เราเป็นคนหนึ่งที่ชอบดูหนัง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คลั่งไคล้เสพติดการดูหนังชนิดเข้าเส้นเลือด แต่ก็ชอบดูอยู่บ่อยๆ มีหนังหลายเรื่องที่ผ่านสายตา แต่มีไม่กี่เรื่องที่ติดตรึงในความทรงจำประหนึ่งดั่งรักแรกที่ไม่อาจลืมเลือน... (อย่าเพิ่ง อย่าเพิ่งเบะปากใส่เค้านะ...) หนึ่งในหลายเรื่องนั้นก็คือเรื่อง Little Forest นั่นเอง
หนังเรื่องนี้เป็นหนังนอกกระแสสัญชาติญี่ปุ่น โดยผู้กำกับชื่อ จูนิชิ โมริ และแสดงนำโดยสาวน้อยหน้าใจ ไอ ฮาชิโมโตะ (ดูแล้วรู้สึกก๊าวใจมาก นางเป็นผู้หญิงผิวขาวๆ แก้มแดงๆ ตอนนางกินนางดูมีความสุขกับรสชาติอาหารจริงๆ ทั้งๆที่ไม่ได้ทำหน้าเวอร์วังอะไร แต่เราสัมผัสได้เลยว่านางรู้สึกอร่อย โอ๊ย เป็นอะไรที่น่ารักมาก) ตัวหนังแบ่งออกเป็นสองภาค ภาคแรกคือ Summer & Autumn และภาคที่สองก็คือ Winter & Spring เนื้อเรื่องโดยรวมเกี่ยวกับวิถีชีวิตการทำเกษตรในแถบชนบทของประเทศญี่ปุ่น ดำเนินเรื่องแบบเรียบง่ายและสวยงามผ่านการทำอาหารและธรรมชาติรอบตัวในท้องไร่ท้องนา
Little Forest เคยเป็นการ์ตูนมาก่อน ผู้เขียนคือ อาจารย์ไดซุเกะ อิการาชิ เราลองไปอ่านดูแล้ว ภาพสวยดี ลายเส้นง่ายๆ พลิ้วๆ แต่ในส่วนของเนื้อเรื่องยังไม่ขอคอมเม้นต์ เพราะเรายังไม่ได้อ่านแบบจริงจัง แค่ไปเปิดผ่านๆดูเฉยๆ ฮ่าๆ เราจะเขียนแค่ในส่วนของหนังแล้วกันเนอะ
ภาพจากฉบับหนังสือการ์ตูน
จำได้ว่าเรารู้จักหนังเรื่องนี้จากเพจแนะนำหนังเพจหนึ่งในเฟสบุค ขอสารภาพตามตรงว่าสิ่งแรกที่ดึงดูดใจให้อยากไปดูก็คือบรรดาภาพอาหารอันตระการตาในเรื่อง...แค่ดูในตัวอย่างหนังก็น้ำลายไหลพรากๆแทบจะเลียจอคอมแล้ว...
พิมพ์บอกอย่างเดียวเดี๋ยวจะหาว่าโม้...ต้องมีหลักฐานด้วย...
อันนี้เป็นภาคแรก ก็คือภาค Summer & Autumn
ส่วนอันนี้ภาคที่สอง Winter & Spring
ก็นั่นแหละฮะท่านผู้ชม...หลังจากที่เราติดกับมนต์สะกดภาพของกินที่ยั่วยวนน้ำย่อยในกระเพาะแล้ว...เราเลยตั้งจิตมั่นหมายว่าจะต้องไปดูให้ได้ และเนื่องด้วยมันเป็นหนังนอกกระแสที่ไม่เข้าฉายในโรงใหญ่ๆในตอนนั้น เราเลยต้องถ่อสังขารไปดูถึงที่โรงหนังสกาล่าแถวๆสยาม...ก็คิดดูละกันความอยากดู...
และหลังจากไปดูแล้วก็ไม่ผิดหวังเลย เราเดินออกมาจากโรงหนังด้วยใจที่อิ่มเอมและเสียงท้องร้อง...ท้องร้องจริงๆนะคุณ...ภาพอาหารจากตัวอย่างหนังว่าทำร้ายแล้ว ไปดูจริงๆนี่แทบจะได้ยินเสียงท้องร้องของคนในโรงเป็นซาวด์ประกอบเลย...(ตอนนั้นหันไปสบตากัน...สื่อสารผ่านสายตาว่า "คุณก็หิวเหมือนกันสินะ...ไม่เป็นไรนะ เราเข้าใจ...")
ในภาคแรกนั่นก็คือ summer & Autumn ตัวหนังเริ่มต้นที่ฤดูร้อน ภาพวิวทิวทัศน์ของชนบทห่างไกลตึกใหญ่และแสงสีจากเมืองหลวง ห้อมล้อมด้วยกำแพงภูเขาสีเขียวเข้มจนออกเป็นสีคราม ละอองไอสีขาวของหมอกปกคลุมเหนือทิวสีเขียวนั้นราวกับผ้าคลุมหน้าของเจ้าสาว ท้องฟ้าสีเทาหม่น ไร่นาที่อัดแน่นไปด้วยต้นกล้าอ่อนของข้าวสีเขียวสด ภาพทิวทัศน์ในหนังมันสวยมากกก สวยมากกก สวยแบบ...ดูจบแล้วแทบจะเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าลาแล้วลาบ้านเก่านั่งรถไฟไปทำนาที่ชนบทกันเลยทีเดียว
นางเอกของเรื่องชื่ออิชิโกะ เธอหนีปัญหาที่เผชิญในเมืองหลวงกลับมาที่บ้านเกิด แม่ของเธอทอดทิ้งเธอให้อยู่คนเดียว หายไปจากบ้านเฉยๆ ไม่มีคำบอกลา ไม่มีจดหมายอะไรใดๆทั้งนั้น บรรยากาศในภาคฤดูร้อนนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นและมีชีวิตชีวาของป่าเขาท้องทุ่งในฤดูร้อน อิจิโกะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในบ้านไร่ของเธอ ปลูกผัก ทำอาหารเอง ห่างไกลจากร้านสะดวกซื้อและกระแสทุนนิยม (ขอบอกว่าบ้านไร่ของอิชิโกะน่ารักม้ากก เป็นบ้านไม้สไตล์ญี่ปุ่นหลังเล็กๆ ในบ้านตกแต่งแบบเรียบง่าย มีหนังสือ แล้วก็เต็มไปด้วยของกิน มีเตาผิงไฟในบ้านด้วยนะ งูยยย น่าร้ากก) คล้ายว่าเธอจะใช้สีเขียวจากป่าเขาและสีฟ้าจากท้องฟ้ากว้างในการเยียวยาบาดแผลของตัวเอง พอย่างเข้าฤดูใบไม้ร่วง ป่าเขาที่ล้อมรอบกายก็เริ่มแปรเปลี่ยนสีจากสีเขียวกลายเป็นสีแดงหลากเฉด นาข้าวสีเขียวสดแปรเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทองของรวงข้าวสุกเตรียมเก็บเกี่ยว อากาศเริ่มหนาวขึ้น ควันจากการการเผาถ่านคุกกรุ่นโชยชายคล้ายกับความรู้สึกโหยหาอดีตของอิชิโกะที่ยิ่งคุกกรุ่นลอยฟุ้งขึ้น ความทรงจำที่มีแม่อยู่ด้วยผุดพรายขึ้นมาทุกครั้งยามเมื่อเธอทำอาหารและทำสวน สีแดงจากใบไม้ตัดกับสีดำสนิทของถ่านและลำต้นทำให้บรรยากาศดูเหงาหงอย
ส่วนภาคที่สอง จะเป็นฤดูหนาวกับฤดูใบไม้ผลิ ขุนเขาเปลี่ยนอาภรณ์จากผ้าพลิ้วบางเบาหลากเฉดสีที่ทำจากดอกใบของพืชนานาชนิดในฤดูร้อนและใบไม้ร่วงกลายมาเป็นชุดสีขาวหนานุ่มของหิมะ ทุกๆอย่างกลายเป็นสีขาว ขาวโพลนไปหมด สื่อให้เห็นถึงความเคว้งคว้างอ้างว้างของอิจิโกะ (อันนี้เป็นการตีความส่วนตัว คนอื่นอาจจะตีความเป็นอย่างอื่นต่างกันเนอะ) เธอยืนเคว้งอยู่ท่ามกลางหิมะที่ปลิวว่อนหมุนวนและสีขาวเวิ้งว้างว่างเปล่าตั้งคำถามกับตัวเองว่าการที่หนีทุกอย่างในเมืองมาอยู่ที่ชนบทแห่งนี้มันดีจริงๆแล้วเหรอ ชีวิตในเมืองนั้นช่างคับแคบ ของทุกอย่างต้องซื้อด้วยเงิน ผักสดผลไม้เป็นสิ่งหากินไม่ค่อยได้ บางคนใช้วิตามินเป็นอาหารเสริมแทน เทียบไม่ได้กับชีวิตที่ชนบทนี่เลย ทว่าเธอกลับรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างติดค้างในใจ มันขมุกขมัว ไม่ชัดเจน
ตราบจนเมื่อฤดูหนาวผ่านพ้นไป ผืนป่าแห่งนี้สลัดผ้านวมหนาหนักออก กลับมาแต่งแต้มสีสันอ่อนหวานให้กับตัวเองอีกครั้ง เวิ้งหิมะเริ่มละลายเผยให้เห็นดินฉ่ำน้ำ น้ำในแม่น้ำไหลหลากพะพรู ยอดอ่อนของต้นไม้เริ่มแทงยอดรับอากาศอบอุ่น ดอกไม้สีขาวพราวสะพรั่งเต็มต้นตัดกับกิ่งก้านสีเข้ม ทุกๆอย่างกำลังเริมต้น และอิชิโกะก็ได้ตัดสินใจได้ว่าควรจะทำอย่างไรกับชีวิตของเธอดี
ตอนจบของเรื่องเป็นอะไรที่อบอุ่น ดูจบแล้วเหมือนความอบอุ่นนั้นมันยังหลงเหลือไออยู่ในใจเราอยู่เลย...แน่นอน...ความหิวก็เช่นกัน...ท้องงี้ร้องโครกคราก...
ตัวหนังถ่ายทอดวิถีชีวิตของชาวบ้านและการหุงหาอาหารออกมาได้อย่าง...สวยงามและน่ากินมากค่ะ ขอเตือนไว้ก่อนว่าคนไดเอ็ตนี่ไม่แนะนำให้ดูนะ ดูตอนดึกๆก็ไม่แนะนำเหมือนกัน ฮ่าๆ เราดูกี่รอบก็ยังหิวเหมือนเดิม...ตอนแรกก็คิดว่า หึ...ตูรู้แล้ว อีหนังเรื่องนี้ต้องทำตูหิวแน่ๆ นี่ก็เตรียมกินข้าวให้อิ่มท้องไว้เลย คิดว่าจะรอด...แต่ก็ไม่ค่ะ...ดูจบแล้วก็ไปหาของกินมาอีกรอบอยู่ดี...อ้วนม้ายย ถามใจตัวเองดูวววว //ล้องห้ายยย
ทั้งๆที่การดำเนินเรื่องก็เป็นไปอย่างเรียบเรื่อยและธรรมดา แต่ความสวยงามของทิวทัศน์มันทำให้หัวใจเราพองฟู สะกดเราให้อยู่กับหนังเรื่องนี้ไปจนจบเรื่องเลย และอีกอย่างที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลย...เพลงประกอบค่ะคุณคะ!!! แม่เจ้าาา ดูจบแล้วเราต้องไปหาฟังเลย แล้วก็แบบ...ฟังวนไปค่ะ!!! เพราะง่ะ เพราะทั้งเนื้อหาและทำนอง มันจะมีทั้งหมดสี่เพลงตามฤดู ร้อน ใบไม้ร่วง หนาว ใบไม้ผลิ โง่ยย ดีงามม
หลังจากดูจบ นอกจากความอบอุ่นและความอยากอาหารแล้ว มันก็มีอีกอย่างหนึ่งที่เราได้จากหนังเรื่องนี้ นั่นคือแนวคิดเกี่ยวกับอาชีพเกษตรกร และปรัชญาในการใช้ชีวิต
คนไทยส่วนใหญ่หลายคนมักจะยึดติดกับภาพของเกษตรกรที่ยากจนข้นแค้นและไร้การศึกษา กลายเป็นอาชีพที่ดูต่ำต้อยและไม่สวยหรูเหมือนการเป็นหมอ หรือเป็นนักธุรกิจใหญ่ๆ แต่เราว่าชาวไร่ชาวนาเป็นอาชีพที่มีเกียรติมากนะ เพราะพวกเค้าสามารถผลิตอาหารได้ด้วยตัวเอง พึ่งพาตนเอง เป็นนายตนเอง ของทุกอย่างที่จำเป็นในชีวิตแทบจะไม่ต้องซื้อเลย เพราะมันหาได้ในไร่นาของเค้าหมด พ่อเราเคยบอกว่า "อาหารเนี่ยเป็นสิ่งสำคัญ คนเราไม่สามารถกินคอมพิวเตอร์ได้นะ" ซึ่งเราว่ามันก็จริงของพ่อเค้านะ จริงๆแล้วการดำรงชีวิตของมนุษย์ ไม่ใช่กระเป๋าแบรนด์เนม ไม่ใช่โทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุด แต่ทว่าสิ่งสำคัญก็คือ อาหาร น้ำ อากาศ ต่างหาก แล้วคิดดูสิ พวกที่เค้าได้อยู่กับอากาศบริสุทธิ์ปราศจากควันรถ น้ำสะอาดใสเต็มไปด้วยแร่ธาตุจากลำธาร อาหารสดใหม่จากดิน มันเป็นอะไรที่วิเศษนะ
และจากที่เห็นในหนังทำให้เรามีความรู้สึกว่า การอยู่ชนบท เป็นชาวนาไม่จำเป็นต้องอยู่กับควาย ร้องฮุย ฮุยๆๆ ทำตัวโลว์เทค ไม่มีการศึกษา เสมอไป ทำไมจะต้องเป็นอย่างนั้นล่ะ? ทำไมชาวนาจะต้องเป็นคนไม่มีการศึกษาล่ะ? พอเพียงไม่ได้หมายความว่าจะต้องล้าหลังนี่เนอะ เทคโนโลยีมีก็เอามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดแต่ไม่ตกเป็นทาสของมันจนสูญเสียความเป็นตัวเอง
ส่วนเรื่องข้อคิดในการใช้ชีวิต ในหนังเรื่องนี้สอดแทรกข้อคิดดีๆเยอะแยะไปหมด มันเป็นการบอกเล่าอย่างเรียบง่ายผ่านการใช้ชีวิตประจำวันในท้องไร่ท้องนา ทว่า หลายๆประโยคในนั้นมันก็จุดประกายอะไรในใจเรามากมาย
ที่เราชอบที่สุดในเรื่องนี้คือประโยคที่แม่ของอิชิโกะเขียนมาทางจดหมาย
"เวลาที่แม่เจอปัญหาอะไร แล้วมองย้อนไปว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง ก็คิดว่าตัวเองนั้นย่ำอยู่กับที่เดิมๆ รู้สึกเหมือนตัวเองเดินเป็นวงกลม กลับมาจุดเดิมที่เริ่มเดินอีกครั้ง พอรู้ตัวว่ากลับมาที่เดิมก็รู้สึกท้อ แต่ว่ามันก็เป็นประสบการณ์ชีวิต...ไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว คงไม่มีทางเป็นที่เดิมที่เริ่มแน่ๆใช่มั้ย? แม่เลยคิดว่าไม่ใช่ 'วงกลม' แต่เป็น 'เกลียว' ถึงจะดูเหมือนเดินอยู่ในที่เดิมๆวนไปมา แต่จะต้องเป็นการวนที่ไม่ขึ้นก็ลงไปทีละนิด ถ้างั้นมันก็ไม่แย่อะไรนักนะ"
เราเองก็เคยมีสถานการณ์ที่เป็นเหมือนอย่างที่แม่อิชิโกะบอกอยู่หลายครั้ง เวลาที่เราผิดพลาด ล้มเหลว เราก็มักจะคิดโทษตัวเองว่า เหนื่อยหน่าย ท้อแท้ แต่พอลองคิดดูดีๆ...มันก็ไม่ได้แย่ซะทั้งหมดหรอกน่า อย่างน้อยๆความผิดพลาดที่กำลังเผชิญก็เป็นสัญญาณว่าตอนนี้เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ ความเจ็บปวดที่เรากำลังเผชิญก็เป็นสิ่งที่บอกให้รู้ว่าเรายังมีหัวใจ..
เพราะงั้น...ไม่ว่าจะยังไง ก็ต้องก้าวเดินต่อไปเนอะ วนเวียนเปลี่ยนผ่านฤดูกาลร้อยพัน จากหนาวสู่ร้อน จากมืดสู่สว่าง เดินทางต่อไปจนกว่าจะค้นพบคำตอบที่ต้องการ...
เอ้า...ว่าแล้วก็ไปดูหนังอีกรอบเพื่อเพิ่มพลังชีวิตให้ตัวเองอีกรอบดีกว่า อิว์ อิว์
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in