พ่อผมดุมากครับ, ตอนผมยังเป็นเด็กเขาดุจนเหมือนปีศาจ
แต่เมื่อโตขึ้น ผมก็เริ่มรู้สึกว่าที่ผมเป็นแบบนี้ก็เพราะเขา และผมก็พอใจกับตัวเองในส่วนใหญ่ของชีวิต
แน่นอน ผมรับมรดกสิ่งที่ไม่ดีมาจากพ่อด้วย อย่างเช่นอารมณ์ฉุนเฉียว ขึ้นลงรุนแรง ร้ายกาจ ในวันที่ผมดุน้องสาว น้องบอกว่า เหมือนกับพ่อมายืนอยู่ตรงหน้าเอง ซึ่งผมก็เข้าใจ ผมเห็นตัวเองในกระจก ผมก็เห็นพ่ออยู่เหมือนกัน
แต่ในความฉุนเฉียวนั้นก็ให้เมล็ดพันธุ์ที่ดีด้วย, คุณอาจเคยได้ยินคำพูดว่าเรื่องร้ายกาจเมื่อผ่านไปแล้วก็กลายเป็นเรื่องตลก สำหรับผม เรื่องร้ายกาจที่ผ่านไปแล้วคือวัตถุดิบ
การอยู่กับพ่อเหมือนการฝึกรด. กับครูฝึกโหดๆ ในสมองคุณจะวิ่งวนไปด้วยคำถามตลอดเวลา คำถามที่คุณต้องกล้ำกลืนไว้ข้างในใจ เพราะพ่อไม่ให้โอกาสคุณตอบเท่าไรมาตลอดยี่สิบปี
แล้ววันหนึ่งคำตอบทั้งหมดก็ระเบิดออกจากตัวคุณ แล้วคุณก็รู้ว่าคำตอบของคุณไม่ได้เจ๋งสักเท่าไรหรอก
วัตถุดิบที่ได้จากพ่อ ผมไม่เคยใช้มันตรงๆ น้อยครั้งที่ผมจะเขียนถึงเขา แต่พ่อก็อยู่ในทุกตัวหนังสือ ไม่ว่าผมจะเขียนเรื่องอะไรก็ตาม พ่อก็อยู่ระหว่างคำ อยู่ระหว่างวิธีคิด อยู่ระหว่างตัวอักษร
ผมรู้สึกว่าผมมี aspiration ได้ก็เพราะพ่อ เพราะพ่อเป็นยักษ์ปักหลั่นที่อยู่ตรงเบื้องหน้า ผมไม่ได้รู้สึกอยาก 'ล้ม' เขา แต่ผมแค่อยากทำให้เขายอมรับ
ซึ่งเป็นงานยากเย็นจนกระทั่งวันนี้ก็ยังอาจทำไม่ได้
แต่นั่นแหละ สิ่งหนึ่งที่พ่อให้ผมมาก็คือความสามารถในการเด้งกลับมา
ไม่ว่าคุณจะถูกย่ำยีกี่ครั้งก็ตาม
ผมไม่มีความสัมพันธ์อันหวานชื่นกับพ่อ อย่างที่เขาบอกกันนั่นแหละครับ ว่าความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนที่สุดระหว่างผู้ชาย คือความสัมพันธ์ของพ่อกับลูก แต่ผมก็เคารพเขา และผมก็รู้ว่าเขาทำดีที่สุดแล้ว ท่ามกลางข้อจำกัดต่างๆ นานาในวัยหนุ่มของเขา และในวัยเด็กของผม
ผมคิดว่า ความดุดันของเขาเป็นหลักฐานของความพยายามจะทำให้ทุกอย่างออกมาดีในตอนท้าย
เหตุนี้ ผมจึงไม่เคยอิจฉาที่คนอื่นมีพ่อใจดีเลย
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in