ในที่สุดพวกเราก็เข้ามาจนถึงอาคารลงทะเบียน ดูเหมือนว่าอาคารนี้จะเป็นหอประชุม ด้านในของอาคารมีพื้นที่อเนกประสงค์ที่ค่อนข้างกว้าง ในสุดเป็นยกพื้นสูงเท่าหนึ่งช่วงตัวคน น่าจะเป็นเวที แต่โต๊ะลงทะเบียนนั้นตั้งอยู่ด้านล่างตรงหน้ายกพื้นพอดี
มันดูแปลกตาอยู่บ้างที่เหล่าลูกชายลูกสาวของขุนนางต้องมายืนต่อแถวกัน ถึงจะแบ่งแถวระหว่างสามัญชนกับชนชั้นสูงแยกออกจากกันก็เถอะ ที่เป็นอย่างนี้ได้คงเพราะที่นี่คือโรงเรียน แถมยังมีพวกคนที่ดูเหมือนรุ่นพี่ในชุดนักเรียนสีดำคอยดูแลแถวอยู่ด้วย ปกติแล้วชนชั้นสูงไม่เคยต้องยืนต่อแถวแบบนี้หรอก อย่างมากถ้าต้องรอคิวพวกเขาก็จะต้องได้เก้าอี้รับรองเป็นอย่างน้อย การเห็นคนพวกนี้ยืนเข้าแถวกันยาวเหยียดนี่ถือเป็นภาพหายากสำหรับผมเลย
แต่ดูเหมือนว่าจะมีคนที่ไม่อยากยอมรับสภาพแบบนี้อยู่จริงๆด้วย...
"ทำไมข้าจะต้องมาทำตัวเหมือนสามัญชนทั่วไปแบบนี้ด้วย ให้ข้าไปข้างหน้าเดี๋ยวนี้ เจ้ารู้ใช่ไหมว่าข้าเป็นใคร"
ผมไม่รู้จักเจ้าของเสียงหรอก แต่แค่ดูก็รู้ว่าเขาไม่พอใจเรื่องนี้แน่นอน แต่รุ่นพี่ชุดนักเรียนสีดำก็ยังคงสงบเงียบแล้วบอกให้เขาเงียบซะ
ชุดนักเรียนสีดำเป็นชุดของพวกสภานักเรียน ตอนที่คุยกับไคลด์ก่อนหน้านี้ผมเคยลองเลียบเคียงถามเขา แล้วเขาก็เป็นคนอธิบายให้ผมฟัง มันเป็นหนึ่งในความสงสัยตอนที่อาสึกะเล่นเกมนี้ ในตัวเกมไม่ได้กล่าวถึงกฎในโรงเรียนอย่างชัดเจนแต่ก็มีพูดถึงอยู่บางส่วน
ช่วงเวลาที่ผมกำลังเตรียมตัวก่อนเข้าเรียนก็เลยไปหาอ่านเรื่องกฎดู เพื่อที่จะได้ปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง ปรากฎว่ามันมีกฎที่ห้ามดัดแปลงเครื่องแบบอยู่ด้วย เรื่องนั้นสอดคล้องกับการที่ในตัวเกมไม่ว่าจะเป็นตัวละครหลักหรือรอง ต่างก็สวมชุดนักเรียนหน้าตาแบบเดียวกัน หากจะแตกต่างก็แตกต่างเพียงความยาวของแขนเสื้อกับขากางเกง ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่โรงเรียนอนุโลม
ทว่ามีเพียงคนเดียวในเกมที่อาสึกะเห็นว่าไม่ได้สวมเครื่องแบบเหมือนคนอื่นนั่นก็คือไคลด์ เนื่องจากเธอไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับเขาเท่าไหร่ทำให้เธอไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเขาเลย แล้วเธอก็พลาดข้อมูลคำตอบของเรื่องนี้ไปจนได้
นอกจากตอบคำถามแล้วไคลด์ยังใจดีอธิบายต่อไปอีกว่าสภานักเรียนนั้นใช้ระบบแบบคัดคนเข้า สามารถสมัครเข้าได้อย่างอิสระ แต่ต้องผ่านการสอบและการฝึกฝนจากคนในสภาเสียก่อน สิทธิพิเศษที่จะได้หลังจากนั้นมีค่อนข้างมาก แม้ว่าจะเป็นสามัญชนแต่หากยังคงอยู่ในโรงเรียนในสถานะนี้ ก็มีสิทธิ์ที่จะสั่งชนชั้นสูงได้ เพราะงั้นมันเลยเป็นตำแหน่งที่คนแข่งขันกันเยอะ แถมคนที่มีเจตนาไม่ดีก็มีอยู่เยอะเช่นกัน คนที่แค่ต้องการแสดงฝีมือให้เป็นที่สะดุดตาเพื่อหวังจะเข้าไปใกล้ชิดชนชั้นสูงเองก็มีเหมือนกัน สภานักเรียนเลยเป็นเหมือนที่ของคนที่มีเป้าหมายแบบสุดโต่งไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ถ้าไม่ต้องไปยุ่งกับพวกเขาได้คงดีที่สุด
ผมตั้งใจทำตามคำแนะนำที่ดูหวังดีนั่น แต่ก็สงสัยว่าแล้วทำไมไหงเขาถึงไปเป็นสภานักเรียนด้วยล่ะ ก็ได้คำตอบทีเล่นทีจริงกลับมา ประมาณว่า เพราะเขาฉลาดแล้วก็เป็นคำสั่งของตระกูลยังไงล่ะ
เคยได้ยินมาเหมือนกันว่าตระกูลไซเลนไนน์มีเชื้อสายของราชวงศ์อยู่ แต่ไม่นึกเลยว่าจะไม่ยอมพลาดแม้แต่ตำแหน่งเล็กๆน้อยๆแบบนี้ ดูน่ากลัวอยู่นิดหน่อยเหมือนกัน ไม่ใช่ว่ามีแผนจะให้ไคลด์ทำอะไรให้อยู่หรอกนะ?
แน่นอนว่ากลุ่มของเราอันประกอบไปด้วยเจ้าชายอันดับหนึ่ง อัศวินอารักษ์ และบุตรชายของมาร์ควิสจะต้องถูกจ้องมองเป็นจุดเด่นมาตลอดทาง เมื่อมาแถวทุกคนก็หลีกทางให้กันเป็นแถบ
"ถึงข้าจะเป็นเจ้าชาย แต่มันคงไม่ดีที่จะทำผิดกฎเสียเอง..." ไอร์บอกพวกเรา
"นั่นเป็นเรื่องที่ถูกแล้วฝ่าบาท" ผมตอบกลับไปพยายามสนับสนุนเขา เพราะผมเห็นด้วยจริงๆ
"แต่นั่นมันค่อนข้างลำบากนะ เมื่อนึกถึงสายตารอบๆพวกเราแล้ว..." น่าแปลกที่คริสดูไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าไหร่ ผมนึกว่าเขาจะเป็นประเภทที่เจ้านายว่าอย่างนั้นก็ดี ริออสว่าอย่างงี้ก็ได้ซะอีก... ผมคงดูถูกเขามากไปหน่อย อันที่จริงพอเห็นแบบนี้เขาก็ดูตั้งใจทำงานตามหน้าที่ของตัวเองอย่างดีเชียว แม้มองเผินๆจะดูลั่ลล้าไปสักนิดก็เถอะ
"ที่เจ้าพูดก็ถูกนะคริส แต่ถึงยังไงเดี๋ยวพวกเราก็ต้องออกมาอยู่ในที่สาธารณะแบบนี้อีกหลายครั้ง ต้องมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีกหลายหน ที่นี่คือโรงเรียนคงจะหลีกหนีไปตลอดได้อย่างยากลำบาก เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอก อยู่แบบนี้บ่อยๆสิดี เผื่อว่าพวกเขาจะคุ้นชินการมีเราอยู่ขึ้นมาบ้าง"
ไอร์พยายามเกลี้ยกล่อม สิ่งที่เขาพูดค่อนข้างมองโลกในแง่ดีไปสักหน่อยเมื่อคิดว่าคนที่ต้องดูแลความปลอดภัยของเขาคือคริส แต่มันก็ไม่ได้ผิดซะทีเดียว
คริสถอนหายใจก่อนจะยอมรับให้พวกเราต่อแถวอย่างช่วยไม่ได้ เขาหันไปบอกทุกคนแทนไอร์ว่าฝ่าบาทโปรดจะยืนเข้าแถวกับทุกคนด้วย ดังนั้นไม่ต้องสนใจพวกเรา
"ขอบคุณที่อยู่ข้างเรานะ" เจ้าชายพูดพลางยิ้มให้ เขาช่างเป็นคนที่แจกจ่ายรอยยิ้มได้โดยไม่มีเบื่อจริงๆ
"นั่นเพราะมันเป็นสิ่งที่ถูกต้องต่างหากครับ... แต่เรื่องที่คริสกังวลท่านก็ควรจะใส่ใจเช่นกัน ความปลอดภัยของท่านสำคัญมากนะครับ" ผมตอบรับแล้วช่วยพูดในฝั่งของคริสบ้าง ไม่คิดว่าจะได้รับรอยยิ้มขมๆของเขากลับมา
"ข้าเองก็ไม่ใช่คนที่สำคัญขนาดนั้นหรอก..."
ไม่สำคัญกับผีสิครับ...ผมรู้สึกขัดใจกับความคิดของเขา แต่พอเห็นรอยยิ้มนั่นเลยไม่รู้จะพูดยังไงดี เอาจริงๆแล้วผมคงเข้าข้างคริสที่เป็นเพื่อนสนิทอยู่หน่อยๆล่ะมั้ง ถ้าเจ้าชายเป็นอะไรไปคนที่ต้องรับผิดชอบก็คือคริส ในมุมมองของผมสิ่งที่สำคัญที่สุดคงเป็นคริสมากกว่าเขา แม้ว่าปากจะบอกว่าชีวิตของเจ้าชายสำคัญก็เถอะ
บางทีเจ้าชายอาจจะพูดถูกในแง่หนึ่ง เขาไม่ใช่คนที่สำคัญขนาดนั้นสำหรับผมจริงๆ แต่คำพูดนั้นไม่ได้หมายถึงผมโดยตรงไม่ใช่เหรอ ฉะนั้นผมก็ยังขัดใจอยู่ดี เพียงแค่ทำเป็นนิ่งเฉยเท่านั้น
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in