一 ช่วงเวลาหนึ่ง ณ ขณะจิตที่ว่างเปล่า 一
เรากำลังนั่งจมปลักอยู่กับความทุกข์ก่อนการจากลาในวันก่อนการทำงานวันสุดท้ายในออฟฟิศเก่า
ออฟฟิศที่เลือกเองว่าจะลาออก
ที่เลือกเองว่าทำงานมาครบหนึ่งปี ถึงจุดมุ่งหมายที่วางไว้แล้ว ก็ไม่อยากอยู่ต่อ ไม่มีอะไรให้ต้องเสียใจแล้ว
วันพรุ่งนี้ก็จะเจอพี่ ๆ ที่ออฟฟิศเป็นครั้งสุดท้าย ในฐานะที่เป็น First Jobber ก็มีความรู้สึกหลากหลายกับออฟฟิศนี้ อาจเป็นเพราะเจอเรื่องไม่ถูกใจหลายอย่าง แม้จะไม่ได้จงเกลียดจงชังใคร แต่ก็คิดมาตลอดว่าออกสักทีเถอะ เลยคิดว่าอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้แล้ว ทรมานกับมันอยู่ทุกวัน กว่าจะตัดสินใจลาออกได้จริง ๆ ก็ลากยาวไปหนึ่งปีกับอีกสองเดือน
เอาจริง ๆ ก็เครียด เพราะยังไม่มีงานใหม่ทำเลย แต่คิดว่าลาออกมายังดีกว่าทนอยู่ต่อ ไปทำงานแต่ตัว ไม่มีชีวิตจิตใจ สมองไม่สามารถสร้างสรรค์อะไรใหม่ ๆ ได้เลย ยิ่งคิดก็ยิ่งท้อ พอรู้ว่าได้บรรลุจุดประสงค์ที่ได้อยู่ที่นี่แล้วเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา คราวนี้ก็ไม่มีอะไรต้องสานต่อกับที่นี่แล้ว ขาดแค่เพียงว่าจะมีงานใหม่ทำเมื่อไหร่ก็เท่านั้นเอง
จากที่รู้สึกดีใจว่าใกล้ Last Day เข้าไปทีละวันทีละวัน แต่พอถึงคืนก่อน Last Day (คืนนี้) พอกลับบ้านมาพบเจอกับความว่างเปล่าก็อดที่จะรู้สึกอะไรไม่ได้
ที่เคยคิดว่าพี่ ๆ ในออฟฟิศก็เพื่อนร่วมงานเนี่ยแหละ ไม่ได้สนิทกันไปมากกว่านั้น ไม่เคยไปเที่ยวด้วยกัน ไม่เคยนัดกินข้าวกันนอกรอบจากมื้อกลางวัน เต็มที่ก็แซวสตอรี่ไอจีกันนิดหน่อย หรือบางคนไม่ได้ฟอลกลับมาด้วยซ้ำ
เหมือนเพื่อนในห้องตอนมัธยมที่ไม่สนิท คุยเล่นกันขำ ๆ ไปแต่ละวัน พอเรียนจบก็ไม่ได้คุยกันอีก พวกพี่ที่ออฟฟิศก็คงเป็นอารมณ์นั้นแหละ
แต่พอมาคืนนี้ ช่วงเวลาก้ำกึ่งที่จะพบกับการจากลาครั้งใหม่ ทำไมความรู้สึกหนักหน่วงกลับแพร่เข้ามาในใจ จะว่าเป็นเพราะดูหนังที่ให้ความรู้สึกหน่วง ๆ ตอนกินสปาเก็ตตี้มื้อเย็นสองกล่องใหญ่ก็คงไม่น่าใช่ เพราะรู้สึกตั้งแต่ก่อนดูแล้ว
ปรากฏว่ากินสปาเก็ตตี้เสร็จ ดูหนังจบก็นั่งหน่วง ๆ ซึม ๆ ต่อไปอีกเป็นชั่วโมง อยากจะร้องไห้ใจแทบขาดก็ทำไม่ได้ เพราะในหัวมันช่างว่างเปล่าเหลือเกิน ไม่รู้เลยว่าตัวเองรู้สึกอะไรอยู่ นอกจากแค่ว่าอยากร้องไห้เท่านั้น แต่ก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี
กว่าจะดึงตัวเองไปอาบน้ำได้ก็ห้าทุ่มกว่าแล้ว เดี๋ยวก็จะพรุ่งนี้แล้วจริง ๆ สินะ
เพลงเอเชียนป๊อปในเพลย์ลิสต์โปรดถูกเปิดไว้ก่อนเข้าไปอาบน้ำ เสียงเพลงเพราะ ๆ อาบน้ำเย็น ๆ ให้สบายตัวก็พอช่วยผ่อนคลายความรู้สึกได้บ้าง รู้ตัวอีกทีก็ร้องเพลงตามไปอย่างเพลิดเพลิน อ้าปากสูดลมหายใจเข้าเตรียมเปล่งเสียงร้องยืดยาว
~เฮือกกกก… แค่ก ๆ ๆ ๆ
พี่ฟาโรสบอกว่าเรื่องบางเรื่องจะเกิดกับคนบางคนเท่านั้น
เรื่องอย่างแมลงส้วมบินเข้าคอตอนร้องเพลงในห้องน้ำก็คงเกิดแค่กับกูเหมือนกัน…
สรุปว่าสปาเก็ตตี้จากเมื่อตอนหัวค่ำก็ต้องเอาออกมาครึ่งกล่องลงชักโครกไปพร้อมกับแมลงส้วม น้ำตาหยดแหมะ ๆ ออกมาสองสามเม็ดสมใจอยาก
ตอนที่ควรร้อง ไม่ร้อง…
ร้องไห้หรอ?
ร้องเพลงเนี่ยแหละ แอ่แฮร่!
หรือนี่คือเหตุผลที่คนเราห้ามร้องเพลงในห้องน้ำ และควรล้างห้องน้ำเป็นประจำทุกสัปดาห์วะ?
อิ้ว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in