เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Log Book ที่รัก♡ployapha.j
ดำน้ำด้วยหนึ่งลมหายใจ (และการผจญภัยในเกาะเต่า)
  • November 2020







    (เนื้อหาสาระ(?)อยู่ที่หน้า 3 นะค้า ข้ามไปอ่านได้เล้ยยย)







    สวัสดี Log Book ที่รัก♡


    สิ่งที่จุดประกายให้เราบอกกับตัวเองว่า เอาวะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในปี 2020 เราจะไปเรียนฟรีไดฟ์ให้ได้ก็คือตอนที่เราไปทริป Deep South Maldives เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในคืนวันที่ฉลามวาฬมาโผล่ทักทายเราที่ท้ายเรือนั่นแหละ

    ใจจริงแล้วเราอยากเรียนฟรีไดฟ์มานานแล้วล่ะ และบอกกับทุกคนรอบตัวเสมอว่าเดี๋ยวจะไปเรียนจ้า ซึ่งคำว่า เดี๋ยว แปลว่า ยังไม่ทำ เอาไว้ก่อน และพอวันเวลาผันผ่านไป เราก็ลืมๆ ความอยากเรียนนั้นไปบ้างเพราะไปสนใจทำอย่างอื่น เลยผัดวันประกันพรุ่งปีแล้วปีเล่ามาเรื่อยๆ

    จนกระทั่งวินาทีนั้นที่เราอยากดำน้ำลงไปดูฉลามวาฬใจจะขาดแต่ลงไม่ได้เพราะไม่มีสกิล อากาศหมดไว แถมเคลียร์หูไม่ได้และปวดจี๊ดอีกต่างหากนั่นแหละ จึงมาตระหนักรู้ได้ว่า เฮ้ย ไม่ได้การล่ะ เราต้องไปทำสิ่งนี้จริงๆ จังๆ แล้วนะ ก็เลยบอกตัวเองในใจ ณ ตอนนั้นว่า





    ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในปีนี้ เราจะต้องไปเรียนฟรีไดฟ์ให้ได้!




    โอ้โห ยุทธศาสตร์ยิ่งใหญ ความตั้งใจเด็ดเดี่ยวมากๆ ซึ่งก็โดนปี 2020 ที่ไร้ความปราณีต่อมวลมนุษยชาติซัดตู้มเข้าใส่ ทั้งการแพร่ระบาดของโควิด ทั้งเจอล็อกดาวน์ ไทยปิดประเทศ งานหด เงินหาย สภาพจิตใจย่ำแย่ ใช้ชีวิตอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมไปวันๆ โดยที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันให้ชีวิตงอกเงย จ่อมจมอยู่กับความเครียดและความไม่แน่นอนของชีวิต

    จนกระทั่งก้าวเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปีกลับมาฉุกคิดขึ้นได้ว่าไม่ได้การล่ะ เราจะใช้ชีวิตให้คืนวันผันผ่านไปโดยไร้ความหมายต่อไปอย่างนี้ไม่ได้อีกแล้ว จึงตัดสินใจเดินทางกลับไทยมาพักผ่อนหย่อนใจ และทำในสิ่งที่สัญญากับตัวเองไว้ว่าอยากทำให้สำเร็จม๊ากมากในปีนี้ นั่นก็คือเดินลงใต้ไปเกาะเต่า เราจะไปเรียนฟรีไดฟ์ วู้วววว!














  • ที่เกาะสมุยมันมีอะไร ที่ทำให้คุณนั้นต้องอยากไป


    โดยปกติแล้วเวลาที่ไปเกาะเต่า เราจะนั่งรถทัวร์จากข้าวสารไปต่อเรืออีกทีนึงตามวิถีแบคแพคเกอร์งบน้อย แต่รอบนี้เราเริ่มต้นการเดินทางจากเชียงใหม่ ครั้นจะให้บินลงมากรุงเทพแล้วต่อรถทัวร์ก็เสียเวลาชีวิต เลยเลือกที่จะบินตรงไปลงเกาะสมุยแล้วต่อเรือข้ามเกาะเอาดีกว่า (และจะได้ใช้สิทธิ์ตั๋วสตาฟด้วย เพราะปกติแล้วตั๋วกรุงเทพ-สมุยจะเต็มตล๊อด สตาฟตัวจ้อยอย่างเราไม่น่าจะได้ขึ้นเครื่อง แหะๆ)

    เราจัดแจงจองตั๋วเครื่องบินเสร็จสรรพ นัดแนะทางโรงเรียนและครูสอนดำน้ำเรียบร้อยก็วางใจ ใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ต่อนยอนต๊ะต้อนย้อนในเชียงใหม่ ไปอ่านหนังสือที่คาเฟ่บ้าง ไปเรียนปั้นเซรามิกบ้าง โดยลืมไปเสียสนิทว่าต้องจองตั๋วเรือด้วยเนื่องจากเคยชินกับการนั่งรถทัวร์แล้วมันรวมเรือข้ามเกาะมาให้ด้วย เพิ่งจะมานึกได้ก็ตอนวันก่อนวันเดินทางที่ตะหงิดว่า เอ๊ะ นี่เราลืมอะไรไปรึเปล่าว้า

    สารภาพว่า ณ ตอนนั้น เราประมาทเองที่ไม่ได้ใส่ใจอะไรเพราะคิดเอาเองว่ามันมีเรือแล่นระหว่างเกาะตลอด ถึงไม่ได้จองล่วงหน้าก็คงไม่เป็นไร และจะให้จองคืนนี้ก็ไม่ทันแล้ว

    ในรุ่งขึ้นก่อนที่จะเดินทาง เราโทรไปสอบถามกับบริษัทเรือว่าบ่ายนี้มีเรือรับส่งระหว่างสมุย-เกาะเต่ารึเปล่า คุณพนักงานที่รับสายก็คอนเฟิร์มดิบดีว่าแล่นจ้า มาได้เลยยยยย มีรอบเรือพอดีกับตอนที่เราไปถึงเลยนะ




    โอเค นัมเบอร์วัน สบายใจล่ะว่ายังไงก็รอด



    ภาพตัดมาที่หน้าสนามบินสมุยที่แทบจะร้างไร้เงาของนักท่องเที่ยว เราที่ยืนเด๋อๆ อยู่ตรงหน้าเคาเตอร์บริษัทเรือสำเนียกขึ้นมาในใจว่า อ้าวเฮ้ยย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่นา บ่ายนี้ไม่มีเรือออกแล้ว เนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยว รอบเรือเลยเอาแน่เอานอนไม่ได้ ถ้าจะข้ามไปเกาะเต่าต้องรอเรือของอีกบริษัทนึงที่จะออกจากสมุยวันพรุ่งนี้ ตอนบ่ายสองโมง

    จุดนั้นเราแทบกรี๊ด ทำไมคุณพรี่ต้องหลอกหนูด้วยยยย และระหว่างที่คิดว่าจะเอายังไงกับชีวิตต่อดีนะ ไหนจะต้องเลื่อนนัดครูด้วย แถมที่พักก็ไม่มี แบตมือถือก็จะหมด เราเลยตัดสินใจโดดขึ้นรถตู้คันสุดท้ายที่รับส่งคนไปท่าเรือจุดต่างๆ บอกพี่คนขับว่าช่วยพาหนูไปหาที่พักใกล้ๆ ท่าเรือหน่อยค่ะ คือถ้าไม่ตัดสินใจโดดขึ้นรถนั้นมาก็คาดว่าคืนนั้นคงต้องนอนตากยุงอยู่ที่สนามบินเป็นแน่

    เอาวะ ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้แล้วก็ต้องปรับเปลี่ยนแผนให้เป็นไปตามนั้น ตอนนี้ต้องไปตั้งหลักซักที่นึงก่อน เฮ้อ... นี่สินะที่เขาเรียกว่ารสชาติของชีวิตตตตตตต








    เราไม่เคยมาเที่ยวสมุยเลย แต่ก็พอจะนึกภาพความคึกคักบนเกาะในช่วงยุคก่อนโควิดได้ว่าฝรั่งคงเยอะ นักท่องเที่ยวคงแยะ เมื่อได้มาเห็นภาพสนามบินเงียบๆ ว่างๆ แล้วมันอดที่จะใจหายไม่ได้ แถมยังจ๋อยหนักเข้าไปอีกตอนที่มาถึงโรงแรมที่คุณพี่คนขับรถตู้พามาส่ง

    จะอธิบายยังไงดี... คือโรงแรมนี้ตั้งอยู่ข้างๆ ท่าเรือเลยค่ะ เรียกได้ว่าพรุ่งนี้ก็หอบกระเป๋าเดินต๊อกแต๊กมาขึ้นเรือได้เลย สะดวกมาก (ขอบคุณพี่คนขับไว้ ณ ที่นี้ด้วย ถ้าไม่ได้พี่หนูต้องแย่แน่ๆ) ห้องพักที่นี่มีแบบเดียวคือเป็นบ้านบังกะโล ขนาดห้องเล็กใหญ่ต่างกันไปในแต่ละโซน

    ตอนเราเข้าไปเจอคุณพนักงานที่ทำหน้าตาตกอกตกใจมากว่าอยู่ๆ เราก็หอบกระเป๋าเข้ามาถามราคาห้อง พี่เขาเล่าให้ฟังว่าตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาไม่มีแขกจองห้องพักเลย กลายเป็นว่าเราคือนักท่องเที่ยวเพียงคนเดียวเท่านั้นที่พักอยู่ที่นี่!














    ด้วยความที่เราเพิ่งกลับจากเชียงใหม่ที่เริ่มๆ จะมีนักท่องเที่ยวชาวไทยเดินทางไปเช็คอินอยู่เยอะพอสมควร หรือเทียบกับภูเก็ตและพังงานที่เราไปเซิร์ฟมาก่อนหน้านี้ เฮ้ย นี่มันคือหนังคนละม้วนเลยล่ะ สถาการณ์ที่สมุยดูย่ำแย่น่าเป็นห่วงกว่าที่คิดไว้มาก

    อาจเพราะการเดินทางมาที่นี่นั้นมีทางเลือกน้อยกว่าการเดินทางไปจังหวัดท่องเที่ยวอื่นๆ ด้วยแหล ส่วนหนึ่งก็เพราะมีแค่สายการบินเดียวที่เปิดให้บริการบินตรงเข้ามาถึงเกาะเลย หากเลือกนั่งสายการบินอื่นก็ต้องไปลงที่สุราษฎ์หรือนครแล้วนั่งเรือต่อมา ซึ่งมันเสียเวลาในการเดินทางและก็เหนื่อยด้วย นี่อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักท่องเที่ยวเลือกที่จะเดินทางไปจังหวัดอื่นมากกว่า เช่น ภูเก็ตที่สามารถบินตรงมาลงได้เลย

    และสมมติว่าโรงแรมที่สมุยออกโปรโมชั่นมา ราคาเท่ากับโรงแรมที่ภูเก็ต แต่พอบวกค่าเครื่องบินไปแล้ว กลายเป็นว่าไปภูเก็ตถูกกว่า และมีกิจกรรมให้ทำมากกว่าด้วย (ที่อย่างน้อยๆ ตอนที่เราไปก็เซิร์ฟได้)
















    อีกอย่างที่เรามองเห็นความต่างคือการซ้อนทับกันของคนในพื้นที่กับนักท่องเที่ยวที่แยกชั้นกันคนละเลเยอร์เลย นักท่องเที่ยวที่มาสมุยก็อยู่ส่วนของนักท่องเที่ยว ใช้ชีวิตในโรงแรม ใน yoga retreat อะไรก็ว่าไป แต่คนสมุยเองเขาก็ใช้ชีวิตของเขาซึ่งมันตัดขาดแยกจากกันโดยสิ้นเชิง ไม่เหมือนกับเชียงใหม่ที่ชีวิตคนเมืองมันมีส่วนของการใช้ชีวิตซ้อนทับกับนักท่องเที่ยว เช่น คนเจนใหม่ๆ อย่างรุ่นเรากลับไปเปิดคาเฟ่บ้าง เปิดร้านนู่นนี่กันบ้าง และมีความพยายามที่จะผลักดันและพัฒนาเมืองไปด้วยกัน


    นี่อาจเป็นปัญหาต่อไปของคนรุ่นเรา/ถัดจากเราไป ว่าจะสามารถมีส่วนช่วยในการพัฒนาจังหวัดบ้านเกิดของเรากันยังไงต่อไปเนอะ










    ระหว่างเดินสำรวจพื้นที่รอบๆ โรงแรมก็พบเจอกับเจ้าโบ้หนึ่งหน่วยถ้วน
    ไม่เจอมนุษย์อื่นอีก นอกจากพี่พนักงานในโรงแรมที่ยืนรดน้ำต้นไม้อยู่แถวนั้น












    เย็นวันต่อมาเราก็มาถึงเกาะเต่าในที่สุดค่ะ
    คิดถึงจังเล้ยยย












    มานั่งกินข้าวที่ร้าน Blue Water เหมือนเดิม
    นั่งมองคนเอาน้องหมามาเล่น Paddle Board













  • Freedive เรียนอะไรบ้าง?


    คอร์สเรียน Freedive ของเรากับ ครูเบคกี้ ที่ Ban's Diving นั้นแบ่งออกเป็น 2 วัน โดยช่วงเช้าของวันแรกจะเป็นการเรียนทฤษฎีแบบเต็มๆ ซึ่งเราจะได้เรียนรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการหายใจ การดำน้ำ และสกิลต่างๆ ที่ต้องเรียนรู้และฝึกฝน จากนั้นในช่วงบ่ายเราจะไปทดลองฝึกในสระว่ายน้ำกันและจบที่ไปทดลองปฏิบัติจริงในทะเล


    ส่วนวันที่สองคือวันสอบ โดยในช่วงเช้าเราจะสอบและฝึกสกิลกันในสระว่ายน้ำก่อน จากนั้นตอนช่วงบ่ายค่อยย้ายกันไปสอบสกิลที่เหลือทั้งหมดในทะเลจ้า


    เป้าหมายของเราในการเรียนครั้งนี้ คือ ไม่มี เพราะเราคิดว่าสิ่งที่กำลังจะลองทำอยู่นี้นั้นมันยากนะเว้ย หากตั้งความหวังว่าจะต้องเอาบัตร Freediver ให้ได้ก็จะกลายเป็นการกดดันตัวเองจนเกินเหตุ ก่อให้เกิดความเครียด ส่งผลให้เวลาเรียนหรือจะฝึกสกิลมันก็ไม่สนุก ซึ่งเป็นสิ่งที่เราพยายามย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าเหตุที่เราอยากมาเรียนก็เพราะอยากรู้ มาทดลองทำ การได้บัตรหรือได้รูปสวยๆ เอาไปโพสต์ลงโซเชียลชิคๆ ถือว่าเป็นผลพลอยได้นะจ๊ะ






    อะ มาเริ่มเรียนกันเถอะ!










    การที่เราจะผ่านเป็น Freediver ได้นั้น ก็ต้องเรียนรู้สกิลต่างๆ ที่สำคัญจำเป็นดังต่อไปนี้ค่ะ

    1. Static Apnea อธิบายง่ายๆ ก็คือการกลั้นหายใจแล้วลอยตัวบนผิวน้ำอยู่เฉยๆ สำหรับเกณฑ์ของ PADI นั้นตั้งไว้ที่ 90 วินาที

    2. Dynamic Apnea คือ กลั้นหายใจไปด้วย ว่ายใต้น้ำไปด้วย เกณฑ์คือต้องฮึบว่ายให้ถึง 25 เมตร

    3. Free Immersion คือ กลั้นหายใจ แล้วกลับตัว แล้วเอามือจับเชือก ค่อยๆ ไต่กุ๊กๆ กิ๊กๆ ลงไป

    4. Constant Weight อันนี้แหละที่เป็นบันไดขั้นสุดท้ายแห่งการเรียน คือ การดำน้ำโดยเอาตะกั่วถ่วงตัวไว้ด้วย กลับตัวเหมือน free immersion เลยแต่รอบนี้ดำน้ำลงไปเองโดยไม่จับเชือก

    5. Rescue การช่วยเหลือนักดำน้ำหมดสติ





    Buddy & Shallow water blackout

    จากนั้นเราเรียนรู้เกี่ยวกับข้อปฏิบัติเพื่อความปลอดภัย เนื่องจากฟรีไดฟ์มันเป็นกิจกรรมทางน้ำที่มีความเสี่ยงสูง เช่น เราอาจหมดสติเนื่องจากร่างกายมีออกซิเจนน้อยเกินไปและเกิดอันตรายขึ้นได้

    ถ้าคนที่เรียนสกูบ้ามาก็จะรู้ว่าเวลาดำน้ำเราจะต้องมีบัดดี้เสมอ ทั้งตอนก่อนดำน้ำที่ต้องเช็คอุปกรณ์และอากาศ รวมถึงตอนที่ดำน้ำก็บุ๋งๆ กุ๊งกิ๊งๆ ไปด้วยกัน ฟรีไดฟ์ก็เช่นกันนะเออ เราต้องมีบัดดดี้ ห้ามดำน้ำคนเดียวเด็ดขาด แต่เราจะไม่ลงไปดำพร้อมกันนะคะ บัดดี้ของเราจะคอยสังเกตดูเราไว้ที่ผิวน้ำ เผื่อว่าเกิดอะไรขึ้นจะได้ช่วยเหลือได้ทัน และทุกๆ ไดฟ์ บัดดี้จะต้องดำลงไปรับเราที่จุด 5 เมตร

    สาเหตุที่ต้องลงไปรอรับที่ 5 เมตรก็เพราะเวลาที่เราฮึบดำน้ำลงไป ปอดของเราจะค่อยๆ หดตัวลงเนื่องจากแรงดันน้ำ พอเราขึ้นมาในช่วงระยะ 10 เมตรก่อนถึงผิวน้ำ ปอดจะค่อยๆ ขยายตัวกลับมาเป็นปกติและดึงออกซิเจนออกจากกระแสเลือด ทำให้ร่างกายมีออกซิเจนไม่เพียงพอ ส่งผลให้เกิดหมดสติในช่วงนี้ได้ เรียกว่า Shallow water  blackout นั่นเอง






    Ear Equalization

    หลายคนคงเคยประสบปัญหานั่งเครื่องบินแล้วปวดหูเวลาเครื่องบินกำลังลดระดับใช่หรือไม่ นั่นล่ะฮะ แรงดันอากาศมันเปลี่ยนแต่แรงดันภายในหูไม่ได้ปรับตาม ส่งผลคือปวดหูน้ำตาไหล

    การดำน้ำก็เช่นกัน เวลาที่เราดำบุ๋งๆลงไปก็จะเจอกับแรงดันน้ำที่กดทำให้เรารู้สึกปวดในหูจี๊ด (จริงๆมันมีชื่อท่อในหูชั้นกลางที่เป็นชื่อเฉพาะ ไปหาอ่านเพิ่มเติมกันได้เด้อ ขอไม่ลงรายละเอียด แหะ) สิ่งที่ต้องทำก็คือต้องปรับแรงดันภายในหูเรานั่นเอง ซึ่งมีหลายวิธีด้วยกัน แต่ที่จะยกมาเล่านั้นเป็น 2 แบบที่เราทำ นั่นก็คือ


    1. Valsava Maneuver

    อันนี้เราว่าทุกคนทำเป็นแหละ วิธีการคือบีบจมูกแล้วดันลมหายใจออก ลมก็จะวิ่งดุ๊งๆๆๆ ไปปุ๊ดออกที่หู ซึ่งการทำแบบนี้เราจะใช้แรงดันจากกระบังลม สังเกตได้จากเวลาทำแล้วลองเอามือกดที่ลิ้นปี่ไปด้วย เราจะรู้สึกว่ากระบังลมมันขยับ

    ตอนที่เราดำน้ำสกูบ้าก็ใช้วิธีมาตลอด ประกอบกับกลืนน้ำลายบ้าง ขยับกรามบ้างสลับๆ กันไป ไม่ก็ปรับตัวให้ตรง ลอยดึ๋งขึ้นมากว่าเดิมหน่อยแล้วค่อยๆ เคลียร์หูอีกรอบถ้ามันติดจริงๆ











    2. Frenzel Maneuver

    นี่เป็นเทคนิคที่ฟรีไดฟ์เวอร์ใช้กันเนื่องจากหากเราใช้แรงดันจากกระบังลมอย่างวิธีแรก กว่ามันส่งลมมาเคลียร์แรงดันในหูมันได้มันไม่ทันกับระดับความลึกที่เรากำลังจมลงไป ผลคือยังไงก็หูติด พอหูติดเคลียร์ไม่ได้ก็ปวด ปวดปุ๊บก็ลงไม่ได้ล่ะ

    สำหรับวิธีการเคลียร์หูแบบนี้คือให้บีบจมูกแล้วยกโคนลิ้นขึ้นไปดันกล้ามเนื้อคอให้เปิดท่อในหู โห แค่อ่านคำอธิบายก็งงแล้วใช่หรือไม่ เออ คือมันยากแหละ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการยกโคนลิ้นขึ้นมาเนี่ย มันต้องทำยังไงว้า 555555555

    สารภาพว่าก่อนหน้านี้เราพยาย๊ามพยายามฝึกการเคลียร์หูแบบนี้ผ่านการดูคลิปต่างๆ ในยูทูปก่อนหน้าที่จะมาเรียนจริงๆ (ก็ต้องกักตัว 14 วันว่างๆ อะเนอะ ไม่รู้จะทำอะไรก็เลยมาหัดเคลียร์หูไปเรื่อยๆค่ะ) ซึ่งในคลิปเขาก็บอกว่าให้ออกเสียงตัว K (เค่อะ) หรือทำเสียงง.งูแบบขึ้นจมูก หรือเอาปลายลิ้นไปแตะที่ฟันหน้าแล้วค่อยเคลียร์ อะไรไม่รู้งงมาก ยิ่งฟังยิ่งงงหนักกว่าเก่าแต่ก็ยังไม่ละความพยายาม แต่ไม่ว่ายังไง๊ยังไงก็ทำไม่ได้อยู่ดี กระบังลมขยับตลอดเลย แหะ

    ซึ่งพอมาเรียนกับครูเบคกี้แล้วก็ถึงบางอ้อ ครูแนะนำเทคนิคและสอนทริคให้เราได้ทดลองเอาไปฝึกทำค่ะ (ถ้าอยากรู้ว่าครูเบคกี้อธิบายยังไงให้เราเข้าใจและทำได้ก็ลองมาเรียนกันได้นะ ฮิฮิ)





    Mammalian Diving Reflex

    เฮ้ย เรื่องนี้มันว้าวมากจนอยากเอามาเล่าค่ะ คือ มนุษย์เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ใช้ชีวิตเริงร่าอยู่บนบก  แต่ร่างกายนั้นมันฉลาด มีกลไกที่จะเกิดขึ้นเมื่อเราหยุดหายใจและลงไปใต้น้ำ กล่าวคือ พอเราเอาหน้าจุ่มน้ำลงไปปุ๊บ สมองก็จะเฮ้ยๆ อยู่ในน้ำเว้ย ไม่ได้การล่ะ หัวใจจงเต้นช้าลงเดี๋ยวนี้เพื่อให้ร่างกายใช้ออกซิเจนน้อยลง ส่งผลให้สามารถกลั้นหายใจอยู่ใต้น้ำได้

    และเมื่อหัวใจเต้นช้าลงปุ๊บ การสูบฉีดเลือดก็ลดลง แปลว่าร่างกายของเราเริ่มตัดการหมุนเวียนเลือดไปที่มือและขาเพื่อเก็บออกซิเจนเอาไว้เลี้ยงส่วนที่สำคัญ คือ สมอง หัวใจ และปอด

    ทีนี้พอเราดำดิ่งลงไปลึกขึ้นเรื่อยๆ ปอดของเราจะหดตัวลงเนื่องจากแรงดันน้ำ เลือดที่ร่างกายสงวนไว้ก็จะถูกส่งเข้ามาในปอดมากขึ้นเพื่อให้ปอดทนกับแรงดันน้ำได้ ผลคือออกซิเจนก็จะเฮละโลมากองกันที่ปอด

    ส่วนอันนี้คือคูลสุดเพราะตั้งแต่เกิดมาเราก็ไม่ได้ใส่ใจว่าม้ามอยู่ตรงไหน รู้ว่ามีนะและเอาไว้สร้างเม็ดเลือดต่างๆ รู้ว่าถ้าโดนเตะม้ามแตกก็ตายได้ ทีนี้ย้อนกลับมายังร่างกายของเราที่ออกซิเจนน้อยลงเรื่อยๆ ม้ามก็เฮ้ย แย่แล้ว สร้างเม็ดเลือดแดงออกมาดีกว่า ทีนี้พอมีฮีโมโกลบินเพิ่มขึ้นก็ทำให้ร่างกายสามารถจับออกซิเจนได้มากขึ้น เจ๋งมากกกกกก



    เมื่อได้รู้ดังนี้แล้วเราก็มาลองฝึกกลั้นหายใจกันดีกว่าเนอะ







    Inhale - Exhale - Relax

    เวลาเรากลั้นหายใจไปซักพักแล้วจะเริ่มรู้สึกอึดอัดอยากหายใจ รู้สึกว่าเชี่ย ถ้าไม่หายใจเข้าตอนนี้กูต้องตายแน่ๆเลยจ้า เนี่ย ความรู้สึกแบบนี้เรียกว่า urge to breath ค่ะ เป็นกลไกของที่ร่างกายที่แจ้งเตือนปิ๊บๆๆๆๆ ว่าว่าคาร์บอนไดออกไซด์เยอะเกินไปแล้วโว้ย หายใจเข้าเดี๋ยวนี้นะ จะตายแล้ว อ๊ากกกกกก


    แล้วหายใจแบบไหนถึงจะถูกต้องล่ะ?


    ครูเบคกี้ให้เราลองนอนแล้วจับเวลาที่กลั้นหายใจดู พบว่าเรากลั้นได้ 45 วินาทีก็ต้องหายใจเฮือกใหญ่เข้าปอดแล้ว อึดอัดมากไม่ไหว ทีนี้ครูให้ลองใหม่ โดยให้ลองหายใจตามนี้








    เริ่มจากให้เรานอนนิ่ง หายใจเข้าท้องป่อง หายใจออกท้องยุบ นอนผ่อนคลายคิดถึงดอกไม้กุ๊กกิ๊กไปเรื่อยๆ ห้ามหายใจมากเกินไปหรือที่เรียกว่า Hyperventilation ซึ่งเป็นการหายใจเอาอากาศเข้าปอดไปเยอะๆ การทำแบบนี้ไม่ได้ช่วยให้เรากลั้นหายใจได้นานขึ้นนะคะ แต่มันจะส่งผลให้ปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ในเลือดลดต่ำเกินไป จนทำให้ร่างกายปิดระบบแจ้งเตือนว่าออกซิเจนกำลังจะหมดแล้วเด้อ ทำให้เกิดโอกาสที่เราจะหมดสติได้


    เมื่อรู้สึกว่าเอาล่ะ ร่างกายผ่อนคลาย จิตใจผ่อนคลายแล้ว ก็ให้หายใจเข้าออกเฮือกใหญ่สามครั้ง พอครั้งสุดท้ายก็ฮึบกลั้นหายใจ

    ทีนี้แหละ ร่างกายจะเริ่มแจ้งเตือนว่าเฮ้ย คาร์บอนไดออกไซด์มันลดแล้วนะเว้ย หายใจสิ หายใจเดี๋ยวนี้ โดยเราจะรู้สึกอยากกลืนน้ำลายก่อนเป็นอันดับแรก ซึ่งก็อะ อยากกลืนก็กลืนไป พยายามอย่าไปเพ่งจิตสนใจมันมาก (ตอนนี้เรานึกถึงฉากใน Spider-Man: Into the Spider-Verse ค่ะ ก็เลยร้องเพลง Sunflower ของ Post Malone อยู่ในใจแบบตัวเอกค่ะ)

    จากนั้นก็เริ่มรู้สึกร้อนวูบๆ บริเวณหน้าอก ชักเริ่มอึดอัดล่ะ ตามมาด้วยอาการกระบังลมกระตุก คือกระตุกแบบตัวสั่นไปทั้งตัวเลย เป็นความรู้สึกแบบ เชี่ย กูจะตายแล้วอะ พอถึงตอนนี้เราก็แข็งใจกลืนน้ำลายต่อไป ปลอบใจตัวเองว่าฉันมาไกลเกินย้อนไป ไม่เป็นไร ยังไม่ตาย อาการกระตุกสั่นไปทั้งตัวมันก็ทุเลาลงนะคะ จนอาการกระตุกมาอีกรอบเลยอะ พอล่ะ เป่าลมออกจากปากเบาๆ หายใจเข้าลึกและเร็วเป็นการทำ Recovery Breath ค่ะ




    สรุปว่ากลั้นหายใจไปทั้งหมด 1 นาที 55 วินาที!



    โห สิ่งที่เราเพิ่งทำไปตะกี้นี้มันคือการฝึกฝนจิตใจที่แท้ คือฝึกจิตให้คิดว่าเราเป็นผู้สังเกตร่างกายตัวเอง รับรู้ว่ามีความรู้สึกนี้มากระทบ รัับรู้ว่าร่างกายของเรารู้สึกแบบนี้นะ จากนั้นก็ปล่อยวางว่าไม่เป็นไรนะ ยังไม่ตาย และเป็นการฝึกร่างกายตัวเองให้คุ้นชินว่าเอาล่ะ คาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นมานะ ไม่เป็นไร เคยชินกับมัน เราไม่ตายหรอก ใจเย็นๆ

    เราเคยคิดว่าการดำน้ำสกูบ้าของเราคือการฝึกสมาธิอย่างหนึ่ง เพราะเสียงเดียวที่ได้ยิน (นอกจากใครซักคนเคาะแท๊งก์) ก็คือเสียงลมหายใจของตัวเองที่เข้าออกเป็นฟองอากาศบุ๋งๆ ซึ่งพอมาเจอการหัดกลั้นหายใจแบบนี้มันเหมือนเหวี่ยงตัวเองออกมาอีกโลกนึงที่เป็น deep meditation แบบกลายๆ สุดมาก ชอบ!


    ทั้งนี้ ครูเบคกี้สอนว่าหากเราลงไปดำน้ำจริงๆ แล้วก็ควรพักลอยตัวอยู่บนผิวน้ำนาน 2 เท่าของเวลาที่เราดำน้ำ หรือถ้าลงไปลึกๆ ก็ควรเพิ่มเป็น 3 เท่า เพื่อให้ก๊าซต่างๆ ที่ตกค้างอยู่ในเลือดและอวัยวะต่างๆ ได้ออกมาหมด จะได้ไม่เป็น decompression sickness นั่นเองค่ะ





    อะ เรียนทฤษฎีมาพอสมควรแล้ว ไปฝึกกันจริงๆ ในสระว่ายน้ำดีกว่า!









    เริ่มแรกคือเราก็มาทำความรู้จักและจูนตัวเองกับอุปกรณ์ก่อน เช่น ฟินฟรีไดฟ์ที่ยาวเหลือเกิน ไม่ค่อยคุ้น หรืออย่างเรื่องคาบ/ถอดท่อ snorkel ที่เราจะใช้เวลาหายใจผ่อนคลายก่อนเริ่มดำน้ำ แต่พอจะลงไปปุ๊บต้องเอาออกฝากบัดดี้ไว้ก่อน เนื่องจากหากเราหมดสติใต้น้ำก็อาจทำให้น้ำไหลเขาปากหรือเป็นอุปสรรค์ต่อการช่วยเหลือได้ค่ะ

    จากนั้นก็มาทดลองฝึก Static Apnea กันโดยเอามือจับขอบสระไว้แล้วลอยตัว ผ่อนคลาย ทำตัวเองให้เคยชินกับการหายใจผ่านท่อ และลองกลั้นหายใจแบบเอาหน้าไปจุ่มในน้ำจริงๆ ตรงนี้เราต้องคอยให้สัญญาณกับบัดดี้ว่ายังมีสติอยู่เด้อ เพราะบางคนกลั้นจนหมดสติแล้วจมน้ำไปเลย

    ต่อมาก็หัดมุดตัวลงไปในน้ำ หรือ Duck Dive ที่พับตัว เอาหัวดิ่งลงพื้น ซึ่งการทำแบบนี้ช่วยให้ประหยัดแรงในการดำลงไปใต้น้ำค่ะ พอหัดจนรู้ว่าต้องทำยังไงแล้วก็ลองทำ Dynamic Apnea กัน พอให้รู้ว่ากลั้นหายใจไปด้วยแล้วเตะขาไปด้วยจะรู้สึกยังไง จะต้องเอาใจไปโฟกัสที่ไหนบ้าง และเมื่อทดลองปฏิบัติจริงกันซักพักแล้วก็ขนอุปกรณ์ไปลงเรือกันค่ะ
















  • Under the deep blue sea



    และแล้วเวลาที่น่าตื่นเต้นก็มาถึง วู้ฮู้ววว เวลาที่ลงไปดำน้ำในทะเล ครูจะเอาทุ่นห่วงยางเอาไว้ให้เราจับเพื่อช่วยในการลอยตัว และจะมีสาย landyard ที่ถ่วงน้ำหนักตะกั่วอยู่ด้านล่าง ตรงปลายสายผูกลูกเทนนิสเอาไว้มาร์กจุดความลึกค่ะ


    ตอนแรกเราทดลองด้วยการค่อยๆ สาวเชือกดำลงไปแบบท่าตัวตั้งปกติ ขณะเดียวกันก็พยายามทดลองปรับแรงดันในหูและทำความคุ้นเคยกับบรรยากาศรอบตัวก่อน ซึ่งก็เคลียร์ได้ปกติ ไม่มีปัญหาอะไรเพราะติดการเคลียร์หูแบบ Valsava Maneuver 









    ความพีคมันเริ่มตอนที่ลองเอาหัวปักพื้นนี่แหละ เราลงไปได้สองสามเมตรก็ติดแล้ว เคลียร์หูไม่ได้ ทดลองลงแบบลอยตัวเป็นแนวระนาบไปกับพื้นแล้วค่อยๆ สาวเชือกลงก็ติด ซึ่งพอมันเจ็บจี๊ดในหูแล้วเราต้องชะงักเพื่อปรับแรงดัน แถมความอยากหายใจก็อยาก ร่างกายเตือนว่าจะตายแล้วๆๆๆๆ หูก็ติด อะไรวะเนี่ย มีหลายอย่างให้โฟกัสมากเกินไปเลยต้องขึ้นสู่ผิวน้ำในที่สุด









    ตอนนี้คือเหมือนจังหวะสามช่า
    กระดึ๊บไปข้างหน้าสาม ถอยหลังกลับมาใหม่สองเพราะหูติด



























    จำตอนแรกที่เราพูดถึงเรื่องความคาดหวังก่อนเรียนได้มั๊ยคะ ที่บอกว่าไม่มี มาเพื่ออยากรู้เฉยๆ เอ่อ... พอมันทำไม่ได้จริงๆ แล้วมันก็แอบเฟลอยู่นะ หงุดหงิดลึกๆ ว่าทำไมทำไม่ได้ว้า ทำไมหูติดว้า ตกลงว่าการเคลียร์หูแบบ Frenzel นี่มันต้องทำยังไงกันแน่นะ ซึ่งก็ต้องพยายามเตือนสติตัวเองว่า ที่มาเรียนก็เพราะอยากรู้ ไม่ได้คาดหวังว่าตัวเองจะต้องทำได้ภายในวันเดียว บ้าหรอ คนเราก็ต้องฝึกฝนสิวะ ยิ่งเครียดมันยิ่งไม่ผ่อนคลายนะเฮ้ย



    แต่ด้วยความที่เป็นคนไม่ปล่อยวาง ใช้คำนี้ละกัน คือพอทำไม่ได้จะไม่ปล่อยวาง รู้สึกว่าต้องพยายามให้เต็มที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ (แหะๆ) ในคืนนั้นตอนกลับมาที่ห้องเลยนั่งดูคลิปของครูเบคกี้ที่สอนเรื่องการเคลียร์หูวนไป เอาปากกามาจิ้มตรงลิ้นปี่แล้วลองหัดทำไปเรื่อยๆ พยายามจับความรู้สึกตอนที่กระบังลมมันขยับน้อยๆ ว่าตะกี้เราทำยังไงนะ และตื่นแต่เช้ามากินอาหารและก็นั่งฝึกไปเรื่อยๆ จนถึงเวลาที่ครูนัดสอบในสระตอนเช้าค่ะ










    การสอบสกิลในสระทุกอย่างผ่านไปได้ด้วยดี ผ่านตามเกณฑ์ที่ PADI กำหนดไว้ทั้งหมด นั่นก็คือลอยตัวกลั้นหายใจนานเกิน 90 วินาที และกลั้นหายใจว่ายใต้น้ำ 25 เมตร เหลือแค่ Constant Weight ที่จะต้องลงไปสอบในทะเลช่วงบ่าย และก็หัดทำสกิลช่วยเหลือนักดำน้ำที่หมดสติค่ะ

    ตอนเคลียร์หูในสระก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง เหมือนจะได้แล้วแต่มันก็ยังมีติดๆ ขัดๆ อยู่บ้าง และระหว่างทางขณะที่เดินจากสระว่ายน้ำไปรอขึ้นเรือ เราก็สารภาพกับครูเบคกี้ไปตรงๆ ว่าแอบหงุดหงิดตัวเองอยู่เหมือนกันนะที่ยังทำไม่ได้ซะที แม้ว่าจุดประสงค์หลักคือมาเพื่อให้รู้ แต่แบบ มุแง บอกไม่ถูกกกกกก ซึ่งครูเบคกี้ได้พูดมาประโยคนึงที่เหมือนปลดล็อกในใจเรา นั่นก็คือ




    "You've your whole life ahead of you to do so."




    จริงด้วย... เรามีเวลาทั้งชีวิตในการหัดทำสิ่งนี้


    พอคิดได้แล้วเหมือนใจมันเบาขึ้นเยอะเลยแหละ คือต้องขอเล่าก่อนว่าพื้นฐานนิสัยแย่ที่แก้ไม่หายของเรา คือ ไม่ค่อยชอบเวลาที่เริ่มหัดทำอะไรซักอย่างแล้วยังทำไม่ได้และจะชอบพาลคิดว่าตัวเองเป็นคนห่วย 

    เรามานั่งคิดตะกอนระหว่างมองท้องฟ้าและผืนน้ำขณะที่นั่งเรือออกทะเลว่า ถึงเราสอบไม่ผ่านในวันนี้ก็ไม่เป็นไร ตราบใดที่เราสนุกและมีความรู้สึกอยากฝึกฝนตัวเองต่อไปมันเพียงพอแล้ว และอย่างน้อยๆ เราได้เริ่มต้นนับหนึ่งในการทำสิ่งนี้แล้ว ได้มาลอง ได้มารู้แล้วว่าฟรีไดฟ์มันสนุกแบบนี้นี่เอง

    ต้องน้อมนำคำสอนของ Jake The Dog แห่ง Adventure Time ที่บอกว่า “Dude, sucking at something is the first step towards being sorta good at something.”  ใจความสำคัญคือวันนี้สนุกและอยากเรียนรู้มันต่อไปก็พอแล้ว :)







    เราลงทะเลไปด้วยความรู้สึกที่ผ่อนคลายมากว่าเมื่อวานนี้ คิดว่าค่อยๆ กระดึ๊บได้ทีละเล็กละน้อยก็โอเคแล้ว แต่ในความปล่อยวางก็ยังไม่ปล่อยวางจนหมดนะ มันเชื่ออยู่ลึกๆ ว่าก็มันน่าจะทำได้ในวันนี้สิวะ

    จนครูเบคกี้บอกว่าเอาล่ะ เดี๋ยวเราจะย้ายจุดไปถ่ายรูปเล่นกันก่อนกลับเกาะกันดีกว่าเนอะ เราเลยขอครูว่าอยากลงอีกครั้ง คร้้งนี้สุดท้ายแล้ว คือมันยังคาใจข้างในลึกๆ ซึ่งครูเบคกี้ก็โอเค อยากลองก็ลอง



    เรามองไปที่ลูกเทนนิสสีเขียวสะท้อนแสงอยู่ที่ปลายสุดของเชือกแล้วหายใจผ่อนคลาย

    หายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ครั้งที่ 1

    หายใจเข้าออกเฮือกใหญ่ครั้งที่ 2

    หายใจเข้าเฮือกใหญ่รอบที่ 3 หยิบท่อออกจากปากวางแปะไว้บนทุ่น

    มุดน้ำ duck dive กวาดมือแล้วบีบจมูกเคลียร์หูและเตะขาไปเรื่อยๆ สายตามองที่เส้นเชือกสีแดงสลับกับลูกเทนนิสที่ค่อยใกล้เข้ามาเรื่อยๆ และใช้ความพยายามเฮือกสุดท้ายในการเอื้อมไปจับลูกเทนนิส แล้วก็กลับตัวเตะขาขึ้นสู่ผิวน้ำ ทำ recovery breath และมองหน้าครูเบคกี้แบบงงๆ



    เฮ้ย...ตะกี้ทำอะไรลงไปวะ




    สรุปคือเมื่อกี้เราดำแบบ constant weight ลงไปถึงจุด 10 เมตรแล้วใช่มั้ยนะ เออ แปลว่าผ่านเกณฑ์แล้วใช่มั๊ยหนา งง อยู่ๆ ไปถึงได้เฉยเลย ไม่ค่อยอยากจะเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าทำได้ แต่ทำไปแล้วแหะ และหลังจากหายงงแล้ว เราก็มาสอบสกิลช่วยเหลือนักดำน้ำต่อ ซึ่งก็ผ่านหมด โอเค ไปดำน้ำเล่นได้ เย้!












    วันต่อมาเราออกทะเลไปฝึกต่อค่ะ เอาให้แน่ใจว่าเราทำได้จริงๆ ผ่านเกณฑ์แบบแน่ๆ เมื่อวานไม่ได้ฟลุ๊กนะเว้ย และเหมือนพอมันทำได้แล้วก็อยากฝึกฝนเพิ่ม เพราะรู้ตัวว่ายังทำท่า duck dive ได้ไม่มีประสิทธิภาพพอ ทำให้เสียพลังงานตอนต้นไปมากเกินจำเป็น ซึ่งก็โอเค มั่นใจแล้วว่าทำได้ค่ะ!

    สำหรับการฝึกที่เราชอบมากที่สุดคือ Free Immersion ค่ะ โดยเราเริ่มตั้งแต่หายใจผ่อนคลาย กำหนดจิตสำรวจร่างกายตั้งแต่หัวจรดเท้าว่ามีส่วนไหนที่รู้สึกเกร็งตึงบ้าง รับรู้แล้วก็ผ่อนคลายให้มากที่สุด แล้วค่อยๆ ดำน้ำลงไป จิตใจของเราเลื่อนไปจดจ่ออยู่ตรงมือที่จับเส้นเชือกสีแดงด้านหน้า จากนั้นก็ทำใจให้ว่างแล้วจินตนาการว่าร่างกายนี้ไม่ใช่ของเรา สิ่งที่เราทำตอนนี้คือเป็นผู้สังเกตความเป็นไปของมัน รับรู้ว่าอยากหายใจ รับรู้ว่าตัวเองเริ่มสั่น รับรู้ว่าอยากกลืนน้ำลาย รับรู้ว่าอีกนิดนึงจะปวดหูแล้วต้องเคลียร์ และรับรู้ว่าเราเลื่อนมือสาวเชือกไปด้านหน้า

    เราอยู่ในสภาวะที่ในหัวไม่มีเรื่องอื่นใดเข้ามารบกวน สมองมันโล่งไปหมด พอแตะถึงลูกบอลก็ค่อยๆ กลับตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ ขั้นตอนทั้งหมดเป็นช่วงที่ให้ความรู้สึกที่ดีมากๆ เลยค่ะ และพบว่ายิ่งผ่อนคลาย พักหายใจดีก่อนเริ่มต้นลงไปดำน้ำจะช่วยทำให้ลงไปได้นานมากขึ้น

    ส่วน Constant Weight นั้นก็โอเคแหละ แต่มันมีหลายอย่างให้ต้องเราโฟกัสยังไงก็ไม่รู้บอกไม่ถูกค่ะ ไม่ได้ใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับจุดๆ เดียวมากขนาดนั้น ขอแนะนำว่าหากใครอยากมาทดลองเรียนฟรีไดฟ์ เราอยากให้ลองฝึกโยคะหรือทำหัดสมาธิก่อนเพราะมันน่าจะช่วยในเรื่องของการผ่อนคลายจิตใจได้ดีค่ะ ส่วนตัวแล้วเราใช้ app ชื่อว่า headspace ในการฝึกทำสมาธิอยู่แล้วและคิดว่าเทคนิคต่างๆ ที่สอนภายใน app นั้นสามารถเอามาปรับใช้ได้ดีมากๆ เลยค่ะ :)









































  • เที่ยวคนเดียวด้วยกันและการผจญภัยในเกาะเต่า



    เราตัดสินใจเลื่อนตั๋วเดินทางกลับกรุงเทพไปอีกวันนึง เนื่องจากอยากเที่ยวบนบกในเกาะเต่าบ้างเพราะไม่ว่าจะมาเกาะกี่ครั้งก็หมดวันเที่ยวไปดำน้ำหมดเลย ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเช็คอินตามจุดอื่นๆ ภายในเกาะเลยนอกจากแวะไปนั่งเล่นที่คาเฟ่แถวที่พักทุกเย็น






    กิจวัตรประจำวันในทุกๆ เย็นคือเดินไปทักทายเจ้าเหมียวที่ร้าน Whitening











    จากนั้นก็ไปปลอบเจ้าน้องหงอยที่ร้าน Blue Water
    น้องไม่ทำอะไรเลยนอกจากนั่งแช่น้ำหงอยๆ












    เจ้าน้องหงอยเป็นอะไยยย เล่าให้ฟังได้นะค้าบบบบบบบ♡













    เป็นภาพที่ชวนให้ใจสงบมากนะคะ :)






    ครั้งนี้ที่มาเรียนก็โชคดีที่ได้เจอกับ พี่เป้ เป้ และน้องเล่ ที่มาเรียนฟรีไดฟ์คลาสถัดจากเราและออกไปทะเลพร้อมกันในช่วงบ่ายของวันที่ 3 พวกเราต่างกันก็ต่างลุยเดี่ยวมาเรียนคนเดียวเหมือนกันหมด เลยตั้งแก๊ง "เที่ยวคนเดียวด้วยกัน" เช่ารถพร้อมคนขับตะลุยตามจุดท่องเที่ยวที่น่าสนใจบนเกาะเต่ากันค่ะ :)





    Sun Suwan 360 Bar






    จุดแรกที่พวกเรามาคือ Sun Suwan 360 Bar ค่ะ ตรงนี้เป็นจุดชมวิวที่เหมาะควรแก่การมานั่งเล่นชมวิวที่ไม่ต้องปีนป่ายอะไรมากมาย เดินขึ้นง่ายๆ ถ้าอยากใส่กระโปรงพริ้วๆ มาถ่ายรูปก็ไม่ลำบากมาก มีมุมให้โพสต์ท่าถ่ายรูปมากมาย






    เธอเห็นท้องฟ้านั่นไหม เห็นเงาของเมฆรึเปล่าาาา



    แต่เราก็ไม่ได้ถ่ายรูปอะไรที่จุดนี้เยอะมากนะคะ เนื่องจากฝนเทลงมาโครมใหญ่เลยต้องวิ่งไปหลบกันวุ่นวาย  พอฝนหยุดแล้วตัดสินใจกันว่าจะเคลื่อนพลไปยังจุดอื่นเพราะการเดินขึ้นมาที่ Sun Suwan มันไม่ท้าทาย! เราต้องการรสชาติแห่งการผจญภัย!!





    John Suwan Viewpoint 


    ถัดจาก Sun Suwan มีจุดชมวิวอีกที่นึงไม่ไกลจากกันเท่าไร ชื่อว่า John-Suwan ค่ะ สำหรับเส้นทางขึ้นไปด้านบนของที่นี่นั้น เราได้ยินมาว่ามันค่อนข้างเป็นทางวิบากเล็กน้อย ต้องปีนป่ายหินขึ้นไปนิดหน่อยซึ่งน่าสนุกดี นี่แหละคือสิ่งที่ตามหาาา


    และด้วยความที่ช่วงนี้เป็นหน้ามรสุม เอาแน่เอานอนกับท้องฟ้าไม่ได้ เมื่อกี้ตกไปแล้วยังไม่พอใจ อยากจะเทลงมาอีกโครมใหญ่ พวกเราเลยต้องติดแหงกแวะพักหลบฝนกัน โชคดีที่ฝนไม่ได้ตกนานมาก รอประมาณ 10-15 นาทีก็เริ่มซาแล้วซึ่งดีที่ไม่นานมากกว่าไปนี้ ไม่งั้นคงต้องถอดใจยกเลิกทริปแล้วกลับที่พักกันแล้ว




    บรรยากาศเหมือนอยู่ในละครหลังข่าวที่พระนางจะต้องมีซีนแวะพักหลบฝนใต้เพิงไม้กลางป่า
    กริ๊บกริ๊วมากกกก










    พร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลยจ้าาาา




    จากทางที่วิบากอยู่แล้ว ยิ่งทุลักทุเลหนักกว่าเก่าเพราะฝนเพิ่งหยุดตก เวลาเหยียบไปตามหินต้องวางเท้าให้มั่นคงเพราะมันลื่นมาก แต่ยังดีเขาทำราวเชือกให้ยึดเพื่อเหนี่ยวตัว พอช่วยให้ปีนป่ายขึ้นไปได้เรื่อยๆ ค่ะ ระหว่างทางก็คิดนะว่าตาจอห์นกับตาสุวรรณนี่ต้องเป็นคนยังไงนะ ถึงได้ไต่เขามาค้นพบจุดชมวิวนี้ได้เนี่ยยยย






    ขายาวเพราะกล้องไอโฟน ไม่ได้ใช้แอปยืดขานะค้าาาา











    ถึงแล้ววววววววว /ปาดเหงื่อ
    เราล้มรอบนึงแล้วดันเข่าไปครูดหิน ได้แผลมาหนึ่งจุดเป็นของฝาก





    จุดที่เรายืนอยู่นี้เรียกว่า แหลมตาโต๊ะ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของเกาะ ลักษณะเป็นเขาเล็กๆ ยื่นออกมาแบ่ง อ่าวโฉลกบ้านเก่า และ อ่าวเทียน ออกกจากกันค่ะ







    ถ่ายกันรูปด้วยความระมัดระวังด้วยนะคะ
    เนื่องจากจุดนี้เป็นร่องหิน เสี่ยงที่จะสะดุดล้มตกเขาได้เด้อ
    และระวังมือถือหล่นด้วยนะคะ เพราะกลุ่มก่อนหน้าเราทำมือถือตก
    ดีที่ไปไปเสียบช่องหินไว้พอดี๊แต่กว่าจะดึงขึ้นมาได้นี่อย่างลุ้นเลยค่ะ









    Shark Bay









    จุดเช็คอินต่อมานี้เป็นกิจกรรมที่น้องเล่รีเควสมา เพราะน้องไปอ่านเจอว่าที่ Shark Bay หรือ อ่าวเทียนออก แห่งนี้เป็นจุดที่เราสามารถมาสน็อคเกิ้ลและมีโอกาสที่จะเจอกับฉลามครีบดำที่ใจดีน่ารัก ใช้ชีวิตวนเวียนอยู่ในบริเวณนี้ได้อีกด้วย อู้วว น่าตื่นเต้น










    แต่น่าเสียดายที่สภาพอากาศไม่เป็นใจเพราะคลื่นลมแรงมาก พี่ที่ร้านที่ให้เช่าอุปกรณ์สน็อกเกิ้ลเลยไม่แนะนำให้ลงทะเลในตอนนี้เพราะอาจเกิดอันตรายขึ้นได้ เราเลยถ่ายรูปเล่นกันเล็กๆ น้อยๆ แล้วไปต่อที่จุดชมวิวสุดท้ายก่อนพระอาทิตย์ตกค่ะ






    Moon Dance Magic View


    จุดชมวิวตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Moon Dance Magic View Bungalow ที่สร้างอยู่บนหน้าผาหินบริเวณ อ่าวลึก ค่ะ มีซิกเนเจอร์คือสะพานไม้ลัดเลาะตามหน้าผาไปจนถึงโขดหินด้านล่างและทอดยื่นลงไปในทะเล














    บรรยากาศดีมาก รอบตัวมีแต่ความเงียบสงบ
    ได้แต่ยินเสียงคลื่นและเสียงลมพัดคลอเบาๆ :)










    เป็นการจบวันกับทัศนีภาพสวยๆ ที่น่าประทับใจค่ะ







    และทั้งหมดนี้คือบันทึกการเดินทางมากลับเกาะเต่าเพื่อสานฝันการเรียนฟรีไดฟ์​ ซึ่งเป็นหนึ่งในข้อตั้งใจข้อสำคัญที่อยากทำให้สำเร็จในปี 2020 ของเราค่ะ และนี่คือหนึ่งในเรื่องราวดีที่น่าจดจำท่ามกลางวังวนแห่งความสิ้นหวังและน่าหดหู่ใจที่ได้ประสบพบเจอมาเกือบตลอดทั้งปี


    สิ่งที่เราภูมิใจ ไม่ใช่การที่สอบผ่านจนได้บัตรฟรีไดฟ์เวอร์ แต่เป็นการที่เราได้ค้นพบกว่าตัวเองชอบและสนุกไปกับการทำกิจกรรมนี้ มีความรู้สึกอยากฝึกฝนเพิ่มเติมและเจ้าความรู้สึกอยากรู้ อยากลอง อยากทำ อยากพัฒนาตัวเองนี้เองได้จุดประกายบางอย่างในใจทำให้เราอยากลุกไปเริ่มลงมือทำเรื่องอื่นๆ อีก เพราะความสนุกของการได้โยนตัวเองออกไปทำอะไรใหม่ๆ และได้กลับมาย้ำเตือนตัวเองว่าความสุขในชีวิตไม่ใช่การทำเป้าหมายให้สำเร็จเพียงอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่เราเรียนรู้และเก็บเกี่ยวได้ในระหว่างทาง





    สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณครูเบคกี้
    ที่พาเราออกไปสัมผัสกับโลกใต้น้ำอันแสนสงบในมุมของฟรีไดฟ์เวอร์

    ครูซาร่า ที่ช่วยสอนและให้คำแนะนำในเรื่องต่างๆ
    ทั้งในด้านการดำน้ำและทัศนะในการใช้ชีวิต

    ครูโอปอลที่ต้อนรับเราเป็นอย่างดี
    ดีใจที่ได้กลับมาเจอกันใหม่หลังจากที่เรียน Advanced Open Water

    รวมไปถึงคุณครูทุกคนที่แวะเวียนมาคุยกัน
    พี่ส้ม และพี่ๆ ทุกๆ คนในแบนด์
    ที่ทำให้เรารู้สึกว่าการกลับมาที่เกาะเต่านั้นอบอุ่นเสมอ

    ตลอดจนขอขอบคุณพี่อุ๋ยคนสวย
    ผู้เป็นบัดดี้ของเราตลอดการเรียนในครั้งนี้

    พี่เป้ เป้ และน้องเล่
    ที่ออกไปเที่ยวคนเดียวด้วยกันในเกาะเต่า



    หวังว่าจะได้พบกันใหม่ในไม่ช้า
    รอบหน้าจะพาไปดำน้ำที่ไหน ฝากติดตามด้วยนะค้าาาาา











    ป.ล. No sponsor นะคะ
    ค่าเรียน ค่าเที่ยว และค่าที่พักเราจ่ายเองหมดเลย
    จองล่วงหน้าทิ้งไว้ในงาน TDEX ค่า
    ขอบคุณครูแมททิวมา ณ ที่นี้ด้วยเด้อออ
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in