การเรียนจบน่าจะเป็นทางแยกใหญ่ในชีวิตของใครหลาย ๆ คน และมันก็เป็นแยกใหญ่ที่มีทางเลี้ยวเยอะแยะเต็มไปหมด และกับบางคนมันเป็นทางแยกวัดใจที่ไม่มีสัญญาณไฟจราจร
เราก็เป็นหนึ่งในนั้น การเรียนจบสำหรับเรามันเหมือนเดินข้ามห้าแยกลาดพร้าวตอนสัญญาณไฟจราจรเสีย แม้รู้ว่าชอบอะไร อยากจะเดินไปเส้นทางไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ากลัว นี่มันการออกจาก Comfort zone ครั้งแรกของสาวน้อยวัย 22 ปีนะ
ด้วยเหตุทั้งปวงเราเลยคิดว่ามันต้องมีช่องว่างให้เราพักช่วงระหว่างข้อต่อการเปลี่ยนแปลงนี้สักหน่อย ให้มีเวลาได้ออกไปดูโลก มีเวลาได้หาตัวเองต่ออีกนิด ซึ่งไม่น่าจะมีอะไรเหมาะสมไปกว่าการไป Work and travel* ที่อเมริกา ได้ทั้งทำงานเก็บเงินเที่ยว ฝึกภาษา แล้วก็เจอเพื่อนใหม่ โครงการนี้แหละ เหมาะสมกับเราที่สุด
เราเตรียมตัวน้อยมากก่อนเดินทาง หลังตกลงเลือกเอเจนซี่ ดำเนินการเรื่องวีซ่า เลือกที่ทำงาน เลือกงานแบบจิ้มส่งๆ ไป และที่ทำงานที่ตอบรับเรามาก็คืองานแม่บ้านที่โรงแรมแห่งหนึ่งในเมือง Sioux falls รัฐ South Dakota ซึ่งเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเมืองนี้นอกจากมันมีน้ำตกใหญ่ ๆ แค่นั้น แต่ก็ไม่ได้กังวลอะไร ในความรู้สึกเราตอนนั้นอเมริกามันไม่ได้ไกลขนาดนั้น ด้วยเทคโนโลยีต่าง ๆ คงทำให้โลกเราแคบลง เราว่าคนที่ดูกังวลมากเป็นพิเศษกับการเดินทางครั้งนี้น่าจะเป็นแม่เรามากกว่า
แล้ววันเดินทางก็มาถึง แม่ผู้มาเยี่ยมเราครั้งเดียวตลอดระยะเวลาการเรียนมหาลัย 4 ปี ดั้นด้นจากหัวเมืองปักษ์ใต้เพียงเพื่อมาส่งเราไปอเมริกา เรามีสัมภาระแค่ Backpack 1 ใบ ที่จัดคืนก่อนเดินทาง และถุงผ้าใส่มาม่ารสต้มยำกุ้งจำนวน 1 โหลถ้วน บรรยากาศวันนั้นเหมือน MV สักเพลงหนึ่งที่นางเอกกำลังเดินทางไปต่างประเทศแล้วมีเพื่อน ๆ กับครอบครัวห้อมล้อมมาส่งขึ้นเครื่อง แสงพระอาทิตย์ตอน 6 โมงเช้า ส่องเข้ามาในหน้าต่างกระจกสนามบินสุวรรณภูมิ สีส้มอุ่น ๆ ลอดผ่านเข้ามากระทบพื้น ผู้คนคลาคล่ำที่นี่ ถึงเวลาที่เราต้องขึ้นเครื่องแล้ว เราโบกมือลาเพื่อน ๆ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะหันมากอดแม่ที่ยืนร้องไห้เงียบ ๆ อยู่มุมหนึ่ง จนถึงนาทีสุดท้ายที่ต้องขึ้นเครื่อง เราก็ยังไม่รู้ว่าอเมริกามันไกลขนาดไหน แต่สิ่งหนึ่งที่รู้คือมันคงไกลมากสำหรับแม่เรา
เครื่องบินทะยานขึ้นจากสนามบินสุวรรณภูมิ มองออกไปนอกหน้าต่างพระอาทิตย์เพิ่งโผล่พ้นขอบฟ้าเต็มดวง เราต้องเดินทางอีก 24 ชั่วโมง วันนี้พระอาทิตย์จะตกที่ไหนกันนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in