็นเพียงประตูที่เปิดไปสู่เวลาและสถานที่อื่น​ แม้ว่าแผลที่ร่างกายจะหายไปราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น​ แต่เส้นประสาทยังทำหน้า​ที่ส่งผ่านทุกความเจ็บปวดเข้ามายังสมอง​ 

    ชีวิตอมตะเป็นคำสาปข้อที่สามของเขา​ มันทำให้เขาต้องสาปแช่งความไร้ประสิทธิภาพของความตายอยู่เป็นประจำ​

    เขาเคยได้แต่หวังลมๆ​ แล้งๆ​ ว่า​ การเดินทางข้ามเวลาแต่ละครั้ง​ เป็นเพียงจิตประสาทที่หลอนไปในชั่ววินาทีก่อนที่หัวใจจะหยุดเต้นอย่างถาวร​ 

    "มองโลกในแง่ดีสิคะ​ คุณได้ใช้ชีวิตอมตะ​ ได้ไปเจออะไรตั้งเยอะแยะที่คนทั่วไปเขาไม่มีโอกาสได้้เจอ" เขาได้ยินเสียงของหญิงสาวอย่างชัดเจน​ในหัว​ ราวกับเขากำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องของเธอ​ หัวเธอหนุนอยู่บนตักของเขา​ มือขวาของเขาเล่นกับไรผมของเธอ​ มือซ้ายทั้งสองเกาะกุมประสานกันแน่น​ ราวกับกลัวว่าเขาจะหลุดหายไปได้ตลอดเวลา

    "เหรอ... คุณลองบ้างมั้ยล่ะ​ ลืมตาขึ้นมาเป็นที่ไหนก็ไม่รู้​ แล้วต้องอยู่ในโลกที่เร​าไม่รู้จักอะไรสักอย่าง​ เอาตัวรอดจากความอดอยาก ผมว่ามันเหนื่อยนะ" 

    "ก่อนไปไหนก็พกเงินไว้ติดตัวไว้เยอะๆ​ สิ​" เธอหัวเราะ​ "วันไหนคุณจากไป​ ฉันจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้นะ" 

    "ไอ้บ้า" เขาลูบหัวเธออย่างรักใคร่

    ____________

    ภาพถ่ายในมือ​ เตือนเขาว่าเธอมีตัวตนอยู่จริง​ เขาและเธอได้พบกันจริง​ๆ​ และได้ใช้ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตร่วมกัน​จริง

    นานมาแล้วที่เขาไม่เคยอยู่ที่ไหนหรือสนิทกับใครได้และเนิ่นนานจนมีความฝันร่วมกับใครได้ขนาดนี้​ 

    แต่แล้วเธอก็หายไป

    เขาวนเวียนหาเธออยู่ถึงสี่ห้าวัน​ คุยกับเพื่อนและครอบครัวของเธอทุกคนที่เขารู้จัก​ มันดูเหมือนเป็นวันปกติ​วันหนึ่ง​ เธอลุกขึ้นมาแต่งตัวและแวะหอมแก้มเขาก่อนไปทำงานตามเวลาปกติ​ 

    แต่เธอไปไม่ถึงที่ทำงาน

    เท่าที่รู้​ เขาเป็นมนุษย์คนสุดท้ายที่ได้เห็นเธอในวันนั้น

    ความเป็นไปได้มากมาย​ เธออาจเลือกเดินออกจากความสัมพันธ์นี้​ เธออาจจะประสบอุบัติเหตุหรือเกิดอะไรขึ้นโดยไม่มีใครรู้

    หรือไม่​ เธอก็อาจจะกำลังเดินทางข้ามเวลา​อยู่​ 

    เขาไม่รู้ว่าแต่ละครั้งที่เขา​โผล่ขึ้นมาในที่และเวลาใหม่​ ร่างกายที่ตายลงจะยังคงหลงเหลือเป็นศพนิรนามอยู่ในห้วงเวลานั้นๆ​ หรือเปล่า​ แต่เขาคิดว่ามันเป็นไปได้มากกว่าที่เขาจะคงหายไปเฉยๆ​ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีข้อพิสูจน์​ 

    โลกนี้มีคนสูญหายไปเฉยๆ​ ทุกวัน​ ใครจะรู้ว่าคนเหล่านั้นอยู่แห่งหนใดในกระแสของกาลเวลา

    ถ้าเธอกลลายเป็นนักท่องเวลาเช่นเดียวกับเขา​ เธอคงสับสนและหลงทาง​ในการเดินทางครั้งแรก​

    แต่เขาไม่เคยพบกับคนอื่นที่เป็นเหมือนเขา​ พระเจ้าคงไม่พาสองคนที่ถูกสาปมาเจอกัน

    เขาเลือกเชื่อว่าเธอประสบอุบัติเหตุ​ เขาไปตามหาศพไร้ญาติตามโรงพยาบาล​หรือมูลนิธิต่่างๆ​ แต่ก็ไม่พบ

    เขายังกำรูปใบนั้นไว้แน่น​ คำถามประโยคหนึ่ง​ ค่อยๆ​ โผล่เข้ามาในหัว "หรือได้เวลาที่เราต้องไปแล้ว?" 
    _____________

    เขาเตรียมข้าวของสำหรับการเดินทางครั้งต่อไป​ เสื้อผ้าและอาหารแห้งเต็มเป้หลัง​ เขาแวะซื้อทองคำ​ ถ้าเขาโชคดีพอและไปโผล่ในสังคมยุคที่รู้จักการค้าแล้ว​ อย่่างน้อยทองก็มีค่าแลกเปลี่ยนได้เสมอ​ 

    เขากำลังจะปิดประตูบ้าน​ เหลือบมองดูห้องอพาร์ตเมน​ต์ที่เคยอยู่ร่วมกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย

    เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น... 

    _____________
    (โปรดติดตามตอนต่อไป)​








เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in