" ความเจ็บปวดก็เหมือนก้อนหิน แค่วางทิ้งไว้ตรงนี้ แล้วไม่ต้องชะโงกหน้าไปมองมัน "
ความเจ็บปวดในอดีต และ ความกังวลในอนาคต ทำให้เด็กปี 3อย่างฉันที่ใกล้จะเรียนจบรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ฉันยอมรับความสูญเสียผู้คน สิ่งของ และสัตว์เลี้ยงในอดีตไม่ได้
และก็หวาดกลัวในอนาคตว่าหลังเรียนจบจะมีงานที่ชอบทำไหม หาเงินเลี้ยงตัวเองได้หรือเปล่า กรอบความคิดทางสังคมจะทำให้เติบโตเป็นสาวออฟฟิศที่วิ่งตามหาแต่เงินมาถลุงเสื้อผ้าแบรนด์เนมเพื่อต้องตาเพื่อนร่วมงานหรือเปล่า
รสชาติของอารมณ์พวกนี้ ไม่ต่างจากแกงเขียวหวานผสมลอดช่องกะทิสดในบาตรพระเลย มันปนเปและคลุกเคล้าอยู่หัวตลอดเวลา ฉันแทบจะอาเจียนออกมาเป็นตัวอักษรนับล้านชิ้นแต่กลับเทน้ำตาเป็นแกลลอนเพื่อปลดปล่อยความอััดอั้นที่ล้นปรี่อยู่ในก้นบึ้งจิตใจออกมาแทน
จนถึงวินาทีที่ต้องปล่อยวางของที่ยึดติดมานาน มันก็ทรมานกับการหักห้ามใจตัวเองไม่ให้เหลียวกลับไปมองมันอีก ฉันรู้ดีว่า เราเองก็ต้องฝืนพาตัวเองออกจากสารเสพติดที่เรียกว่า "การยึดติด" นี่ออกไปให้ได้
ไม่ต่างจากการวิ่งมาราธอนออกจากความสัมพันธ์ที่ Toxic ซึ่งไม่รู้จะทนอยู่ต่อไปให้เจ็บอีกทำไม ไม่ต่างจากการเลิกสวาปามอาหารรสชาติอร่อย แต่น้ำหนักบนตาชั่งกำลังพุ่งทะยานไปถึงร้อยกิโล หรือแม้กระทั่งการหากิ๊บติดผมลายยูนิคอร์นสีชมพูขนาดจิ๋วในลิ้นชักเครื่องสำอาง
ยิ่งหาไม่เจอเท่าไหร่ก็ยิ่งหงุดหงิดเท่านั้น ที่เราทรมาน เพราะ เรายึดติดว่า ทุกอย่างต้องอยู่กับเราทุกเวลาที่เราต้องการ
ยิ่งยึดติดมากเท่าไหร่ ความคาดหวังก็จะยิ่งถืบตัวสูงมากเท่านั้น พอความคาดหวังแตกสลาย ความเสียดายก็จะหลอกเราว่า สิ่งๆนั้นยังอยู่กับเราแฮะ (อยู่ในความทรงจำไง!) พอในชีวิตจริง คนที่เคยรัก ของเล่นชิ้นโปรด อนาคตที่วางแผนซะดิบดี มันก็หายว๊าบเหมือนเสกมนต์ไปแล้ว
ฉะนั้นให้ความเจ็บปวดที่มาจาก "ความเสียดาย" เพราะเราคาดหวังและกังวลสูงเกิน กลายเป็นก้อนหินที่เราจินตนาการว่าวางไว้ตรงนี้แหละ แล้วจงวิ่งออกไปโดยที่ไม่หันหน้ากลับมามองมันอีกเลย
ไปใช้ชีวิตใหม่ซะ!
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in