กลับมาสู่อ้อมอกของ Marvel Studios อย่างเป็นทางการซักทีกับสไปเดอร์แมน หลังจากที่หลงทางกับโซนี่ สตูดิโอที่ "ไม่เก็ต" ตัวละครนี้อย่างร้ายแรง แฟน ๆ ส่วนใหญ่คงได้ลองชิมสไปดี้เวอร์ชั่นใหม่นี้ใน Captain America: Civil War ไปแล้ว พอมามีหนังเป็นของตัวเองใต้หลังคา MCU เราบอกเลยว่าสมการรอคอย
ภาพ: Marvel Studios, Columbia Pictures
QUEENS
Spider-Man: Homecoming ดูจะให้ความสำคัญกับบรรยากาศในย่าน Queens ของเมืองนิวยอร์กมาก ในขณะที่สไปเดอร์แมนเวอร์ชั่นก่อน ๆ ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการยิงใยโหนไปมาระหว่างตึกระฟ้า สไปดี้ภาคนี้เลือกที่จะอยู่ในที่ราบ วิ่งไล่ผู้ร้ายในเขตชานเมือง กระโดดข้ามหลังคาของบ้านชั้นเดียว นั่งกินขนมบนบันไดหนีไฟของตึกแถว ดูแล้วมันได้สปิริตของ Queens ซึ่งเป็นย่านที่ไม่ค่อยมีตึกสูง ๆ เท่าไหร่
นอกจากอาคารบ้านเรือนแล้ว ผู้คนก็มีสีสันมาก ไม่ว่าจะเป็นคนเดินถนน คนขายแซนด์วิช ไปจนถึงเพื่อนร่วมชั้นของปีเตอร์ที่ diverse มาก (ซึ่งเท่าที่อ่านมา ย่าน Queens นั้นเป็นแหล่งรวมคนจากต่างเชื้อชาติวัฒนธรรม ก็เลยจะ diverse อย่างงั้นจริง ๆ ) ทำให้โดยรวมแล้วเป็นโรงเรียนมัธยมที่ได้บรรยากาศโรงเรียน แทนที่จะเป็นโรงเรียนผ่านสายตาของ
ผู้ใหญ่ที่ไม่เข้าใจเด็กสมัยใหม่เลย (ตอนเราพูดว่าโซนี่ไม่เก็ตสไปเดอร์แมน เราพูดถึงอีเมล์พวกนี้แหละ)
โดยเพื่อนร่วมชั้นเด่น ๆ ก็มีเน็ด (เล่นโดย Jacob Batalon) เพื่อนซี้ที่คอยช่วยเหลือปีเตอร์อยู่ตลอด โดยปกติแล้วปีเตอร์นั้นจะต้องแบกรับภาระการเป็นสไปเดอร์แมนไว้โดยลำพัง บอกใครก็ไม่ได้ ดังนั้นการมีเน็ดมาเป็นเพื่อนคุยด้วย ในเชิงการเล่าเรื่องนั้นเน็ดเป็นคนที่ดึง subtext ของความลำบากในการเป็นสไปเดอร์แมนนั้นเป็น text ออกมา — คือเป็นเพื่อนคุยกัยปีเตอร์ให้คนดูฟังนั่นแหละ จะว่าไปก็คล้ายกับสไปเดอร์แมนเวอร์ชั่น Miles Morales ที่มี Ganke เป็นที่ปรึกษา ซึ่งเราว่าเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดดี
ส่วนแฟลช ทอมสัน (เล่นโดย Tony Revolori) ที่เปลี่ยนจาก jock ตัวใหญ่ที่คอยปัดหนังสือจากมือปีเตอร์ มาเป็นเด็กตัวเล็กแต่ก็ยังคอยจะรังแกปีเตอร์ผ่านคำพูดและ peer pressure ต่าง ๆ ซึ่งเราเดาว่าเป็นการส่งข้อความว่า bully นั้นอาจจะเป็นใครก็ได้ ยิ่งพอมีสื่อโซเชียล การ cyberbully ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่เด็กสมัยใหม่เผชิญ แล้วหนังก็สื่อประเด็นนี้ได้ดี
Methinks the Franchise Doth Reboot Too Much
ความน่าเบื่อของการรีบูตตัวละครซุปเปอร์ฮีโร่คือการที่หนังคิดว่าตัวเองจะต้องมานั่งเล่าถึงจุดกำเนิดซุปเปอร์ฮีโร่นั้น ๆ คนดูต้องเสียเวลาตอนต้นเรื่องไปกับการดูเนื้อเรื่องที่รู้ ๆ กันอยู่แล้ว บรูซ เวย์นตอนเด็กไปดูโอเปร่า ออกมาโดนโจรชักปืนยิงมิสเตอร์และมิสซิสเวย์น หรือการที่คลาร์ก เคนต์โดนจับยัดใส่แคปซูลส่งมายังโลก
เราต้องดูปีเตอร์ ปาร์กเกอร์โดนแมงมุมกัดอีกกี่รอบ?
แต่นั่นก็คือข้อดีของการเป็นตัวละครคลาสสิกเหมือนกัน หนังไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องจุดกำเนิดเพราะมันเป็นความรู้ทั่วไป หนังเรื่องนี้เลยใช้ความรู้ของคนดูข้ามฉากน่าเบื่อในช่วงแรกไป จะมีก็แค่บทพูดลอย ๆ "ฉันถูกแมงมุมกัด" ประโยคเดียว จบ
คนสร้างหนังแฮปปี้ เราก็แฮปปี้ที่ไม่ต้องมานั่งโดนลุงเบ็นโดนยิงเป็นรอบที่สาม
Iron-Man: Homestaying
พอหนังเรื่องนี้ปล่อยโปสเตอร์แรกออกมา หลายคนก็แซว แซ็ว แซวว่านี่มัน Iron Man 4 รึเปล่า ทำไมใบหน้าของ Robert Downey Jr. ถึงได้หราขนาดนั้น บางคนก็กังวลว่าโทนี่ สตาร์กจะแย่งซีน
ก็ไม่นะ
จริงแหละที่เวลาโทนี่โผล่มาทีไร พี่แกจะดึงสายตาคนดูมาก มี screen presence สูง อันนั้นเป็นธรรมชาติของเขา แต่รวม ๆ แล้วถึงบทของโทนี่จะสำคัญ ตัวโทนี่เองก็เข้ามาไม่กี่ฉาก เป็นคนคอยตักเตือนอยู่ไกล ๆ คือรับบทแทนลุงเบ็นแหละ
แต่เราว่าโทนี่ในหนังเรื่องนี้ไม่ค่อยเหมือนโทนี่เท่าไหร่ อาจจะเพราะเหตุการณ์ใน Civil War มั้ง มาคราวนี้โทนี่ไม่ค่อยปล่อยมุกหรือดี๊ด๊าแล้ว กลับกลายเป็นผู้ใหญ่ขี้โมโห ซึ่งอันนี้เราไม่โอเคเท่าไหร่ มันดูผิดคาแรกเตอร์อะ
That Vulture Guy is Cool Now
สิ่งที่ตัวร้ายของสไปเดอร์แมนในคอมิกดูจะมีเหมือนกันคือคอสตูมเห่ย ๆ เหมือนกับใส่ชุดนอนมาต่อสู้ โดยเฉพาะดีไซน์ต้นฉบับ ซึ่งเราชอบเวลาหนังเอามาปรับให้เข้ากับจอภาพยนต์ หลายครั้งตัวร้ายเหล่านั้นดูดีขึ้น บางครั้งก็...
นะ แต่เราว่า Vulture คือการรีดีไซน์ตัวร้ายของสไปเดอร์แมนที่เท่ที่สุดแล้ว จากมนุษย์หัวโล้นใส่ชุดรัดติ้วกลายเป็นชุดเกราะติดใบพัดเอเลี่ยน
เท่มาก
ตัว Michael Keaton เองก็รับบทเป็น Vulture ได้ดีสุด ๆ แสดงความจริงจังของตัวละครได้คือมาก หลายฉากนี่เข้าขั้นน่ากลัวเลย
ภาพ: Marvel Studios, Columbia Pictures
อื่น ๆ
-
เราเคยพูดถึง Guardians of the Galaxy Vol. 2 ว่าใส่มุกมาเยอะเกิน และมันทำให้ฉากที่จริงจังนั้นสูญเสียโมเมนตัมไป แถมมุกก็เป็นจังหวะแบบมาร์เวลไปหมดเลย คือสู้ ๆ อยู่แล้วปล่อยมุกที่เป็น quip ออกมา เล่นมาตั้งแต่คราวที่ Joss Whedon กำกับ The Avengers แล้ว แล้วมันก็ค่อย ๆ เสียเสน่ห์ของมันไปเรื่อย ๆ เพราะคนเริ่มเบื่อกับจังหวะแบบนี้ แต่คือมุกจังหวะนี้มันเป็นซิกเนเจอร์ของสไปดี้มาตั้งแต่คอมิกละไง ถ้าลองไปอ่านดูจะเห็นว่าการสู้ ๆ อยู่แล้วปล่อย quip เนี่ยมีให้เห็นตลอด แล้วหนังเรื่องนี้ก็เอามุกตลกแบบนี้มาใช้ได้ดี ไม่รู้สึกว่ามันขัดกับตัวละครเหมือนใน Doctor Strange ไรงี้
- ไม่ชอบฉากต่อสู้ตอนจบ เพราะมันแสงไฟวิบวับแสบตามาก จริง ๆ นะ คนที่เป็น photosensitive epilepsy ควรระวัง
ภาพ: Marvel Studios, Columbia Pictures
สรุป
ชอบมาก เป็นหนังมาร์เวลที่ถ้าวัดจากมาตรฐานของหนังมาร์เวลเรื่องอื่น — ซึ่งสูงกว่าหนังทั่วไปอยู่แล้ว — เราก็ยังคิดว่า Spider-Man: Homecoming ดีสุด ๆ ระดับต้น ๆ พอ ๆ กับ The Avengers หรือ Iron Man เลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in