บริกรยกแก้วมาวางตรงหน้า... มันคือชานมเย็นนนนนน~
เซอร์ไพร์ซซซซซ
ครับ ผมลืมไปครับว่าไคริลเป็นอิสลาม ดังนั้น ดริงค์ ในความหมายเขาคือชาชัก ไม่ใช่เหล้าเบียร์แต่อย่างใด รู้สึกขำแห้งกับตัวเองมากๆ ด้านนึงก็คิดว่า เฮ กูรอดแล้ว อีกด้านก็แบบ เออ มึงไม่ฉุกใจคิดก่อนวะ
ผมชอบบรรยากาศการพูดคุยของเหล่าช่างภาพที่เจนจัด
ช่างภาพหลายคนอาจจะนั่งคุยกันเรื่องกล้องตัวนี้เจ๋งยังไง พึ่งถอยเลนส์ใหม่มาเอฟเท่านี้
แต่วงสนทนาในคืนนั้น ดุเดือด สนุกสนาน และได้บทเรียนเข้อคลั่กกว่าชานมในแก้ว
ช่างภาพแต่ละคนโยนแนวคิดของตัวเองออกมา วิพากย์วิจารณ์ถึงผลรางวัลที่พึ่งได้ไปดูกันมา แบบเปิดสูจิบัตรไล่กันไปทีละรูป หัวหน้าช่างภาพมาเลเซียของรอยเตอร์เอาพอร์ทของตัวเองขึ้นมาโชว์ ช่างภาพสตรีทในตำนานของมาเลเซียสอนเทคนิคการใช้เลนส์ 35mm แบบที่ผมไม่เคยรู้มาก่อนตลอดชีวิต คนจัดงานนิทรรศการภาพถ่ายในปีนังหยิบหนังสือขึ้นมาพร้อมบอกว่า ช่างภาพทุกคนควรอ่านเล่มนี้ พร้อมพูดถึงปรัชญาข้างใน (หนังสือชื่อ Zen and the art of archery ลองไปหาอ่านกัน)
ผมก็ร่วมแจมได้ตามที่หัวข้อและเวลาจะอำนวย
เวลาไหลผ่านไปเร็วกว่าที่คิด เผลอแป๊ปเดียวนาฬิกาบอกเวลาเกือบห้าทุ่ม วงชาถึงเวลาแยกย้าย
น่าเสียดาย ที่ผมมีแผนต้องออกจาก KL ไปปีนังในวันรุ่งขึ้น ไคริลเลยถามผมว่า มีอะไรอยากกินเป็นพิเศษไหม ผมบอกกลับไปว่า ขอ โลคอลฟู้ด อะไรก็ได้
ป่ะ ไคริลตอบ ช่างภาพบางส่วนขอตามไปกินต่อกับเราด้วย
เฮ้ย คนเยอะไปป่าววะ พวกพี่ไม่นอนกันหรอ นี่คือสิ่งที่คิดในใจขณะมายืนอยู่หน้าร้านเด็ดที่ไคริลพามา
เกือบเที่ยงคืน แต่คนก็ยังแน่นร้านขาย Nasi Lemak แปลตรงตัวว่า ข้าวเยิ้มๆ แปลจริงๆ ว่า ข้าวราดแกง
ในเมืองที่คนไม่กินเหล้าเข้าผับ การมากินข้าวราดแกงกันตอนเที่ยงคืนอาจจะเป็นการแฮงค์เอาท์ในสไตล์ชาว KL และ ทุกคนกินกันจริงจังมาก!
การกิน Nasi Lemak มีสองทางเลือกครับ ระหว่างใช้มือ หรือ ใช้ช้อนส้อม
แน่นอนครับว่าผมต้องเลือกอย่างหลัง แต่ทุกคนที่เหลือเลือกทางแรกหมด (ฮา)
การสั่งก็เหมือนร้านที่บ้านเรา ของทุกอย่างเป็นถาดๆ อยากกินอะไรก็จิ้มๆ เอา
ผมขอลองปลาหมึกผัดพริก รสชาติจัดจ้านมาก อร่อยแม้แอบเผ็ดไปนิด
ซัดกันจนหมดจาน ก็ถึงเวลาจะร่ำลากันแล้ว แต่... มีช่างภาพอีกคนกำลังจะตามมา
ผลสุดท้ายคือ เราก็เดินไปนั่งดริงค์ชากันต่อถึงตีสอง !
เมาชา (แบบไม่ใช่กัญ) ยาวตั้งแต่ทุ่มนึงถึงตีสอง !
การดริงค์ครั้งนี้ใหญ่หลวงจริงๆ
ไคริลอาสาขับรถไปส่งผมที่โฮสเทล ระหว่างทางเขาพูดอีกหลายต่อหลายครั้งว่า ถ้าจะมาน่าจะบอกกันก่อนจะได้ดูแลได้ดีกว่านี้ ผมก็ขอโทษเขาเหมือนกันที่จำผิด
ถึงทริปนี้จะเจอกับความวิบัติมาตั้งแต่ต้น แต่ค่ำคืนนี้มันคือช่วงเวลาที่แสนวิเศษจริงๆ
ได้โชว์งาน ได้เงินรางวัล ได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่คิดว่าจะได้เจอ แค่นี้ก็คุ้มแล้ว
ผมนั่งยิ้มพลางมองไฟตึกเปโตรนาสที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า
ถึงโฮสเทล กล่าวร่ำลา หวังว่าเราจะได้พบกันใหม่ (เย้ห์) (ผิด)
ผมรีบอาบน้ำ เข้านอน เพราะต้องตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อขึ้นรถบัสไปยังปีนัง
ขณะข่มตาหลับ ก็ได้พบกับเรื่องเซอร์ไพร์ซครั้งสุดท้ายของค่ำคืนนี้
... เตียงตรงข้ามมันกินตับกันอีกแล้ววววววววว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in