ถ้าก้มลงกราบฟ้าดินได้ ผมคงทำไปแล้ว
นี่มันน่าจะเป็นบททดสอบโหมดโรคจิตบ้าคลั่งประหนึ่งเอาซิมไปปล่อยในสระน้ำแล้วยกบันไดออก
ภาพตรงหน้าผมคืออาคารร้างๆ เหมือนถอดแบบมาจาก The Walking Dead ทุกอย่างข้างในปิดซ่อมโดยพร้อมเพรียงกัน เหลือความหวังให้กับชีวิตสุดหิวโหยของผมแค่ร้านขายของชำง่อยๆ อันนึงเท่านั้น
สุดท้ายเลยเดินออกมาจากตึกด้วยใจพังๆ พร้อมขนมถุงโง่ๆ มาอุดปากกระเพราะที่ส่งเสียงโครกคราก
แต่ แต่ แต่ ไม่ใช่ผมคนเดียวครับที่งงกับภาพตรงนี้ ฝรั่งบนรถก็งงเหมือนกัน
ต่างกันแค่ เขามีเน็ทในมือถือ ผมเลยต้องใช้วิชาที่ถนัดที่สุดอันหนึ่งอย่าง "การเสือก" ไปยืนฟังเขาคุยกันว่ายังไงต่อ
ความว่า ต้องต่อรถบัสอีกคันเพื่อเข้าตัวเมืองปีนัง อ่ะ โอเค๊ รอก็รอ...
...
..
.
30 นาทีผ่านไป รถบัสจากสรวงสรรค์ก็มาถึงงงงงงงงงงง
ทุกคนพุ่งตัวเข้าไปจับจองเก้าอี้บนรถโดยไม่ต้องนัดหมาย
เย้ รอดแล้ว...
เหรอวะ ...
รถบัสข้บมาปล่อยผมลงที่ถนน Lebuh Julia จุดสตาร์ทในการออกหาที่พักที่เล็งเป้าเอาไว้
ข้างป้ายรถเมล์มีแผนที่ของเมืองปีนังแปะอยู่ พีระรีบหยิบมือถืออกมาถ่ายรูปเก็บไว้
'นี่แหล่ะ ที่พักมันอยู่บนถนนเส้นนี้แหล่ะมึง เดินยังไงก็เจอ' พีระบอกกับตัวเอง
ป่ะ ลุย
..
..
.
เชี่ยเอ๊ยยยยยย แม่งอยู่ไหนวะเนี่ยยยยยยยยยยยยยยยย
ถ้าคุณเป็นชาวเมืองปีนังที่เดินผ่านไปผ่านมาแถวนั้น ตอนนั้น คงได้เห็นไอ้หนุ่มหน้าเนิร์ดคนนึงเอามือกุมหัว หน้าตาเหมือนพร้อมจะแหลกสลายได้ทุกเมื่อ ยืนสติพังอยู่ตรงสี่แยก
ปัญหาของผมในตอนนี้ คือความซวย 3 เด้งครับ
เด้งแรก หิวข้าว ตั้งแต่ 8 โมงเช้าจนล่วงเลยมาถึงตอนบ่ายๆ มีแค่ขนมโง่เพียงถุงเดียวตกถึงท้อง
เด้งสอง เงียบ มันเป็นวันอาทิตย์ที่แสนสงบสุข ร้านรวงก็พากันปิด ไม่มีอะไรขายมาประทังชีพเลย
เด้งสาม หนัก ขาไป ผมมีกระเป้าเป้ deuter (ปลอมซื้อจากเจเจ) และ กระเป๋ากล้องสะพายข้างหนึ่งใบ แต่พอถึง KL ดันได้กระเป๋ากล้องแบบสะพายหลังที่เป็นของรางวัลแถมมาอีกหนึ่งใบ โอ้โหคุณเอ๋ย ฤานี่จะเรียกว่า ทุกขลาภได้อย่างเต็มปากเต็มคำและสะพายเต็มตัว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in