ชายหนุ่มถือภาพถ่ายใบนั้นไว้ในมือที่สั่นเทา ภาพใบนั้นเป็นสิ่งที่ย้ำเตือนว่า เขาอยู่ในโลกใบนี้ ณ ช่วงเวลานี้ เป็นอีกครั้งหนึ่งที่เขาค้นพบความรัก
"คุณเป็นใครกัน?" เขาจำประโยคแรกที่หญิงสาวในภาพถ่ายพูดกับเขาได้ เขารู้สึกว่าตนเองถูกสาปด้วยการไร้ความสามารถในการลืมหรือละทิ้งความทรงจำเล็กๆ น้อยๆ ได้ตลอดการเดินทางข้ามเวลากว่าสี่สิบห้าปีของตนเอง
มันยากเสมอที่จะอธิบายว่าเขาเป็นนักเดินทางข้ามกาลเวลาโดยไม่ตั้งใจ เขาเรียนรู้เรื่องนี้มาเนิ่นนานแล้ว
นับเป็นอีกหนึ่งคำสาปส่วนตัวของเขา การเดินทางข้ามเวลานั้นน่าสะพรึงกลัวเสมอ เพราะเขาไม่สามารถควบคุมได้ว่าเขาจะไปโผล่ที่ไหนและในช่วงเวลาใด
เกือบยี่สิบครั้ง ที่เขาปรากฏตัวขึ้นกลางสมรภูมิ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เขาได้แค่มองเห็นทหารที่นอนไส้ไหลจมกองเลือดอยู่กับพื้นก่อนที่กระสุนไรเฟิลที่กำลังปลิวว่อนลูกหนึ่งจะเพ่นพ่านมาถูกเข้าที่ขมับซ้ายจนเขาล้มลงด้วยแรงปะทะขนาด 8,400ฟุต/ปอนด์
บางครั้งการตายก็เจ็บ คนส่วนมากโชคดียังไม่ทันรู้สึกเจ็บก็ตายไปก่อน
แต่กับตัวเขา การถึงแก่ชีวิตเป็นเพียงประตูที่เปิดไปสู่เวลาและสถานที่อื่น แม้ว่าแผลที่ร่างกายจะหายไปราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้น แต่เส้นประสาทยังทำหน้าที่ส่งผ่านทุกความเจ็บปวดเข้ามายังสมอง
ชีวิตอมตะเป็นคำสาปข้อที่สามของเขา มันทำให้เขาต้องสาปแช่งความไร้ประสิทธิภาพของความตายอยู่เป็นประจำ
เขาเคยได้แต่หวังลมๆ แล้งๆ ว่า การเดินทางข้ามเวลาแต่ละครั้ง เป็นเพียงจิตประสาทที่หลอนไปในชั่ววินาทีก่อนที่หัวใจจะหยุดเต้นอย่างถาวร
"มองโลกในแง่ดีสิคะ คุณได้ใช้ชีวิตอมตะ ได้ไปเจออะไรตั้งเยอะแยะที่คนทั่วไปเขาไม่มีโอกาสได้้เจอ" เขาได้ยินเสียงของหญิงสาวอย่างชัดเจนในหัว ราวกับเขากำลังนั่งอยู่บนโซฟาในห้องของเธอ หัวเธอหนุนอยู่บนตักของเขา มือขวาของเขาเล่นกับไรผมของเธอ มือซ้ายทั้งสองเกาะกุมประสานกันแน่น ราวกับกลัวว่าเขาจะหลุดหายไปได้ตลอดเวลา
"เหรอ... คุณลองบ้างมั้ยล่ะ ลืมตาขึ้นมาเป็นที่ไหนก็ไม่รู้ แล้วต้องอยู่ในโลกที่เราไม่รู้จักอะไรสักอย่าง เอาตัวรอดจากความอดอยาก ผมว่ามันเหนื่อยนะ"
"ก่อนไปไหนก็พกเงินไว้ติดตัวไว้เยอะๆ สิ" เธอหัวเราะ "วันไหนคุณจากไป ฉันจะเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้นะ"
"ไอ้บ้า" เขาลูบหัวเธออย่างรักใคร่
____________
ภาพถ่ายในมือ เตือนเขาว่าเธอมีตัวตนอยู่จริง เขาและเธอได้พบกันจริงๆ และได้ใช้ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตร่วมกันจริง
นานมาแล้วที่เขาไม่เคยอยู่ที่ไหนหรือสนิทกับใครได้และเนิ่นนานจนมีความฝันร่วมกับใครได้ขนาดนี้
แต่แล้วเธอก็หายไป
เขาวนเวียนหาเธออยู่ถึงสี่ห้าวัน คุยกับเพื่อนและครอบครัวของเธอทุกคนที่เขารู้จัก มันดูเหมือนเป็นวันปกติวันหนึ่ง เธอลุกขึ้นมาแต่งตัวและแวะหอมแก้มเขาก่อนไปทำงานตามเวลาปกติ
แต่เธอไปไม่ถึงที่ทำงาน
เท่าที่รู้ เขาเป็นมนุษย์คนสุดท้ายที่ได้เห็นเธอในวันนั้น
ความเป็นไปได้มากมาย เธออาจเลือกเดินออกจากความสัมพันธ์นี้ เธออาจจะประสบอุบัติเหตุหรือเกิดอะไรขึ้นโดยไม่มีใครรู้
หรือไม่ เธอก็อาจจะกำลังเดินทางข้ามเวลาอยู่
เขาไม่รู้ว่าแต่ละครั้งที่เขาโผล่ขึ้นมาในที่และเวลาใหม่ ร่างกายที่ตายลงจะยังคงหลงเหลือเป็นศพนิรนามอยู่ในห้วงเวลานั้นๆ หรือเปล่า แต่เขาคิดว่ามันเป็นไปได้มากกว่าที่เขาจะคงหายไปเฉยๆ ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีข้อพิสูจน์
โลกนี้มีคนสูญหายไปเฉยๆ ทุกวัน ใครจะรู้ว่าคนเหล่านั้นอยู่แห่งหนใดในกระแสของกาลเวลา
ถ้าเธอกลลายเป็นนักท่องเวลาเช่นเดียวกับเขา เธอคงสับสนและหลงทางในการเดินทางครั้งแรก
แต่เขาไม่เคยพบกับคนอื่นที่เป็นเหมือนเขา พระเจ้าคงไม่พาสองคนที่ถูกสาปมาเจอกัน
เขาเลือกเชื่อว่าเธอประสบอุบัติเหตุ เขาไปตามหาศพไร้ญาติตามโรงพยาบาลหรือมูลนิธิต่่างๆ แต่ก็ไม่พบ
เขายังกำรูปใบนั้นไว้แน่น คำถามประโยคหนึ่ง ค่อยๆ โผล่เข้ามาในหัว "หรือได้เวลาที่เราต้องไปแล้ว?"
_____________
เขาเตรียมข้าวของสำหรับการเดินทางครั้งต่อไป เสื้อผ้าและอาหารแห้งเต็มเป้หลัง เขาแวะซื้อทองคำ ถ้าเขาโชคดีพอและไปโผล่ในสังคมยุคที่รู้จักการค้าแล้ว อย่่างน้อยทองก็มีค่าแลกเปลี่ยนได้เสมอ
เขากำลังจะปิดประตูบ้าน เหลือบมองดูห้องอพาร์ตเมนต์ที่เคยอยู่ร่วมกับเธอเป็นครั้งสุดท้าย
เป็นเวลาเดียวกับที่เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น...
_____________
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in