ปีนี้ฉันเป็นนักศึกษาปีสี่แล้ว และกำลังจะเรียนจบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า (เวลาเห็นเด็กปีหนึ่งหน้าตาเอ๊าะๆแล้วก็จะรู้สึกตัวเองแก่กะทันหัน...ไม่...ถึงตัวจะแก่แต่หัวใจยังวัยใสอยู่นะจ๊ะ อิว์ อิว์) ฉันมีแผนการหลายอย่างที่อยากจะทำหลังจากเรียนจบ หนึ่งในนั้นก็คือการได้ไปเที่ยวที่เมืองลาว...เมืองแห่งดอกจำปาอันเปี่ยมไปด้วยมนต์ขลังแห่งธรรมชาติ ประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรม
ทำไมต้องเป็นเมืองลาว?
นั่นเป็นคำถามที่ฉันเจออยู่บ่อยครั้งเมื่อบอกกับเพื่อนๆว่าอยากไปเที่ยวเมืองลาว ทำไมไม่ไปญี่ปุ่น เกาหลี อะไรเทือกนั้นล่ะ? เอาตรงๆเลยนะ...เหตุผลหลักๆมันก็คือ...เงินไม่มี...ฮ่าๆ ล้อเล่น ไม่ใช่ (แต่ก็แอบจริงอยู่หน่อยๆ...)
โอเค...เอาใหม่ๆ คราวนี้จริงจัง...
พูดถึงเมืองลาว บางคนฟังแล้วก็ย่นหน้าขมวดคิ้ว...ที่ลาวมันมีอะไรให้เที่ยวบ้างหว่า? ลาวเนี่ยนะ? มีแต่ป่าแต่ดง ฟังดูมันไม่เอเลเก้นท์เอาซะเลย...
ม่ะ...จะสาธยายให้อ่านว่าลาวมันมีอะไรน่าเที่ยว...
ประเทศลาว หรือชื่อดั้งเดิมคือ
อาณาจักรล้านช้าง เป็นบ้านพี่เมืองน้องกับไทยมานาน ถ้าลองไปอ่านประวัติศาสตร์จะรู้ว่าเมื่อก่อนเมืองลาวเคยเป็นเมืองขึ้นของไทยมาก่อน ก่อนจะกลายเป็นของฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2436 ลาวเป็นเมืองขึ้นของฝรั่งเศสจนถึงช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อเวียดมินห์ปลดปล่อยเวียดนามได้ จึงเป็นการสั่นคลอนอำนาจฝรั่งเศสจนยอมให้ลาวประกาศเอกราชบางส่วนในปี พ.ศ. 2492 และได้เอกราชสมบูรณ์ในปี พ.ศ. 2496 (ขอขอบคุณข้อมูลจาก
วิกิพีเดีย ใครอยากรู้เพิ่มเติมเข้าไปอ่านกันเองนะจ๊ะ ให้เค้าพิมพ์หมดเดี๋ยวจะลากยาวไปถึงสามหน้า ฮ่าๆ)
ถ้าจะเปรียบเมืองนี้เป็นผู้หญิงสักคนล่ะก็ เราว่านางก็คงเป็นสาวสวยขี้อายที่เก็บตัวเงียบ ไม่ค่อยมีคนรู้ว่าเมืองนี้มีสถานที่สวยๆน่าเที่ยวมากมายขนาดไหน และเพราะว่าไม่ค่อยมีคนรู้นี่แหละ ก็เลยทำให้เมืองนี้ยังไม่ดูเป็นเมืองการค้ามากนัก ธรรมชาติของที่นี่ยังงดงามบริสุทธิ์ดั่งสาวพรหมจรรย์ บ้านเมืองที่อวลด้วยกลิ่นอายอันน่าหลงใหลของประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ แวดล้อมด้วยวิถีชีวิตแสนเรียบง่าย มีประเพณีและวัฒนธรรมที่น่าสนใจ สมแล้วกับที่คนเขาตั้งฉายาให้เธอว่าเป็น "Paradise Lost" หรือ สวรรค์ที่สาปสูญ นั่นเอง
ไงล่ะ...นั่นแค่ตัวอย่างเพียงเล็กๆน้อยๆนะ (เราใส่ลิ้งค์อ้างอิงไว้ใต้รูปแล้วนะ ถ้าใครอยากเข้าไปเสพรูปเพิ่มเติมก็คลิกเข้าไปได้เลยจ้า) เรานี่นั่งเปิดดูรูปไปนั่งดีดดิ้นอยู่หน้าคอมไป ขนาดสัมผัสจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ยังสวยจนใจสั่นขนาดนี้ ถ้าหากได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองจริงๆ จะมีความสุขขนาดไหนนะ?
นอกจากสรรพคุณที่สาธยายมาข้างต้นแล้ว อีกเหตุผลที่ทำให้ฉันอยากไปเมืองลาวก็เพราะว่าฉันมีความหลังฝังใจกับเมืองนี้อยู่...เปล่า...ไม่ได้โดนทิ้ง หรือเคยไปพบรักอะไรที่นั่นแต่อย่างใด...คืองี้...บ้านเกิดฉันอยู่ที่อุบลราชธานี อยู่ที่นั่นตอนเด็กๆก่อนจะย้ายมาที่กรุงเทพ ยายของฉันเป็นคนลาว จำปาศักดิ์ ที่ย้ายมาตั้งรกรากอยู่ที่จังหวัดอุบลฯ ยายใหญ่ (พี่สาวของยาย) ของฉันยังอาศัยอยู่ที่ลาว ท่านทำหน้าที่เป็นหมอทำ หรือแม่โก๊ะ อยู่ที่นั่น
เดี๋ยว อย่าเพิ่งทำหน้างง อะไรของมันว้าาา หมอทำเอย แม่โก๊ะเอย ฮ่าๆ
ต้องทำความเข้าใจกันก่อนเนอะ ว่าคนลาวในสมัยก่อนเนี่ย เขาไม่นับถือศาสนาพุทธกัน สิ่งที่นับถือก็จะเป็นพวกผี เพราะฉะนั้น ในแต่ละหมู่บ้าน ชุมชน ก็จะมีหมอทำ หรือ แม่โก๊ะ ซึ่งเป็นเหมือนผู้นำจิตวิญญาณของหมู่บ้าน คล้ายๆว่าเป็นผู้สื่อสารกับผีอะไรเทือกนั้น หน้าที่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการทำพิธีต่างๆ ตั้งแต่เกิด แต่งงาน ยันตาย รวมไปถึงการทำนายทายทัก ให้คำปรึกษา คนที่รับหน้าที่นี้ก็จะได้รับการยอมรับนับถือจากชาวบ้านมากๆและด้วยเหตุนี้ ทำให้ครอบครัวของฉันมีคนรู้จักมากมายอยู่ในเมืองลาว รวมถึงเครือญาติของฉันบางคนก็อยู่ที่นั่นด้วย ฉันเคยได้ยินว่าครั้งหนึ่งเมื่อตอนที่ลุงของฉันยังเด็ก ท่านเคยไปหายายใหญ่ที่เมืองลาว พวกชาวบ้านที่นั่นต่างก็พากันตั้งขบวนต้อนรับราวกับเป็นราชวงศ์กันเลยทีเดียว
ครั้งสุดท้ายที่ฉันไปลาวนั่นเป็นเวลายาวนานมากแล้ว ทว่าภาพความธรรมชาติอันแสนตระการตาของที่นั่นยังติดตาตรึงใจฉันมิรู้หาย บางคราเมื่อฉันหลับตานึกถึง ฉันยังคงเห็นภาพของท้องฟ้ายามราตรีที่ดารดาษไปด้วยหมู่ดาวนับร้อยนับพันแข่งกันพราวประกายแสงระยิบระยับวับวาวแทนแสงของหลอดไฟนีออน มันรวมตัวส่องสว่างท่ามกลางผืนรัตติกาลสีดำมืด นั่นเป็นภาพที่ทำให้เด็กในเมืองที่เห็นดาวเพียงไม่กี่ดวงบนท้องฟ้าสีตุ่นๆอย่างฉันรู้สึกตื่นตาตื่นใจจนแทบจะลืมหายใจ...สายลมหนาวพัดพลิ้วปลิวผ่านใบหน้ายามค่ำคืน อวลกลิ่นหอมอ่อนของดอกลั่นทมหรือดอกจำปาในภาษาลาวคละเคล้าเข้ากับกลิ่นอันเยือกเย็นของค่ำคืน...
พิธีกรรมแก้บนที่ฉันได้เห็นในครั้งนั้น ยังฝังลึกอยู่ในห้วงความคิดของฉันไม่จางหาย น่าเสียดายตอนนั้นฉันยังเด็กเกินกว่าจะรับรู้ว่าใครเป็นใคร หรืออะไรเป็นอะไร ฉันจึงไม่สามารถจะจดจำรายละเอียดหรือเนื้อหาสาระของงานครั้งนั้นได้มากนัก ฉันจำได้เพียงแค่ว่า บ้านไม้โบราณหลังนั้นคลาคล่ำไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา ต่างคนต่างก็ขนเหล้าฝรั่งอย่างดี น้ำหอม บุหรี่ และเงินตรา ซึ่งว่ากันว่าเป็นของโปรดของผีแถนผีไท่ นำมาแก้บนต่อแม่โก๊ะ บนลานกว้างหน้าบ้าน มีแท่นยกพื้นตั้งวางอยู่ แท่นนั้นมีพรมสีแดงปูลาดอย่างดี มุงเป็นหลังคาด้วยใบมะพร้าว มีดอกลั่นทมตูมร้อยเป็นช่ออุบะประดับประดาโดยรอบ แม่โก๊ะหรือยายใหญ่ของฉันอยู่ในนั้นรวมกับผู้คนอีกจำนวนหนึ่ง สูบบุหรี่เป็นกำๆ พ่นควันฉุย โดยไม่สำลักเลยสักแอะ ลุกขึ้นร่ายรำอย่างชดช้อยท่ามกลางเสียงดนตรีปี่กลอง รินเหล้าฝรั่งเข้าปาก...ขวดแล้ว...ขวดเล่า...
ฉันไม่รู้หรอกว่าเรื่องราวลี้ลับอย่างภูติผีนั้นมีจริงหรือไม่ เมื่อครั้งนั้นฉันเด็กเกินกว่าจะหาข้อพิสูจน์ แต่ทว่ามนต์ขลังแห่งพิธีกรรมนั้นก็ทำให้ฉันตะลึงพรึงเพริด ไม่สามารถละสายตาจากภาพตรงหน้าได้เลยทีเดียว
ให้ตายเถอะ...ฉันอยากหวนกลับไปในสถานที่แห่งนั้นอีกครั้ง...ฉันอยากไปสัมผัสบรรยากาศแบบนั้นอีกครั้ง...
หลงมนต์จำปาศักดิ์
การปกครองของลาวจะไม่เหมือนของไทยนะ คือของไทยเราจะแบ่งออกเป็นจังหวัดๆใช่มะ แต่ของลาวเขาจะแบ่งเป็นแขวง บวกกับอีกหนึ่งมหานครหลวง นั่นคือนครหลวงเวียงจันทน์ และแต่ละแขวงเขาก็จะแบ่งแยกย่อยอีกเป็นเมือง เล็กลงจากเมืองก็เป็นบ้าน อือ...เขาแบ่งกันเป็นแบบนั้นแหละ เราอ่านตอนแรกเราก็งงเว่ย ฮะ? แขวง? เมือง? และแขวงกับเมืองอันไหนใหญ่กว่ากันวะ? ฮะ? เอ่า แขวงตูยังงงไม่พอ แม่งมีบ้านมาอีก อะไรว้าาาา ฮ่าๆ
ที่แตกต่างอีกอย่างคือ ไทยเราจะแบ่งออกเป็น ห้า ภูมิภาคใช่มะ เหนือ ใต้ กลาง ออก ตะวันออกเฉียงเหนือ แต่ลาวอ่ะ ด้วยความที่เขาประเทศเล็กกว่าไทยเราไง เขาก็เลยแบ่งออกเป็นแค่สามภูมิภาค นั่นก็คือ ลาวเหนือ (ตั้งแต่พงสาลีถึงไชยบุรี หลวงพระบางและเชียงขวาง), ลาวกลาง (เวียงจันทน์และบริคำไชย) และลาวใต้ (ตั้งแต่คำม่วนจนถึงจำปาศักดิ์) แต่ละภาคเขาก็จะมีจุดเด่นที่ต่างกันไป จริงๆที่คนไทยเราคุ้นๆกันเยอะก็น่าจะเป็นหลวงพระบางเนอะ? จากหนังเรื่อง สบายดีหลวงพระบาง ที่อนันดาเล่น ฮ่าๆ หรือไม่ก็จากนิยายเรื่อง รอยไหม (เรื่องนี้เราก็อ่าน เป็นอีกแรงบันดาลใจที่ทำให้อยากไปลาวเลยล่ะ) หลวงพระบางนี่อยู่ทางลาวเหนือ บรรยากาศของเขาก็จะคล้ายๆกับภาคเหนือเมืองไทยนั่นแหละ ทั้งวัด ทั้งสถาปัตยกรรม สาวๆผิวขาวๆ ตัวเล็กๆ ภาษาพูดก็ช้าๆเนิบๆ จริงๆก็น่าสนใจเหมือนกันนะ ฮ่าๆ แต่วันนี้เราจะไม่เขียนถึงตรงนั้น เราจะเขียนถึง...
จำปาศักดิ์
จำปาศักดิ์เป็นชื่อแขวงหนึ่งของภูมิภาคลาวทางใต้ ตัวแขวงตั้งอยู่ใต้สุดของประเทศลาวติดกับพรมแดนไทยและกัมพูชา มีเมืองหลักชื่อ เมืองปากเซ เนื่องด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ที่มีแม่น้ำโขงไหลผ่านกลางแขวงทำให้เกิดเป็นเกาะแก่งมากมายจนได้ชื่อว่า "มหานทีสี่พันดอน" เป็นเมืองที่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของอาณาจักรขอมโบราณที่ดูน่าค้นหา... เราอยากกลับไปที่นั่นอีกครั้ง อยากไปเก็บเกี่ยวเรื่องราว บรรยากาศ และวัฒนธรรมอันน่าสนใจที่นั่น
บางที...เราคงหลงมนต์เสน่ห์ลาวใต้เข้าเต็มเปาแล้วมั้ง...
น้ำตกคอนพระเพ็ง
หนึ่งในสถานที่ท็อปฮิตของแขวงจำปาศักดิ์ ที่ถ้าไปที่นั่นแล้วไม่ไป ถือว่าพลาด !!!
ความเก๋อย่างแรกของที่นี่คือไรรู้ป่ะ...คือชื่อเว่ย...คือตอนที่เรารู้ความหมายตอนแรกเรารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่โคตรโรแมนติกเลย “คอน” ในภาษาลาว หมายถึง “แก่ง หรือ เกาะ” ส่วนคำว่า "พะเพ็ง" หมายถึง พระจันทร์วันเพ็ญ รวมกันแล้วก็หมายถึง "เกาะที่งามดั่งพระจันทร์วันเพ็ญ" ซึ่งก็เข้ากันดีกับความสวยงามของที่แห่งนี้...สายน้ำสีขาวสาดเทฟะฟุ้งเป็นละอองฝอยราวกับรัศมีจันทร์ที่สาดส่องประกายตัดกับโขดหินสีเข้มและทิวไม้เขียวขจี ขนานไปกับผืนฟ้าสีคราม...
คอนพะเพ็งเป็นส่วนหนึ่งของแม่น้ำโขง ความงาม ความดุดันของสายน้ำอันเชี่ยวกรากที่คอนพะเพ็งเป็นที่เลื่องลือจนได้ชื่อว่าเป็น “ไนแองการ่าแห่งเอเชีย” เลยทีเดียว ว่ากันว่าในยุคที่ฝรั่งเศสเข้ามายึดครองลาว พวกเขามองว่าคอนพะเพ็งนั้นเป็นอุปสรรคในการขนส่งเลยคิดจะระเบิดหน้าผาทิ้ง (นี่ฟังละก็...โอ้หม่ายก้อด...เอ็งอาจหาญจะระเบิดผาทิ้งเลยเหรอวะ...) แต่โชคที่ที่พวกเขาทำไม่สำเร็จ พวกเรารุ่นหลังเลยยังหลงเหลือน้ำตกอันแสนสวยงามให้ได้ชื่นชมกันต่อไป
นอกจากความสวยงามตระการตาแล้ว ที่นี่ยังเป็นที่อาศัยของสัตว์น้ำหายากหลายชนิด เช่น ปลาค้อคอนพะเพ็ง ที่เป็นปลาค้อเฉพาะถิ่นที่พบได้ในแถบนี้เท่านั้น และเป็นแหล่งอาศัยของโลมาหัวบาตร หรือ "ปลาข่า" ในภาษาลาว โลมาเพียงไม่กี่ชนิดที่อาศัยอยู่ในน้ำจืดได้ของโลก รวมถึงเป็นแหล่งกำเนิดของปลาบึก ซึ่งเป็นปลาหนังน้ำจืดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย
This is a ปลาข่า หรือปลาโลมาหัวบาตร แอววว น่าร้ากกก ดูหน้ามันดิ ยิ้มด้วยยย
ปลาบึก...เราเห็นอีปลานี่แล้วกลัว...
และอีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ "ต้นมณีโคตร" หรือ "มะนีโคด" ในภาษาลาว นี่คือความเก๋อีกอย่างของที่นี่ ต้นมณีโคตรเป็นต้นไม้โบราณอายุนับพันปีที่ขึ้นอยู่บนแก่งหินกลางแม่น้ำโขง ตามตำนานเรียกว่าเป็น “ต้นชี้ตาย ปลายชี้เป็น” โดยหากเอาด้านหัวของกิ่งชี้ไปที่ใครคนนั้นก็จะตาย แต่หากใช้ด้านปลายของกิ่งชี้คนตายก็กลับฟื้นขึ้นมาได้ (ทำไมเค้าอ่านแล้วเผลอจินตนาการไปว่า...ถ้าเอามาทำคฑาเวทน่าจะดีเนอะ...) ต้นไม้นี้แตกกิ่งก้านสาขาเป็นสามแฉกใหญ่ๆ กิ่งหนึ่งหันไปฝั่งลาว ชาวลาวเชื่อว่าใครได้กินผลที่เกิดจากกิ่งนี้จะแก่ชราขึ้น (และจะกินไปทำไมฟะ...ใครจะอยากแก่ขึ้น..) กิ่งหนึ่งหันไปทางเขมร เชื่อว่าใครกินผลของกิ่งนี้จะกลายเป็นลิง (ชิบหายละ...กลายเป็นลิง...ใครเผลอไปกินอีกิ่งนี้นี่คือซวย...) และอีกกิ่งหนึ่งหันไปทางฝั่งไทย เชื่อว่าใครที่ได้กินผลจากกิ่งนี้ จะหนุ่มขึ้น เยาว์วัยขึ้น บ้างก็ว่าไม่ว่ากินจากกิ่งไหนก็จะมีกำลังวังชาเหนือมนุษย์ และบ้างก็เชื่อว่าปลายกิ่งทั้งสามที่ชี้ไปทางกัมพูชา ไทยและลาว หมายถึงว่าทั้งสามประเทศจะเจริญเป็นมรกตแห่งอินโดจีน
ตามที่อ่านมาเขาบอกว่าแกนกลางของต้นไม้นี้เห็นเป็น 3 สี คือสีนวลเหมือนไข่ไก่ สีม่วง และสีชมพู เป็นที่มาของชื่อมณีโคตร
ไงล่ะ...เก๋ป่ะล่ะ...
เราอ่านละว่ามันโคตรเก๋เลย...คือไม่ได้เชื่ออะไรงมงายหรอก แต่แค่คิดว่าเรื่องราวแบบนี้มันมีเสน่ห์ดี น่าเสียดายที่ปัจจุบันนี้ต้นไม้ต้นนี้ได้ตายไปแล้ว...น่าเสียดายเนอะ ก็อย่างว่าแหละ...มีเกิดก็มีดับ ไม่มีสิ่งไหนหลุดพ้นจากกฏเกณฑ์นี้ไปได้หรอก...
ส่วนรูปปลาเค้าหาต้นทางของรูปไม่เจอ เลยไม่รู้จะใส่ลิ้งเครดิตอันไหน ฮ่าๆ
วัดพู
ปราสาทหินเก่าแก่สีเข้มแอบซ่อนอยู่ภายใต้ม่านสีเขียวขจีของหมู่แมกไม้ มองแล้วให้บรรยากาศเข้มขลังลึกลับราวกับว่าถ้าเดินเข้าไปอาจจะเจอขุมทรัพย์โบราณที่ซ่อนอยู่ก็ได้...นั่นคือเสน่ห์ของวัดพูที่ฉันสัมผัสได้ในความทรงจำอันเลือนลางของตัวเอง...
โบราณสถานแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ราวๆพุทธศตวรรตที่ 12 เป็นมรดกโลกแห่งที่สองของประเทศลาว ลักษณะของปราสาทเป็นเทวสถานขอม คล้ายกับเขาพระวิหาร เป็นวิหารที่พวกพราหมณ์สร้างขึ้นเพื่อถวายแด่พระศิวะ (เห็นบอกว่ามีการฆ่าคนบูชายันด้วย...แล้วตอนเราไปเที่ยวงี้ เดินๆไปจะเจอผีมั้ยง่ะ....แอบกลัว ฮ่าๆ) ตั้งอยู่บนเนินภูควายหรือเนินเขาภู ห่างจากตัวแขวงจำปาศักดิ์ไปประมาณ 6 กิโลเมตร
เหตุผลที่ชื่อว่า วัดพู ก็เพราะว่าวัดนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางเนินเขามากมาย เมื่อมองไปด้านหลังปราสาทจะเห็นทิวเขาเขียวขจีอยู่ลิบๆ รูปร่างของเขาแห่งนี้มองดูคล้ายกับหน้าอกของผู้หญิงหรือคนกำลังเกล้ามวยผม จึงได้ชื่อว่า "เขานมสาว" หรือ "ภูเกล้า"
ครั้นเมื่อถึงศตวรรษที่ 13 เมื่อศาสนาพุทธเข้ามามีบทบาทในประเทศลาว โบราณสถานแห่งนี้จึงถูกเปลี่ยนจากที่ทำพิธีของศาสนาฮินดูมาเป็นศาสนาพุทธแทน โดยทุกปีจะมีการจัดงานประจำปีซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือนสามตามหรือเดือนกุมภาพันธ์นั่นเอง
งานบุญปราสาทหินวัดพูที่จัดขึ้นนั้นมีเวลาหกวัน โดยจุดเด่นของงานนี้จะอยู่ที่การแสดง “ตำนานปราสาทหินวัดพู” ซึ่งเนื้อหาของการแสดงก็จะเป็นการย้อนให้เราได้ดูความประวัติความเป็นมาอย่างไร และสร้างขึ้นมาด้วยวิธีไหนนั่นเอง...ยังนะ ยังไม่หมด ยังมีการแข่งเรือพาย ประกวดมิสจำปาสัก (ฟีลลิ่งเดียวกับนางนพมาศบ้านเราป่ะวะ...) และอื่นๆอีกมากมาย
ง่อววว อันนี้เค้ายังไม่เคยไปดูเหมือนกัน แต่จากที่อ่านๆในรีวิวแล้ว...โคตรน่าไปเลยว่ะคุณ
น้ำตกผาส้วม
ตอนได้ยินชื่อครั้งแรกเค้าก็ขมวดคิ้วเหมือนกันเว่ย ว่าทำไมต้องเป็นส้วมวะ ทั้งๆที่มันออกจะสวยขนาดนี้แท้ๆ แต่พอได้ยินความหมายที่แท้จริงๆของนางแล้วก็ถึงกับต้องทาบอกแล้วก็ร้อง ว้าววว เก๋ไปอี๊กกก
คืองี้ ในภาษาลาวเนี่ย ส้วม ไม่ได้แปลว่าห้องน้ำเหมือนไทยนะคะ แต่เขาแปลว่า ห้องหอของเจ้าสาว ไงล่ะ...พอรู้ความหมายแล้วน่ารักกะทันหันเลยเนอะ ฮ่าๆ แล้วพอดูลักษณะของน้ำตกแล้วก็ยิ่งคิดว่าสมแล้วที่ชื่อว่าห้องหอของเจ้าสาว ก็มันสวยซะขนาดนั้น สายน้ำสีขาวฟองฝอยมองแล้วเหมือนกับผ้าม่านพองฟูไม่มีผิด
ยัง ยังไม่พอนะน้ำตกนี้ยังมีจุดพีคอีกอย่าง...นั่นก็คือ...นางไม่ใช่น้ำตกที่เกิดจากฝีมือธรรมชาติ แต่เกิดจากฝีมือมนุษย์จ้ะ ซึ่งมนุษย์ที่ว่าคนนั้น ก็เป็นคนไทยซะด้วย ง่อววว
คนไทยคนนั้นชื่อ คุณวิมล กิจบำรุง เธอเป็นนักธุรกิจชาวไทยที่เข้ามาได้เข้ามาพัฒนาธุรกิจท่องเที่ยวใน ลาว และได้ใช้เวลาออกแบบกว่า 2 ปี ในการก่อสร้าง และได้รับอนุญาตให้เริ่มก่อสร้างได้ในปี พ.ศ. 2542 โดยใช้แรงงานท้องถิ่น
ยัง ยัง นี่ยังไม่สุดนะ พอเราเที่ยวน้ำตกจนหนำใจละช้ะ เกิดอยากเปลี่ยนบรรยากาศงี้ ที่นี่ก็มีวิถีชีวิตของชนเผ่าโบราณให้เราได้เยี่ยมชมกันจ้า เขามีเป็นพิพิธภัณฑ์ให้ดูด้วยนะ น่าสนใจเนอะ
เนี่ย น่ารักเนอะ เป็นกระท่อมๆ ดูน่าอยู่จัง
เขาอยู่กันอย่างเรียบง่ายจัง ผ้าก็น่ารักมาด้วย โอย ถ้ามีบุญได้ไปนะ จะซื้อเสื้อแบบนั้นมาใส่สักตัว ฮ่าๆ
หลี่ผี
หรืออีกชื่อหนึ่งว่า "ตามสัมพะมิตร" เกิดจากสายน้ำจากแม่น้ำโขงซัดสาดกระทบกับหินผาจนก่อเกิดเป็นเกาะแก่ง แผ่นหินสีน้ำตาลตัดกับละอองฟองฝอยของน้ำ ทิวแมกไม้ กับผืนฟ้าใสแจ๋ว ช่างเป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทว่า...แล้วทำไมที่ที่สวยงามอย่างนี้ถึงได้มีคำว่าผีล่ะ? มันมีที่มาของมันอยู่จ้ะ
ก่อนอื่น เราควรทำความรู้จักกับ
"หลี่" กันก่อน
หลี่เนี่ยเป็นเครื่องมือจับปลาของชาวลาว รูปร่างคล้ายๆลอบ คือเขาจะเอาเจ้าเครื่องมือที่ว่าเนี่ย ไปขวางทางน้ำ เวลาปลามาก็จะมาติดกับ อ่ะ พิมพ์อย่างเดียวอาจจะนึกภาพไม่ออก ต้องมีภาพประกอบ
เออ มันจะประมาณนี้ คืออีปลาเค้าก็จะว่ายดุ๊กๆมาตามน้ำ แล้วก็จะรวมกันตรงตาข่ายๆฟ้าๆนั่นน่ะ เห็นป่ะ
ละดูสภาพของน้ำตกอันนี้ดิ มันคล้ายๆหลี่เลยใช่ป่ะล่ะ คือมีซอกเล็กซอกน้อย แล้วคือสมัยก่อนน่ะ ชอบมีศพไหลมากับแม่น้ำแล้วก็มีติดอยู่ตรงแถวๆนี้นี่แหละ ชาวบ้านเขาก็เลยเรียกตรงนี้ว่าหลี่ผี คือหลี่ที่มีแต่ศพ...น่ากลัวเนอะ...
ก็น้า ถึงชื่อมันจะมีที่มาที่ค่อนข้าง...เหวอหน่อยๆ แต่ภาพความสวยงามของมันก็ยังดึงดูดให้เราไปที่นั่นอยู่ดี...ท้องฟ้าสีครามใสกับภูเขาแบบนั้นน่ะ...ถ้าได้ไปสัมผัสด้วยตัวเองจะดีแค่ไหนนะ?
รอวันเปิดหนังสือหน้าถัดไป
เฮ้อ ยิ่งดูรีวิว ยิ่งหาข้อมูลเกี่ยวกับลาว เราก็ยิ่งอยากไปขึ้นมาจับใจ แต่ช่วงนี้คงยังไปไม่ได้ ด้วยเหตุผลด้านการเงิน เวลา และอะไรหลายๆอย่าง...ตอนนี้เราไม่ต่างจากนกที่อยู่ในกรงเลย กรงที่ชื่อว่าภาระหน้าที่ เราก็ได้แต่หวังว่าสักวันเราจะได้โบยบินออกไปในโลกกว้างที่แสนน่าสนุกเหล่านั้น
ส่งท้ายกันด้วยคำคมหน่อยเนอะ
"The world is a book and those
who do not travel read only one page." – St. Augustine
โลกใบนี้เปรียบเหมือนหนังสือเล่มหนึ่ง และคนที่ไม่เคยเดินทางเลย
ก็เปรียบเหมือนคนที่อ่านหนังสือเพียงหน้าเดียว
อือ...เราหวังว่า...สักวันเราจะได้เปิดหนังสือหน้าถัดไป...
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in