เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Vantage PointTeepagorn W.
On Satire
  • มีอะไรสนุกๆ (มั้ง) มาให้ทำกันครับ

    คือคุยกับเพื่อนว่าทำไมคนไทยบนอินเทอร์เนตไม่ค่อยเก็ตการประชดประชันหรือเสียดสีเลย หรือบางส่วนเก็ต แต่ก็ไม่ชอบ ซึ่งนี่ก็เป็นการตั้งสมมติฐานไปเองแหละครับ เลยพยายามทำแบบทดสอบนี้ขึ้นมาเพื่อดูว่า "คนเก็ตกับการเสียดสีมากแค่ไหน"

    ลองทำขำๆ ก่อนอ่านต่อนะครับ






    ---
    ถ้าเป็นไปอย่างที่คาด ถ้าคุณรู้จักผม อาจจะคิดว่าส่วนใหญ่แล้วผมประชดใช่ไหมครับ (มีบางข้อเท่านั้นที่ไม่ใช่) แต่ถ้าลองคิดว่าเป็นคนอื่นโพสท์ คำตอบก็จะเปลี่ยนไปอีกแบบ แต่ถ้าคุณไม่รู้ว่าใครโพสท์ ไม่รู้จักมาก่อน โอกาสที่คุณจะตอบว่า "ไม่รู้" ก็น่าจะสูงกว่า

    ผมคิดว่าการประชดประชันนั้นมีส่วนประกอบสำคัญอยู่หลายอย่าง ดูเฉพาะคำพูดนั้นแทบตัดสินไม่ได้เลย ว่าคนนี้พูดประชดประชันอยู่หรือไม่ คือการที่เราจะรู้ว่าไอ้นี่มันประชดอยู่หรือเปล่าเนี่ย ผมว่าเราต้องรู้หลายๆ ข้อต่อไปนี้ (อาจไม่ครบทุกข้อ แต่ต้องรู้เยอะแหละ กว่าจะเก็ตว่าประชดหรือไม่น่ะ)

    1) รู้ว่าไอ้นี่มันคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้
    2) รู้ว่าเราคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้
    3) รู้ว่าสังคมส่วนใหญ่คิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ (ในกรณีที่ไม่รู้ข้อ 1)
    4) รู้ว่าไอ้นี่มันรู้ว่าเราคิดยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้
    5) รู้ว่าเรื่องนี้จริงๆ แล้วเป็นยังไง (ซึ่งอาจไม่มีคำตอบที่คงตัว)
    6) ดูจากคำพูด ถ้ามีการใช้คำขยายแบบเวอร์เกินจริง ก็อาจประชด
    7) บริบทอื่นๆ เช่น สถานที่พูด ท่าทางประกอบการเล่า ฯลฯ

    ผมรู้สึกว่าการจะรู้ว่าประชดประชัน เสียดสีหรือไม่นั้น "ผู้พูด" เป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าสมมติตัดผู้พูดออกจากสมการ เป็นคำพูดลอยๆ เราก็แทบจะไม่รู้เลยว่าคำพูดนี้ประชดอยู่หรือไม่ นอกเสียจากว่ามีการขับเน้นให้เวอร์วังอลังการมากๆ ก็จะพอจับทางได้ว่าอ๋อกำลังประชด แต่ถ้าเป็นการประชดแบบที่ต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจร่วม แบบเนียนๆ หรือกระทั่งการประชดว่าประชด (ในบางข้อ) ละก็ การตัดผู้พูดออกจากคำที่พูด ออกจากบริบทนั้นอันตรายมาก เพราะอาจทำให้คนอื่นๆ คิดว่าคำพูดนั้นเป็นการแสดงออกด้วยความจริงใจ

    นี่จึงทำให้เพจอย่างมิตรสหายค่อนข้างใช้ไม่ได้กับประเด็นแบบนี้ นั่นคืออ่านแล้วจะรู้ถึงความหมายที่แท้จริงได้ ก็ต้องเป็นโควตที่ตรงไปตรงมา หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นโควตที่ประชดแบบ 'ไม่รู้ก็บ้าแล้ว' เท่านั้น
    ผมเลยคิดว่าเครื่องมือการสื่อสารแบบประชดนั้นค่อนข้างใช้ลำบากขึ้นทุกทีๆ เพราะเราไม่รู้เลยว่าคนรับสารจะรู้แบบเดียวกับเราไหม แต่ไอ้ความลำบากนี่แหละที่ทำให้มันมีสารซ่อนอยู่ได้หลายชั้น ทำให้คนรับต้องค่อยๆ แกะดูว่าสุดท้ายแล้วมึง (คนเขียน) จะพูดอะไรกันแน่ ซึ่ง 'การค่อยๆ แกะดู' นี่แหละที่อาจเป็นสิ่งที่หายากหน่อยในวงกว้างของผู้ใช้อินเทอร์เนต (ไหม) แต่ถ้าแกะได้ แกะออก แกะตรงกับที่คนรับสารต้องการสื่อ (หรือกระทั่งแกะได้มากกว่านั้น) ก็จะเป็นเรื่องที่สนุกมากเลย

    ผมขออ้างคำพูดส่วนหนึ่งจากสรุปหนังสือของ McClennen, S., Maisel, R. เรื่อง Is Satire Saving Our Nations มานะครับ:

    Many citizens do not “get” satire, or its larger purpose, and criticize it for being, at best, entertainment, and, at worst, mockery and ridicule, according to the researchers. The goal of good satire is not mockery, but to generate debate and conversation about subjects.

    คนส่วนมากไม่เก็ตกับมุกเสียดสี หรือไม่เก็ตกับจุดประสงค์ใหญ่ของมัน และบอกว่ามันเป็นแค่ความบันเทิง ความตลกขบขันเท่านั้น นี่คือการวิจารณ์​ "อย่างดีที่สุด" นะครับ แต่ถ้าจะด่ามุกเสียดสีละก็ คนจะบอกว่า มันเป็นการล้อเลียนและทำให้คนอื่นอับอาย ซึ่งจริงๆ แล้ว เป้าหมายของมุกตลกเสียดสี ไม่ใช่การล้อเลียน แต่เป็นการทำให้เกิดการโต้เถียง และทำให้เกิดบทสนทนาในสังคม

    http://www.palgrave.com/gp/book/9781137427977

    คิดยังไงกันบ้างครับ :-D
    (เดี๋ยวน่าจะเอาไปเขียนคอลัมน์ต่อ)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in