เนื่องจากในโรงเรียนมีทรัพยากรไทยน้อยเท่าหยิบมือ ทำให้ทุกคนแก่งแย่งกันเข้ามาเรียนรู้วัฒนธรรมไทย อย่างการอ่านออกเสียงชื่อจริงของจูนเอง การหัดเขียนชื่อตัวเองเป็นตัวอักษรไทย รวมถึงการหยิกหัวนมเวลาเพื่อนกวนตีน..
ในกรณีนั้นเป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะต้องสอน แต่เราเองก็ต้องอยากรู้ป่ะวะ ว่าอะไรที่ครองใจพวกเขาบ้าง แบบ อเมซิ่งไทยแลนด์สัสๆของพวกเขา
เริ่มกันที่
1. ช้างไทย (ขวัญใจพี่ๆชาวญี่ปุ่น)
อันนี้เหมือนมีอยู่ในคอร์สเซเลบัสแล้วว่า ต้องขึ้นชื่อ คนไทยมาต้องถามไถ่ถึงช้าง โดยการถามว่า "เคยขี่ช้างป่ะ" "บ้านมีช้างป่ะ" .. นี่ก็ได้แต่ตอบว่า ไม่เคยอ่ะ (และในกรณีคำถามหลัง ก็ได้แต่ "เชี่ย บ้านมึงไม่มีเน็ตหรอวะ เปิดดูสิ แบ้งค่อกกกกกกกกก) และต้องมีถามต่อว่า "ทำไมไม่เคย น่ารักงู้นงี้งั้น" .. ไม่เถียงว่า ช้างน่ารัก แต่การขึ้นไปขี่ช้างมันไม่ได้สบายก้นหรอกมึง ..
2. ยาดม (ขวัญใจเหล่าโอปป้าแดนกัปตันยู)
บางคนก็เคยเห็นมาแล้ว (ในกรณีคนที่เคยมาเมืองไทย) แต่บางคนมันดูอเมซมากตอนที่คนไทยหยิบอะไรสักอย่างมายัดจมูก (บางกรณีเหี้ยถึงขนาดเสียบจมูกแล้วเดินไปเดินมา กรณีนี้เหี้ยจนสร้างความแตกตื่นให้เหล่าโอปป้ามานักต่อนัก) จนวันหนึ่งโอปป้าก็ตัดสินใจถามว่า
"มึงๆถามจริงอิที่พวกมึงยัดจมูกกันเดินไปเดินมานี่มันอะไรวะ"
"อ่อ มันคือ อะไรสักอย่างที่เขาไว้สูดเพื่อรีเฟรชสมองหน่ะ" หาคำกล่าวไม่ได้ จะ smell drug แม่งก็จะตรงตัวเกินไป
"อ่ออออออ มันดียังไงเห็นหลายคนก็ใช้"
"มึงลอง" ยื่นให้ เขาทำหน้าหยะแหยงนิดนึง เพราะเห็นอินี่ยัดเข้าไปในจมูกแหละ
แต่เขาก็รวบรวมความกล้าใจดีสู้ขี้มูก สูดดมอย่างเต็มปอด
ลุ้นว่าเขาจะชอบมั้ย จน..
"เฮ้ย แม่งเจ๋งมาก สุดยอด" หลากหลายadjพรั่งพรูออกมา ราวกับนิวตันตอนค้นพบแรงโน้มถ่วง
จนสุดท้ายก็ต้องยกให้เขาไป เพราะมีมาสองอัน และอันที่สองก็เพิ่งถูกขอไป เมื่อวาน ...
3. บาร์เปลื้องผ้าในพัทยา (ขวัญใจชะนีญี่ปุ่น)
"เคยไปไทยมาแล้ว 6 ครั้งค่ะ ติดใจบาร์เปลื้องผ้าในพัทยามาก" แค่พี่แกกล่าวคำนี้มา อินี่ก็หนาวแล้ว(ไม่ได้หนาวเพราะเปลื้องผ้านะ) แต่นอกจากจะหนาวและหน้าชาเพราะอายที่มีอะไรแบบนี้ในบ้านเรา แต่ พี่แกเป็นผู้หญิง ...... ไม่คิดว่าอะไรแบบนี้จะโดนใจเขาได้ แต่เขาบอกว่า หลังจากกลับจากฟิลิปปินส์ ว่าจะไปบาร์เปลื้องผ้าที่พัทยาอีก อิอิ
4. ยันต์ห้าแถว ของอาจารย์หนู (ขวัญใจชาวไต้หวัน)
อันนี้ค่อนข้างอเมซซิ่งมาก คือคนที่มาคุยกับจูนเพราะคลั่งไคล้เรื่องนี้คือ ผู้จัดการชาวไต้หวัน เขาบอกว่า เขาหน่ะ ได้ยินได้ฟังเรื่องการสักยันต์มาตั้งนานแล้ว และยังบอกอีกว่า แต่ละแถวของการสัก มีความหมายแตกต่างกันไป เส้นแรก อันนี้ เส้นสองอันนี้บลาๆๆๆๆ จนเริ่มไม่มั่นใจว่า "กูคนไทยจริงป่ะวะ ทำไมไม่รู้ไรเลย" และเขายังกล่าวอีกว่า อาจารย์หนู เขาว่าเด็ด (เขาใช้คำว่า อาจารย์หนู นั่นแหละ ทับศัพท์ไปเลย) เขาบอกว่า "ขนาดแองจาลิน่า โจลี่ยังไปสักกับอาจารย์หนูเลยนะ นอกจากยันต์ห้าแถวยังมียันต์ลายเสือ บลาๆๆๆ" ข้อมูลแน่นดั่งกะเป็นแอดมินเพจอาจารย์หนู สาขาไทเป
และเขาบอกว่า ดาราไต้หวันบางคนก็มาสักอะไรแบบนี้ จะเพิ่งพาวเวอร์ ทรงพลัง ส่องแสงเจิดจ้าท้าแดดท้าฝนทนทานนานนับสิบปี
ตอนแรกก็คิดว่า เอาน่าจะเป็นคนเดียวมั้งที่ชอบ แต่ ...
2 อาทิตย์ที่แล้ว จูนไปออกทริปกับชาวคณะคนไต้หวัน เจอเพื่อนคนนึงมียันต์ห้าแถวที่หลัง ตื่นเต้นมาก แต่ไม่ได้ถามว่าไปสักอาจารย์ไหน แต่แค่นี้ก็คงโชว์ได้ว่า ไม่ใช่แค่คนไทยสินะ ที่ทำไรแบบนี้ได้
4 สิ่งของที่กล่าวมา จูนเริ่มคิดว่า เออ ถ้าประเทศเรามาต่อยอด อย่างเช่น เปิดรับทัวร์สักยันต์ 5 แถว อาจารย์นู่นนี่นั่นมากมาย น่าจะนำเงินมาพัฒนาประเทศได้ปีละหลายล้าน และกำชับอย่างยิ่งว่า จะต้องผ่านรัฐบาลเท่านั้น (ทำเหมือนเกาหลีเหนือที่เวลาใครจะเข้าประเทศต้องผ่านรัฐบาลapply เท่านั้น)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in