เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[SR] ทริปโกงความตาย ไปมาเลย์ราคา 0 บาทgeekjuggler
003: PRIZE / SURPRISE
  • เวลาไปเที่ยวต่างประเทศ จะมีอะไรที่เซอร์ไพร์ซเราได้มากกว่าการบังเอิญได้เจอเพื่อน ที่ดันโผล่มาพบกันในสถานที่เกินกว่าจะคาดคิด
    และคงเซอร์ไพร์ซยิ่งขึ้น ถ้าเป็นเพื่อนเก่าแก่ที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานแสนนาน
    แต่สำหรับผม คงต้องเรียกว่า #เซอร์ไพรซ์หนักมาก เพราะไม่ใช่แค่หนึ่ง แต่ได้เจอถึงสองคน!
    ... ในประเทศที่ถ้าไม่มีเหตุจำเป็น ก็คงไม่คิดจะมาอย่างมาเลเซียเนี่ย

    หลังจากอาบน้ำอาบท่า แต่งตัวให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมก็ได้ฤกษ์ออกเดินทางไปยังตึก Suria KLCC เพื่อไปรับเงิน เอ้ย ไปรับรางวัล อันเป็นจุดประสงค์หลักของทริปนี้
    วินาทีที่ย่างเท้าผ่านล็อบบี้นี่ สาวๆ มองตามกันทุกคนเลยนะครับ แฮ่ม
    (เพราะมึงใส่เสื้อเชิ้ตเดินในโฮสเทลเนี่ยแหล่ะ ชาวบ้านเข้ามีแต่เสื้อยืด เสื้อกล้ามกัน ดูผิดที่ผิดทางมาก)

    วิธีการเดินทางไปยังตึก Suria KLCC ซึ่งเป็นหนึ่งในหมู่ตึกห้างสรรพสินค้ากลางเมือง KL เนี่ยง่ายแสนง่าย
    เพราะแค่ขึ้นรถไฟฟ้า ลงสถานี KLCC ปุ๊บ ก็ถึงปั๊บ ไม่ยากลำบากอะไร
    แต่ทันทีที่ผมก้าวเข้าไปในประตูห้าง ร่างทั้งร่างของผมถึงกับหยุดนิ่ง ขนทั้งตัวลูกซู่ มือไม้สั่นเทา
    ตรงหน้าผม... คือเพื่อนเก่า เพื่อนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานาน 7-8 ปี ยืนยิ้มพร้อมเสื้อขาวตัวเก่งของเขา
    ผมทำอะไรไม่ถูก แทบจะบรรยายด้วยคำว่า #น้ำตาจะไหลขอแชร์นะครับ

    เพื่อนผมคนนี้ อดีตเขาเป็นคนดังครับ ถ้าพูดชื่อ รับรองว่าทุกคนต้องร้องอ๋อแน่ๆ
    ฮอตฮิตระดับสยามแตกมาแล้ว คนเป็นสิบเป็นร้อยยืนกลุ้มรุมตอมระดับรอเป็นชั่วโมงๆ ก็เคยกันมาแล้ว
    แต่แน่ล่ะครับ วันเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน เพื่อนผมคนนี้ สุดท้ายก็ตกกระป๋อง ต้องบินกลับมากบดานที่บ้านเดิม ณ มาเลเซีย

    ถึงแม้วันนี้ ที่นี่ เขาจะไม่ได้มีคนห้อมล้อมเยอะเหมือนคราวอยู่เมืองไทย แต่พูดเลยว่า ความ "เนื้อหอม" ของเขายังคงมนต์ขลังไม่เสื่อมคลาย
    อย่างไม่รอช้า ผมวิ่งเข้าไปหาเพื่อนคนนี้ ทุกอย่างมันตื้นตัน จุกอยู่ในอก ได้แต่ตะโกนบอกเขาในใจ (เพราะไม่กล้าพูดออกไป) ว่า...
  • "กู ได้ แดก แล้ว โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย"
    (ปิดโหมดดราม่า)

    ครับ เพื่อนผมคนนี้ชื่อ Roti Boy...
    ตั้งแต่ประตูยังเปิดไม่สุด กลิ่นหอมที่สุดแสนจะคุ้ยเคยของเนยก็เข้ามาถีบจมูก (หนักกว่าเตะหลายเท่า) อย่างเต็มๆ
    ถึงจะอยากประหยัดขนาดไหน ก็ต้องเข้าไปสอยมาชิมรำลึกความหลังกันสักหน่อย
    25 บาท รสชาติเหมือนเดิม แน่น เลี่ยน แถมพึ่งขึ้นจากเตามาร้อนๆ
    เซอร์ไพร์ซจริงๆ ที่ได้เจอนายนะ



    รำลึกความหลังกับนายโรติจนหมดก้อน ก็ถึงเวลาเดินสำรวจตึกนี้กันสักหน่อย
    KLCC ให้ความรู้สึกเหมือนเซ็นทรัลเวิลด์ที่อัพระดับความหรูขึ้นมาอีกครึ่งสต็อป มีสเปซสำหรับจัดงาน มีร้านรวงดังๆ ยกขบวนกันมาตั้งรกรากที่นี่ จริงๆ แล้วข้างในก็เน้นการช็อปปิ้ง-กินข้าวตามสูตร แต่มีสามสิ่งที่ประทับใจจนต้องนำมาประกาศไว้ที่นี่

    อันดับสาม ในห้างนี้มีพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ แต่ที่พีคกว่าคือพ่อแม่พาครอบครัวมาชมจนบัตร sold out
    อันดับสอง ร้านอาหารไทยที่มีคอร์สราคา 500 ริงกิต (ราว 5000 บาท) ... อยากชิมแต่ใจไม่กล้าพอ
    อันดับหนึ่ง ร้านหนังสือชื่อขึ้นต้นด้วย "คิ" ลงท้ายด้วย "ยะ" ขนาดมหึมา เทียบเคียงแล้วน่าจะประมาณ 2 เท่าของที่สยามพารากอน แต่มันมีสองชั้น ! ไม่รู้ว่าจริงๆ เป็นยังไง แต่มีร้านใหญ่ขนาดนี้ บ้านเขาคงอ่านหนังสืิอกันหนักหน่วงละมั้ง

    หยิบนาฬิกามาดูเวลา เอาล่ะ ช่วงเวลาสำคัญมาถึงแล้ววววววววววว
  • พีระพกใจตุ๊มๆ ต่อมๆ เดินเข้างาน Kuala Lumpur International Photoawards 2013
    ถ้าถามว่าเป้าหมายในชีวิตช่างภาพของตัวเองคืออะไร หนึ่งในนั้นคือการได้เห็นภาพตัวเองถูกแสดงให้คนอื่นได้ชมในงานนิทรรศการสักที่ แต่นี่เป็นงานระดับอินเตอร์อีก โหหหห ยังไงล่ะยังไง ตื่นเต้นนนน

    เปิดประตูกระจกเข้าไปปั๊บ เจอชื่องานไซส์เบิ้มบนผนัง
    และนั่น เฮ้ย ภาพกูนี่หว่าาาา อยู่ข้างๆ ชื่องานเลยยยยยย
    โมเม้นต์ที่ได้เห็นภาพตัวเองนี่... พูดไม่ออกเลยครับ
    ความรู้สึกนั้นยากจะบรรยายมากๆ
    ....



    ครับ
    ตามที่เห็นนี่แหล่ะครับ
    ไซส์ในภาพคือ 4x6 นิ้วเท่าโปสการ์ด
    ทำไมล่ะ ทำไม พี่ไม่ปรินท์ใหญ่กว่านี้หน่อยล่ะเฮ้ยยย ขอไฟล์ใหญ่ๆ ไปทำแมวอะไร
    แถมปรินท์ยังไม่ค่อยชัดอีก เสียใจอยากสุดซึ้ง ;___;)/
    ทำไมถึงทำกับฉันได้ (เพลงมา)

    แล้วดูงานของคนอื่นครับ



    ก็เข้าใจว่า มันเป็นหัวข้อที่มีคนส่งไม่เยอะ (จริงๆ รางวัลที่ 1 มันได้ตั้ง 3,500$ แต่นี่คนส่งไม่เยอะ เขาเลยบอกว่า งั้นให้เป็น grant ราวๆ 500$ แทน)
    แต่เอาวะ จริงๆ งานแสดงภาพเป็นเรื่องรอง เรื่องเงินต้องมาก่อน หึ
    พกเอาความคับแค้นใจ (และท้องที่ว่างมาก) ไปลงกับอาหารแทน

    หลังจากซัดแหลกจนละอายใจเล็กน้อย เดินดูงานข้างใน
    ก็ถึงเวลารับรางวัลแล้วววววว

    เอาจริงๆ ก็แอบเกร็งนิดๆ เพราะดูเป็นทางการเหลือเกิน มีคนใหญ่คนโตมากล่าวเปิด เขาก็ประกาศรางวัลๆ ไป อ่ะ " โมบายล์โฟน คาทากอรี่ 500$ แอนด์ ไอพีเอ แกรนท์ อวอร์ด อิส พีระ วอราพรีชาปะนิช"
    เฮ เดินเขินๆ ขึ้นเวทีไปรับแฟ้มที่ข้างในมีประกาศนียบัตรอยู่ (และเงิน 500 เหรียญ) ยิ้มให้กล้องสองที เดินลง
    ภูมิใจมากครับ ... ไม่ใช่ที่ได้รางวัลครับ แต่เป็นเงินต่อชีวิตอินดี้ตัวเองไปได้อีกเดือน
    หลังจากนั้น เขาก็ประกาศรางวัลใหญ่อะไรต่อไป นี่ก็นั่งเปิดดูสูจิบัตรงานฆ่าเวลา
    ระหว่างดูเพลินๆ (พลางคิดว่าเดี๋ยวจบงานจะไปกินอะไรต่อดี)
    "โมบายล์โฟน คาทากอรี่ เออเนอเรเบิ้ล เมนชั่น อิส พีระ ... " หืม ห๊ะะ
    สะดุ้งเลย ไรวะ มีแถมหรอ... เดินมึนๆ ขึ้นไปรับรางวัลอีกชิ้น เป็นกระเป๋าเป้ใส่กล้องจากสปอนเซอร์งาน พร้อมถ้วยรางวัล
    ความจริงคือ ผมได้สองรางวัลครับ แต่จำได้แค่อันที่มีเงินสดอันเดียว (ชัดเจน)
    อ่ะ ได้เพิ่มก็ดี เฮฮฮฮ​ (นายยังไม่รู้อะไร พีระ ว่านายต้องเจออะไรต่อไป)


  • หลังจากจบช่วงพิธีการ ก็เดินไปหาคุณคนจัดงานเพื่อรับเงินค่าเดินทาง 150$ จุดเริ่มต้นของการทริป 0 บาทนี้
    นี่แหล่ะครับ ทุกการเดินทางย่อมมีเป้าหมาย ในที่สุด ผมก็ทำสำเร็จ (ทำหน้าหล่อ)
    พึ่งรู้ว่างานนี้ค่อนข้างใหญ่พอควร ก็ตอนที่มีหนังสือพิมพ์ของมาเลเซียมาของสัมภาษณ์นี่แหล่ะครับ
    ก็ไปยืนตอบคำถาม อธิบายที่มาของงานเป็นภาษาอังกฤษแบบงูๆ ปลาๆ ในใจก็ได้แต่ภาวนาว่าเขาจะฟังรู้เรื่อง
    (สุดท้าย พอได้มาเห็นข่าวจริงๆ ใช้แค่หน้าผม ส่วนเนื้อหาเขาลงบทสัมภาษณ์ของผู้ชนะคนอื่นแทน ฮือ)
    (เพราะมึงพูดเองยังงงเองเลย)

    เป้าหมายถัดไปของคืนนั้นคือไปเดินเล่นดูไฟตึกเปโตรนาส (ไม่รู้ไปไหน ไปทัวร์ริสต์สปอตเนี่ยแหล่ะ)
    ขณะที่ยัดห่ารอบสุดท้ายตรงมุมอาหาร สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งเข้า

    เฮ้ย เซอร์ไพร์ซ
    ผมเจอเพื่อนคนที่สองในแดนมาเลเซียแห่งนี้ แถมเป็นเพื่อนจากฟิลิปปินส์ด้วย!
    อะไรจะเซอร์ไพร์ซขนาดนั้น
    "เฮ้ ไคริล~" ผมรีบเดินไปทักทายทันที
    เขาหันหน้ามาทำท่าตกใจ "เฮ้ พีระ~" เขาทำหน้าตกใจจริงๆ นะ

    ผมกับไคริลรู้จักกันที่ Angkor Photo Workshop ปลายปี 2012
    เป็นเวิร์คช็อปของเหล่าช่างภาพในละแวกเอเชีย ซึ่งกลุ่มก๊วน AEC ไทย สิงคโปร์ มาเลย์ ฟิลิปปินส์ อินโด เวียดนาม จะค่อนข้างสนิทกันเป็นพิเศษ (ส่วนอีกก๊วนใหญ่ๆ คือแถวๆ อินเดีย ปากี บังคลาเทศ)

    พีระ: ว้าว ลอง ไทม์ โน ซี
    ไคริล: ฮาว อาร์ ยู วาย ยู ดอนท์ เทล มี แดท ยู วิล คัม ทู เคแอล (เสียงจริงจังนิดๆ)
    พีระ: (ทำไมต้องบอกมึงวะ) เอ่อ วาย...
    ไคริล: บี คอส ไอ ลีฟ เฮียร์ อิน เคแอลลลลล
    พีระ: .... บัท ไอ ติ๊ง ยู ลีฟ อิน ฟิลิปปินส์
    ไคริล: ... โน ไอ ลิฟ เฮียร์
    พีระ: ...
    รับประทานข้าวอิ่มแล้ว รับประทานจุดต่อเป็นของปิดท้ายเลย
    คือ... ผมจำบ้านเกิดเขาผิดมาโดยตลอดครับ
    นั่นแหล่ะครับ เซอร์ไพร์ซซซซซซ

    หลังจากขอโทษขอโพย ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบกันเสร็จ ไคริลบอกว่า ถ้าบอกล่วงหน้าว่าจะมาที่นี่จะได้แนะนำเรื่องที่พักให้ เขาเสียใจที่ไม่ได้ช่วยเราเลย (ฮือ รู้สึกผิด) แต่นั่นแหล่ะ ไคริลเลยเอ่ยปากชวนว่า
    "เนี่ย เดี๋ยวแก๊งค์ช่างภาพมาเลย์ที่มางานนี้ เขาจะไปดริงค์กัน สนใจจะไปด้วยกันไหม"

    ดริงค์... ผมกับแอลกอฮอล์นี่เป็นไม้อ้วกไม้เมากันมาโดยตลอด
    ถ้ากินเกิน 1 แก้วเมื่อไร เป็นต้องเมาหลับ ไม่ก็หนีไปอ้วกในห้องน้ำแทบจะทุกที
    ในใจก็คิด เฮ้ย ชิ่งดีไหมวะ แต่อีกใจก็แบบ เฮ้ย อย่าเลยนะมึง เขาชวนนะ ไม่งั้นเขาจะมองว่าชายไทยป๊อดนะ มึงแบกหน้าตาของประเทศไว้อยู่นะ
    เอาวะ มาครับ ถึงจะแพ้อ้วก แต่ก็เป็นการอ้วกเพื่อชาติ
    "โอเค เล็ทส์โก"

    หนุ่มไทยใจห้าวหาญเดินตามกลุ่มช่างภาพมาเลย์ออกมาทางหน้าตึก KLCC เดินเลี้ยวซ้ายเข้าไปยังศูนย์อาหารไปลิบๆ ตรงหน้า ผมกลืนความตื่นกลัวเข้าไปข้างในกระเพาะ นั่งลงที่โต๊ะพร้อมกับคนอื่น คว้าเมนูมาดู ไล่เรียงจากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบน ชี้นิ้วบอกไคริล ก่อนจะหัวเราะในใจออกมาดังๆ
    ...
    .
    .
  • บริกรยกแก้วมาวางตรงหน้า... มันคือชานมเย็นนนนนน~
    เซอร์ไพร์ซซซซซ

    ครับ ผมลืมไปครับว่าไคริลเป็นอิสลาม ดังนั้น ดริงค์ ในความหมายเขาคือชาชัก ไม่ใช่เหล้าเบียร์แต่อย่างใด รู้สึกขำแห้งกับตัวเองมากๆ ด้านนึงก็คิดว่า เฮ กูรอดแล้ว อีกด้านก็แบบ เออ มึงไม่ฉุกใจคิดก่อนวะ

    ผมชอบบรรยากาศการพูดคุยของเหล่าช่างภาพที่เจนจัด
    ช่างภาพหลายคนอาจจะนั่งคุยกันเรื่องกล้องตัวนี้เจ๋งยังไง พึ่งถอยเลนส์ใหม่มาเอฟเท่านี้
    แต่วงสนทนาในคืนนั้น ดุเดือด สนุกสนาน และได้บทเรียนเข้อคลั่กกว่าชานมในแก้ว
    ช่างภาพแต่ละคนโยนแนวคิดของตัวเองออกมา วิพากย์วิจารณ์ถึงผลรางวัลที่พึ่งได้ไปดูกันมา แบบเปิดสูจิบัตรไล่กันไปทีละรูป หัวหน้าช่างภาพมาเลเซียของรอยเตอร์เอาพอร์ทของตัวเองขึ้นมาโชว์ ช่างภาพสตรีทในตำนานของมาเลเซียสอนเทคนิคการใช้เลนส์ 35mm แบบที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนตลอดชีวิต คนจัดงานนิทรรศการภาพถ่ายในปีนังหยิบหนังสือขึ้นมาพร้อมบอกว่า ช่างภาพทุกคนควรอ่านเล่มนี้ พร้อมพูดถึงปรัชญาข้างใน (หนังสือชื่อ Zen and the art of archery ลองไปหาอ่านกัน)
    ผมก็ร่วมแจมได้ตามที่หัวข้อและเวลาจะอำนวย
    เวลาไหลผ่านไปเร็วกว่าที่คิด เผลอแป๊ปเดียวนาฬิกาบอกเวลาเกือบห้าทุ่ม วงชาถึงเวลาแยกย้าย
    น่าเสียดาย ที่ผมมีแผนต้องออกจาก KL ไปปีนังในวันรุ่งขึ้น ไคริลเลยถามผมว่า มีอะไรอยากกินเป็นพิเศษไหม ผมบอกกลับไปว่า ขอ โลคอลฟู้ด อะไรก็ได้
    ป่ะ ไคริลตอบ ช่างภาพบางส่วนขอตามไปกินต่อกับเราด้วย

    เฮ้ย คนเยอะไปป่าววะ พวกพี่ไม่นอนกันหรอ นี่คือสิ่งที่คิดในใจขณะมายืนอยู่หน้าร้านเด็ดที่ไคริลพามา
    เกือบเที่ยงคืน แต่คนก็ยังแน่นร้านขาย Nasi Lemak แปลตรงตัวว่า ข้าวเยิ้มๆ แปลจริงๆ ว่า ข้าวราดแกง
    ในเมืองที่คนไม่กินเหล้าเข้าผับ การมากินข้าวราดแกงกันตอนเที่ยงคืนอาจจะเป็นการแฮงค์เอาท์ในสไตล์ชาว KL และ ทุกคนกินกันจริงจังมาก!



    การกิน Nasi Lemak มีสองทางเลือกครับ ระหว่างใช้มือ หรือ ใช้ช้อนส้อม
    แน่นอนครับว่าผมต้องเลือกอย่างหลัง แต่ทุกคนที่เหลือเลือกทางแรกหมด (ฮา)
    การสั่งก็เหมือนร้านที่บ้านเรา ของทุกอย่างเป็นถาดๆ อยากกินอะไรก็จิ้มๆ เอา
    ผมขอลองปลาหมึกผัดพริก รสชาติจัดจ้านมาก อร่อยแม้แอบเผ็ดไปนิด
    ซัดกันจนหมดจาน ก็ถึงเวลาจะร่ำลากันแล้ว แต่... มีช่างภาพอีกคนกำลังจะตามมา
    ผลสุดท้ายคือ เราก็เดินไปนั่งดริงค์ชากันต่อถึงตีสอง !
    เมาชา (แบบไม่ใช่กัญ) ยาวตั้งแต่ทุ่มนึงถึงตีสอง !
    การดริงค์ครั้งนี้ใหญ่หลวงจริงๆ

    ไคริลอาสาขับรถไปส่งผมที่โฮสเทล ระหว่างทางเขาพูดอีกหลายต่อหลายครั้งว่า ถ้าจะมาน่าจะบอกกันก่อนจะได้ดูแลได้ดีกว่านี้ ผมก็ขอโทษเขาเหมือนกันที่จำผิด

    ถึงทริปนี้จะเจอกับความวิบัติมาตั้งแต่ต้น แต่ค่ำคืนนี้มันคือช่วงเวลาที่แสนวิเศษจริงๆ
    ได้โชว์งาน ได้เงินรางวัล ได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ แค่นี้ก็คุ้มแล้ว
    ผมนั่งยิ้มพลางมองไฟตึกเปโตรนาสที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า

    ถึงโฮสเทล กล่าวร่ำลา หวังว่าเราจะได้พบกันใหม่ (เย้ห์) (ผิด)
    ผมรีบอาบน้ำ เข้านอน เพราะต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อขึ้นรถบัสไปยังปีนัง
    ขณะข่มตาหลับ ก็ได้พบกับเรื่องเซอร์ไพร์ซครั้งสุดท้ายของค่ำคืนนี้
    ... เตียงตรงข้ามมันกินตับกันอีกแล้ววววววววว
  • (พื้นที่โฆษณา) ตอนนี้ งานชิ้นที่ได้รางวัลนี้ Fading Memories จัดแสดงเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ "Recorder" ที่ RMA Institute จนถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ใครผ่านไปแถวนั้น แวะไปดูได้นะ
    (ใหญ่กว่า 4x6 นิ้ว)
    ดูรายละเอียดได้ที่ https://www.facebook.com/events/1705547119703475/

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in