“ค่ะ หนูรู้ตัวแล้ว หนูรู้ตัวแล้วว่าหนูฝันอยู่” ไมกะตอบ แววตาจมลึกอยู่ในความคิด ขณะเดียวกันเครื่องบินก็กลับมาสงบนิ่งอีกครั้ง “แต่ในขณะเดียวกันก็รู้ตัวว่ายังตื่นไม่ได้ค่ะ ฤทธิ์ยามันแรงเกินไป”
และแล้วแสงสว่างก็หวนกลับมา เผยให้เห็นทุกคนที่พักกายสะเปะสะปะ ใบหน้าแดงซ่านด้วยฤทธิ์สุคนธ์ของอินคิวบัส
หน้าจอทั้งหลาย บอกเวลา :
10:19:56
ความโกลาหลวุ่นวายนี้เพิ่งผ่านมาสี่สิบกว่านาทีเท่านั้นเองหรือ ลีอาร์รู้สึกราวกับว่าเขาติดอยู่ในนี้มาจะสองชั่วโมงแล้ว แต่เอาเข้าจริง… เขาคงอยู่ในฝันนี้มาไม่ถึงชั่วโมง เขาเพียงแต่ขึ้นเครื่องมานานกว่านั้น
10:19:12
“ผู้คุมสอบบอกว่า… พวกเรามีเวลาสิบเอ็ดชั่วโมงก่อนที่เครื่องบินจริงจะถึงเกาะมารดร” อลันว่า “แต่เธอไม่ได้กล่าวถึงเรื่องยา”
เอลเลียตส่ายหน้า ริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรง “ไม่ แต่เราควรคาดการณ์รูปแบบที่เลวร้ายที่สุด… ว่ายาจะออกฤทธิ์นานถึงสิบเอ็ดชั่วโมง ปัญหาคือ พวกเราไม่มั่นใจว่าจะไหว” เขาไม่ได้ขยายความเรื่องที่ไมกะกำลังกินพลังจิตของพวกเขาอยู่ “เธอต้องพยายามบังคับจิตให้ตื่นให้ได้ แต่การทำแบบนั้นอาจหมายถึงกลืนกินพลังจิตของพวกเรามากขึ้น ซึ่งจะทำให้พวกพลังอ่อนแอตกที่นั่งลำบากในการสอบครั้งนี้ – ผู้คุมสอบคงตั้งใจคัดคนออกสักครึ่งหนึ่งแต่แรกแล้วในด่านนี้”
“ผม… อาจจะช่วยได้” ลีอาร์เอ่ย ดวงตาของไมกะพลันเลื่อนมาหยุดที่เขา
“คุณกำลังบอกว่า คุณมีวิธีตื่นจากฝันโดยมั่นใจว่าจะต้านของฤทธิ์ยาของผู้คุมสอบได้หรือครับ” เอลเลียตถาม “ไม่ใช่ผมคนเดียวแล้วสิที่ชอบงุบงิบความสามารถ”
“คุณคงคาดการณ์ได้ ว่าผมไม่อยากใช้ให้ผู้อื่นรู้” ลีอาร์ตอบกลับ เสียงเริ่มยานคางน้อยลง แต่ก็ยังไม่กลับมาเป็นปกติเสียทีเดียว
เอลเลียตผละไปกวาดสายตามองไปทั่วเครื่องบิน “มีคนน้อยลง”
“เหล่าบุคคลที่ไม่มีพลังจิตแข็งแกร่งพอ พลังจะรวนจนหายไปจากฝันค่ะ แต่คงไม่ตื่นขึ้นจนกว่าจะหมดฤทธิ์ยา แต่ไม่ได้เสียชีวิตนะคะ… เท่าที่หนูสัมผัสได้ หนูคาดว่าพวกเขาคงสอบตก” ไมกะก้มหน้าลง แล้วเงยมองลีอาร์อีก “เงื่อนไขของพี่ลีอาร์ล่ะคะ”
ความเงียบเข้าปกคลุมพวกเขา ดูเหมือนว่าไมกะจะคาดการณ์ว่าความสามารถของลีอาร์เป็นประเภทที่ต้องมีเงื่อนไขแลก หรืออย่างน้อยก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนที่ชัดเจนจากผู้รับ
“ไม่มาก… แต่ผม… ไม่มีสมาธิ ตัวยังรู้สึกร้อนอยู่เลยครับ” ลีอาร์ผ่อนลมหายใจออกยาว ๆ ที่ฟังดูเหมือนจะรู้สึกดีกว่าที่ตั้งใจ “ฤทธิ์พลังของคุณจะหายไปเมื่อไรหรือครับ”
“นับจากเวลาที่สูดกลิ่นเข้าไปก็สักชั่วโมงหนึ่ง” เอลเลียตว่า “นั่งลงสิ พวกเราจะรอ”
“ถึงเวลานั้นผมอยากอยู่กับไมกะสองคน” ลีอาร์เอ่ย
“ไม่ ผมคงอนุญาตไม่ได้” อลันกล่าว
ลีอาร์เอ่ยปากยอมรับ ไถแผ่นหลังตัวเองกับผนังด้านหลัง นั่งลงบนพื้นเครื่องบินอย่างอ่อนแรง
_
09:49:35
09:49:34
09:49:33
ทุกคนเงียบพักไปหลายนาที แม้จะกำลังถูกกินพลังงานอยู่ตลอดเวลา แต่หากวางใจให้สงบ พวกเขาก็พอจะประหยัดพลังจิตไปได้เยอะ เริ่มมีเสียงขยับตัวและพูดหารือ หลายคนคงจะเป็นแบบลีอาร์ เริ่มมีสติมากขึ้น แต่ก็ยังขยับไม่ได้สะดวกนัก
“ผมคิดว่าผมใกล้พร้อมแล้ว” ลีอาร์เอ่ย เขาเหลือบมองเอลเลียตที่นั่งเอนกายข้าง ๆ ก่อนจะถามสิ่งที่คาใจเขา “ก่อนหน้านี้… ก่อนหน้านี้คุณพูดว่าคุณถูกชะตากับผม ถ้าเป็นความจริงล่ะก็… เป็นเพราะอะไรหรือครับ”
“หืม?” เอลเลียตส่งเสียงทวน ชายตามองลีอาร์ด้วยหางตา ก่อนจะมองไปข้างหน้าอีกครั้ง แต่สายตาไม่ได้จดจ่ออยู่ที่อลันกับไมกะที่อยู่ตรงข้ามพวกเขา
09:47:43
ลีอาร์นึกว่าเขาคงไม่ได้รับคำตอบแล้ว กระทั่ง :
“นิ้วก้อยน่ะ”
“ครับ?” ครานี้ลีอาร์หันหน้าไปมอง เลื่อนนิ้วโป้งไปถูโคนนิ้วก้อยข้างซ้ายด้วยความเคยชิน รอยที่เหมือน—
“ชีวธำมรงค์” ลีอาร์กับไมกะพึมพำพร้อมกัน พวกเขาหมายถึง แหวนชนิดหนึ่งที่หากสวมแล้วจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อ ชายหนุ่มกับเด็กหญิงสบตากันชั่วขณะ ก่อนที่ไมกะจะเบนสายตาไปทางอื่น ราวกับเกรงจะเสียมารยาทที่ฟังพวกเขาคุยกัน
“ผมเคยอ่านเจอ” ลีอาร์พูดต่อ “แต่ไม่ใช่หรอกครับ นี่… มีมาแต่เกิดน่ะ”
“ครับ” เอลเลียตว่าด้วยน้ำเสียงแห้งอย่างประหลาด
“ขอโทษครับ ผม… ยังไม่เข้าใจเสียทีเดียว”
“ผมเคยให้แหวนเพื่อนน่ะครับ” เอลเลียตไหวไหล่แบบไม่ยี่หระ “ก็เลยคิดถึง”
“อ้อ… ครับ” ลีอาร์พูดเสียงแผ่ว เขาสัมผัสว่ามีบางอย่างที่ดูเป็นเรื่องส่วนตัวจากจุดนั้น จึงไม่ถามต่อ “ผมคิดว่า… น่าจะไหวแล้ว” เขายันกายขึ้นเล็กน้อย คลานไปหาไมกะที่นั่งอยู่บนตักอลัน
เอลเลียตเพ่งมองไมกะ “คุณเจ้าของฝัน ปล่อยให้พวกเราออกจากฝันนี้ไปด้วยนะครับ อย่าไปกันแค่สองคนนา”
ไมกะผงกหัวรับเอลเลียต ไม่ได้ละสายตาจากเขา “ไม่ว่าเจตนาของหนูจะเป็นยังไง หนูนึกภาพว่า ผู้คุมสอบคงให้ทุกคนที่ยังมีพลังจิตเหลืออยู่ตื่นไปกับเจ้าของฝันอยู่แล้วค่ะ – ฉะนั้น วิธีออกจากฝันโดยการพบตัวเจ้าของฝันจึงนับเป็นวิธีที่เขาใบ้มา วิธีที่ดีที่สุด… ถ้าให้ใครผ่านตามความต้องการของผู้สมัครอย่างหนูคงเป็นไปไม่ได้”
“เงื่อนไข… มันจะเหมือนกับว่าผมจำต้องควบคุมคุณชั่วครู่ ตกลงไหมครับ” ลีอาร์ถามไมกะด้วยเสียงช้าชัด
“ตกลงค่ะ” มีแสงประกายในนัยน์ตาไมกะที่ดูราวกับพิศถึงวิญญาณ์ผู้อื่นได้ ดูเกินวัยเด็กทั่วไปมากนัก ในแง่ของผลประโยชน์แล้ว เธอไม่มีความจำเป็นที่ต้องตอบตกลงลีอาร์ ลีอาร์ไม่คิดว่าเธอเลือกตกลงเพราะเธอเชื่อใจเขา แต่ดูราวกับว่า เธอมองบางอย่างเกี่ยวกับตัวเขาได้ทะลุปรุโปร่งจึงเลือกทางนี้—ซึ่งชวนให้เขากระสับกระส่าย ส่วนอลันนั้นดูเคารพการตัดสินใจของเธอ และไม่ว่าใครก็คงมองว่ายิ่งตื่นเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น ส่วนมุมมองของเอลเลียตนั้นลีอาร์ไม่แน่ใจ แต่ส่วนหนึ่งเขาคิดว่าทั้งอลันและเอลเลียตปรารถนาจะเห็นความสามารถของเขา ไม่ว่าอย่างไร การศึกษาความสามารถของผู้ร่วมการคัดเลือกก็อาจมีประโยชน์ได้ในอนาคต
ตั้งแต่ตัดสินใจมาสอบ ลีอาร์ก็ทำใจว่าผู้อื่นอาจรู้เรื่องความสามารถของเขาเข้าอยู่แล้ว แต่แค่มองเผิน ๆ คงยากจะจับจุดได้ว่าคืออะไรกันแน่
“กุมมือกันไว้ครับ” ลีอาร์เลื่อนมือทั้งสองข้างแบไปข้างหน้า
มือเล็ก ๆ ของไมกะกอบกุมมือของลีอาร์ไว้
“สบตาผม” ลีอาร์พูดเสียงเบาลง
ดวงตาคมเฉียงสบเนตรมืดทมิฬของชายตรงหน้า
“อะไรที่กระตุ้นความทรงจำของไมกะได้ดีที่สุดหรือครับ” ลีอาร์ถาม
“หมายความว่ายังไงหรือคะ” ไมกะถาม ราวกับต้องการคำยืนยันบางอย่าง ทั้งที่เธอไม่ได้ดูสับสน
“ขอโทษครับ ผมหมายถึงความทรงจำเก่า ๆ น่ะครับ… สิ่งกระตุ้นบางอย่าง ที่ทำให้เราหวนระลึกถึงเรื่องเก่า ๆ ขึ้นมาได้โดยง่ายที่สุด”
“กลิ่นค่ะ”
ลีอาร์พยักหน้า สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วย่อมเกี่ยวเนื่องกับกลิ่น “ถ้าอย่างนั้น… นึกถึงกลิ่นเครื่องบินตอนที่คุณเพิ่งขึ้นเครื่องมาครับ ส่วนผมก็จะนึกถึงกลิ่นในช่วงเวลานั้นเช่นกัน”
พลันนัยน์ตาของไมกะก็มืดดำลงเสมอเสมือนกับดวงตาของลีอาร์ เธอเอ่ยทวนว่า “นึกถึงกลิ่นเครื่องบินตอนที่คุณเพิ่งขึ้นเครื่องมาครับ ส่วนผมก็จะนึกถึงกลิ่นในช่วงเวลานั้นเช่นกัน”
“ครับ” ลีอาร์เอ่ยรับ ไม่ละสายตาไปจากดวงตาของไมกะ
“ครับ” ไมกะกล่าว
อลันรู้สึกขนลุกที่หลังคอ “คุณ… ทำอะไร—”
“กลิ่นของเครื่องบิน—”
“—กลิ่นของเครื่องบิน”
ในคราวนี้พวกเขาพูดซ้อนกัน ไมกะเริ่มประโยคช้ากว่าลีอาร์เพียงเล็กน้อย
“ตอนที่พวกเราตื่น” ลีอาร์และไมกะพูดพร้อมกัน
แสงสว่างสาดจ้าขึ้น จากกระจกข้างนอกเครื่องบิน จากดวงไฟ จากสรรพางค์กายพวกเขาเอง ประหนึ่งผู้สร้างบันดาลว่าจงเกิดความสว่างกระนั้น
_
ลีอาร์ลืมตาตื่นช้า ๆ คอเอียงพับ ภาพแรกที่เขาเห็นคือนภายามกลางวัน กระจกของหน้าต่างเครื่องบินยังติดอยู่ดี เขาไม่รู้สึกปวดคอ เป็นสัญญาณว่าเขาไม่ได้อยู่ในสภาพนี้มานานนัก แต่กลับมีความอุ่นซ่านเจือจางแผ่อยู่ทั่วกายเป็นฤทธิ์ตกค้างของกลิ่นอายอินคิวบัส
หน้ากากออกซิเจนเด้งลงมาจากเพดานเครื่องบิน
‘สวัสดียามบ่ายค่ะ ท่านตื่นก่อนระยะเวลาที่แก๊สยาสลบจะจางหายดี กรุณาใส่หน้ากากทันทีเพื่อคุมสติให้ตื่นและฟื้นฟูพลังงานของท่านค่ะ’ เสียงประกาศดังขึ้น
เขาผงกศีรษะขึ้น รีบคว้าหน้ากากมาสวมให้ครอบปากและจมูกของตนไว้อย่างถูกต้อง และดึงสายรัดให้เรียบร้อย กลิ่นยาอบอวลจมูก เขาสังเกตไมกะที่หันมามองเขาผ่านช่องว่างระหว่างที่นั่งข้างหน้า ก่อนที่เธอจะคว้าหน้ากากมาใส่ เขาลุกขึ้น โน้มไปช่วยเธอสวมหน้ากาก ระหว่างนั้นอลันก็ลืมตาโพลงขึ้น ลีอาร์จึงหันไปสำรวจเอลเลียตที่เพิ่งเปิดปรือตาขึ้นเช่นกัน
เสียงประกาศกล่าวซ้ำว่า ‘สวัสดียามบ่ายค่ะ ท่านตื่นก่อนระยะเวลาที่แก๊สยาสลบจะจางหายดี กรุณาใส่หน้ากากทันทีเพื่อคุมสติให้ตื่นและฟื้นฟูพลังงานของท่านค่ะ’
หลาย ๆ คนค่อย ๆ ตื่นขึ้น มีบางคนหวีดร้อง
‘โปรดอยู่ในความสงบ เจ้าหน้าที่จะเข้าไปเคลื่อนย้ายศพหรือผู้บาดเจ็บสาหัสเร็ว ๆ นี้ค่ะ’
หลังจากนั้นก็มีเสียงสะอื้นแว่วมาบ้าง เขาเห็นพนักงานคนหนึ่งจากไกล ๆ ร่ายเวทบางอย่างแล้วร่างหนึ่งในบริเวณนั้นก็หายไป แม้จะมีคนลืมตาตื่นเพิ่มขึ้นทีละน้อย แต่กลับแทบไม่มีเสียงพูดคุย หลายคนเพียงแต่คว้าหน้ากากมาสวม ไม่พูดไม่จา
บางคนก็ไม่ตื่น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in