เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Short StoriesHibernation
Songwriter (Part3 — Kodaline)
  •  “คุณกำลังหาอะไรอยู่หรือเปล่าครับ”

     

    เธอหันตัวกลับไปอย่างรวดเร็วด้วยความตกใจจนคอกีตาร์ที่ถือไว้เกือบชนหน้าชายปริศนา เขาดันมันออกเบาๆ ก่อนเดินถอยหลัง พร้อมยกมือสองข้างขึ้นเหมือนคนร้ายที่โดนตำรวจจับได้ยังไงยังงั้น

     

    “โว้วๆ ใจเย็น พูดกันดีๆ ก็ได้ ไม่เห็นต้องใช้กำลังกันเลยนี่ครับ” เขาพูดหยอกล้อตอนเห็นสีหน้าตกใจของเธอก่อนยิ้มออกมาบางๆ

     

    “คุณทำหน้าเหมือนผมเป็นผีเลย รู้ตัวไหมเนี่ย” เสียงหัวเราะในลำคอดังขึ้นเรื่อยๆ ชายหนุ่มในเสื้อยืดคอกลมสีขาวพอดีตัวสวมทับกับกางเกงสแล็คสีดำ ผมสีน้ำตาลอ่อนยาวระต้นคอถูกเสยไปด้านหลังระหว่างเดินล้มตัวไปนั่งที่โซฟาสีครีม รองเท้าบูตหนังหุ้มข้อ ยิ่งบ่งบอกถึงเซนส์การแต่งตัวได้เป็นอย่างดี

     

    “ฉัน...ไม่คิดว่าจะมีใครอยู่ในห้องนี้”

    “ผมแค่กลับมาเอาสมุดโน๊ตที่ลืมไว้นะ.... เดียวผมจะกลับแล้วละ คุณใช้เวลาที่นี่ได้ตามสบาย”

    เขาชูสมุดขึ้นก่อนโน้มตัวลุกขึ้น ทำท่าจะเดินออกจากสตูดิโอหลังพูดประโยคนั้นจบ ดูก็รู้ว่าเขาเพิ่งเข้าสตูดิโอได้ไม่กี่ชั่วโมงนี้เอง แล็ปท็อปยังคงเสียบที่ชาร์ตไว้ กับแก้วอเมริกาโน่ที่ถือค้างอยู่ในมือนั่น ราวกับอ่านใจกันได้ว่าเธอกำลังรู้สึกอึดอัดในสถานการณ์ตรงหน้า ความรู้สึกนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนักเวลาเธออยู่ตามลำพัง เพียงแต่การใช้ชีวิตที่ยืนด้วยตัวเองมาตลอดปีกว่า ทำให้เธอเคยชินกับการที่ต้องทำอะไรคนเดียว กินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว ทำงานคนเดียว จากแค่ความเคยชินก็กลายเป็นความสบายใจ การใช้ชีวิตคนเดียวไม่ได้ทำให้รู้สึกแปลกแยกไปจากคนอื่น มันทำให้เธอมีเวลาอยู่กับตัวเองมากขึ้นและได้ทบทวนสิ่งต่างๆ หลังจากวันที่เหนื่อยล้า


    ถ้าถามถึงคนที่เธอใช้เวลาร่วมใน 'สังคม' ด้วยมากที่สุด เธอแทบไม่ต้องเสียเวลาคิดเลยด้วยซ้ำ ถ้าไม่นับพนักงานร้านคาเฟ่หน้าหอที่เธอซื้อแซนด์วิชตอนเช้าเป็นประจำ ก็คงเป็นเพื่อนสนิทในคลาสดนตรีของเธอ คนอื่นมักบอกว่าเธอเป็นคนเก็บตัว บ้างก็โลกส่วนตัวสูง แต่จริงๆ แล้วความคิดในหัวเธอมันมากเกินไปต่างหาก มันร้องเสียงดัง ตะโกนแย่งพูดกับเสียงภายนอก การพูดคุยหรือทำงานกลุ่มกับคนจำนวนมากเลยทำให้เธอเหมือนสูญเสียพลังที่รักษามาทั้งวัน

     

    แต่มีบางอย่างในสถานการณ์ตอนนี้ ในร้านเครื่องดนตรี สถานที่ที่เต็มไปด้วยสิ่งที่เธอสนใจ และกระหายที่จะเรียนรู้มันให้มากขึ้น บรรยากาศกับบทสนทนาของพนักงานก่อนหน้านี้ มันทำให้เธอรู้สึกสบายใจ จนอยากทำความรู้จักกับสิ่งรอบตัวให้มากขึ้นกว่านี้ บางทีการที่เธอได้คุยกับคนที่มีความชอบเดียวกันอาจจะทำให้เธอหยุดพักจากเสียงความคิดในหัวไปได้บ้าง


    “จริงๆคุณอยู่ต่อก็ได้นะ ฉันแค่จะนั่งซ้อมกีตาร์เงียบๆ เราแชร์สเปซกันได้นี่...ใช่มั้ยละ” เธอพยายามยิ้มอย่างเป็นมิตรที่สุด และหวังว่ามันจะไม่ได้ดูฝืนเกินไป


    มือที่จับลูกบิดประตูนิ่งค้างไปสักพักก่อนจะหันกลับมามองหน้าเธอ เขานิ่งไป

    นานเกินไปไหมนะ กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ คำถามร้อยพันในหัวถูกตั้งขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

     

    “ตามนั้นเลย ถ้าคุณโอเค” เขายิ้มออกมาบางๆ

     

    เราไม่ได้ถามชื่อกัน และเธอคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เธอต้องการที่สุดในตอนนี้ ผู้คนผ่านเข้ามาและจากไป นั่นคือธรรมชาติของชีวิตที่เราต่างเผชิญ ไม่ควรมีใครที่เธอควรคาดหวัง ไม่ควรมีใครที่ทำให้เธอรู้สึกพึ่งพาได้ ไม่ควรมีใครที่ทำให้เธอรู้สึกเหมือน บ้าน ในช่วงเวลานี้, ช่วงเวลาที่เธออยากจะหลีกหนีมันมากที่สุด

     

    “นั่นคีย์ C ใช่ไหม?” เขาเป็นคนทำลายความเงียบก่อนเป็นคนแรก เราเหมือนกำลังอยู่ในการแข่งขันว่าใครจะเป็นคนเปิดบทสนทนาก่อน ไม่ก็ใครที่สามารถมีความอดทนสูงเกินกว่าจะลุกเดินออกจากห้องเป็นคนแรก สำหรับเธอ ต่อให้อยากจะพูดเปิดประเด็นขนาดไหนก็ตาม แต่สถานการณ์ตรงหน้าก็ยังชวนน่ากระอักกระอ่วนใจอยู่ดี

    ในขณะที่เธอนั่งเกลากีตาร์ทีละสายเบาๆ เขานั่งก้มหน้าขีดเขียนบางอย่างในสมุดสีซีดนั่น และยามที่เธอนิ่วหน้าเวลาที่กดผิดสาย เขากลับขมวดคิ้วมุ่นทุกครั้งหลังเขียนบางอย่างเสร็จ ก่อนฉีกหน้ากระดาษนั้น ขยำมันทิ้งลงถังขยะอย่างไม่ไยดี

    เราต่างทำกิจกรรมของตัวเองกันไป เสียงกีตาร์แปร่งๆ กับเสียงขีดและฉีกทึ้งของกระดาษกลายเป็นเพลงบรรเลงเพลงเดียวในห้องนี้ ถ้าจอห์น เคจ[1] มีเพลงอย่าง ASLSP (As Slow AS Possible) บรรยากาศตอนนี้คงได้ชื่อว่า AQASP (As Quiet AS Possible) ละมั้ง แต่น่าแปลกที่ถึงแม้ความเงียบจะแทรกแซงในทุกอณู ทั้งๆที่ก้มหน้าและง่วนอยู่กับหน้ากระดาษแท้ๆ เขากลับฟังออกว่าเป็นคีย์อะไร

     

    “อ้อ ใช่ แต่ยังต้องซ้อมอีกมากเลยละ.... การเล่นบนแอปกีตาร์นั้นไร้ประโยชน์จริงๆ ” ประโยคสุดท้ายถูกพึมพำกับตัวเองเบาๆ ภาพของเพื่อนสนิทแทบจะทับซ้อนขึ้นมาในทันที พร้อมกับหน้าเนือยๆที่เจ้าตัวชอบทำ และประโยคติดปากอย่าง ‘I figure’ (ฉันว่าละ!)

     

    “เฮ้อ ห่วยชะมัด” เวลาควิซก็ใกล้เข้ามาทุกทีแต่แค่คอร์ดเบสิคพวกนี้ เธอยังไม่ไปถึงไหนเลย ถ้าสอบทฤษฎีเมื่อไหร่ เกรดเทอมนี้นะเหรอ คงไม่ต้องพูดถึงเลย

     

    “เฮ้ มันจะโอเค” เขาเงยหน้าจากสมุดและพูดออกมาเบาๆ น้ำเสียงอ่อนโยนที่ส่งมา ไม่ได้ต่างไปจากเสียงที่ใช้เวลาปลอบเด็กที่ทำอมยิ้มสีสดหล่นพื้นไปต่อหน้าต่อตา

     

    “ผมคิดว่าผมช่วยคุณได้นะ... ถ้าคุณอนุญาต? ”

    เธอไม่ได้มีทางเลือกมากนักในตอนนี้ และมันคงจะดีไม่น้อยถ้ามีคนช่วยสอนพื้นฐานให้ เธอพยักหน้าตอบรับ ก่อนเขาจะเลื่อนเก้าอี้เขยิบเข้ามานั่งใกล้ๆ แต่ยังคงเว้นระยะห่างไว้อยู่


    “ผมว่า ถ้าคุณใช้ปิ๊กมันน่าจะง่ายขึ้น” ปิ๊กกีตาร์ของ Jim Dunlop รุ่น Tortex สีแดงถูกยื่นให้เธอตรงหน้า มันค่อนข้างบางแต่ก็ไม่ได้จับยากจนเกินไป

    “ถ้าคุณเพิ่งเริ่มเล่น การใช้ปิ๊กแบบบางจะช่วยคุณตีคอร์ดได้ง่ายกว่า ไหนคุณลองไล่ทีละสายให้ผมที” เธอทำตามเขาอย่างว่าง่าย แต่เสียงที่ได้กลับแปลกแปร่งจนแทบเบ้หน้า

    “มันก็ยังฟังดูแย่อยู่ดี คุณไม่คิดว่างั้นเหรอ? ”

    “สายมันยังไม่ถูกตั้ง เพราะฉะนั้นเริ่มแรกเลย ‘นี่ไม่ใช่เพราะว่าคุณห่วย แน่ๆ แต่พอลน่าจะลืมตั้งสายให้คุณตั้งแต่แรก ทั้งๆ ที่รู้ว่าคุณเพิ่งเริ่มเล่น” เขาเอื้อมไปหยิบอะไรบางอย่างในลิ้นชักใกล้เปียโน ก่อนหนีบมันเข้ากับเฮดสต๊อก[2]ของกีตาร์ ยื่นมือมารับกีตาร์ตรงหน้าเธอแล้วค่อยๆ ตั้งสายทีละเส้นอย่างเบามือ เขาจับมันอย่างชำนาญและท่าทางก็ไม่ได้ดูเก้ๆ กังๆ เมื่อเทียบกับเธอ ไม่กี่นาทีสายก็ถูกตั้งในโน้ตที่ถูกต้องเรียบร้อยทั้งหกสาย

    เขาเงยหน้าก่อนยิ้มออกมาระหว่างเกลากีตาร์ไปเรื่อยๆ รอยยิ้มแบบนั้นอีกแล้ว ทั้งน้ำเสียง ทั้งรอยยิ้ม เขาทำให้เธอเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่ควรอยู่ในการดูแลของพวกผู้ใหญ่ขึ้นมาทันที

    อะไรบางอย่างที่แผ่ออกมาจากตัวเขาในตอนนี้ มันชัดเจนว่าเขาเป็นนักดนตรี ถ้าไม่ใช่มืออาชีพ ก็คงต้องเรียนทางด้านนี้โดยตรงแน่ๆ ทั้งวิธีการโซโล่ การไล่สเกลตามเฟลตกีตาร์ และการเปลี่ยนคอร์ดที่รวดเร็ว เขาไม่ใช่มือสมัครเล่นอย่างเธอแน่

     

    “ผมคิดว่าคุณจะได้มันในไม่ช้า จูนเนอร์จะทำให้สายของคุณไม่เพี้ยน และคุณจะเล่นมันง่ายขึ้นแน่ๆ ”

    “อื้ม ขอบคุณนะ” เธอรับกีตาร์มาถือไว้ในมือ

    “ผมถามได้ไหม ว่าคุณกำลังฝึกอะไรอยู่”

    “ฉันกำลังฝึกจับคอร์ดในคีย์ C น่ะ มันเป็นควิซที่จะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ แต่อย่างที่คุณเห็น มันค่อนข้างที่จะห่ว—”

    “คุณไม่ได้ห่วยสักนิด” เขารีบพูดดัก สายตาที่มองมาเข้มขึ้น ก่อนจะโคลงหัวไปมาเบาๆ


    “ผมไม่รู้ว่าคุณมองตัวเองยังไง แต่ผมคิดว่าคุณกำลังลดคุณค่าในตัวเองอยู่”


    ไม่มีคำพูดอะไรหลุดรอดออกจากริมฝีปากบางหลังจากนั้น เธอไม่สามารถหาคำตอบให้เขาได้ แต่ทั้งชีวิตที่พยายามดิ้นรน กระเสือกกระสน เพราะคำด่าทอสารพัดที่พ่นออกมาจากปากของคนในครอบครัว คำพูดที่เมื่อก่อนทำเธอดิ้นพร่าน ทุรนทุรายเพราะมัน จนตอนนี้เหลือแค่ความชินชา การอยากเอาชนะ แต่คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าคำพูดเหล่านั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวทุกครั้งที่เธอกำลังเริ่มทำอะไรสักอย่าง ความรู้สึก ไม่ดีพอ ตามหลอกหลอนเธอไม่เลิกสักที

    “คุณรู้ไหม บางครั้งผมอิจฉาพวกมือสมัครเล่นเหลือเกิน พวกเขาสัมผัสดนตรีด้วยจิตวิญญาณแห่งความปรารถนา ผมอิจฉามือที่สั่นเทาเวลาพวกเขาขึ้นบนสเตจ หรือทุกครั้งที่พวกเขาจับเครื่องดนตรี หัวใจที่เต้นเป็นจังหวะถี่ๆ ความตื่นเต้น ความประหม่าที่โหมเข้าใส่ ถึงจะไร้ประสบการณ์และเต็มไปด้วยความกลัว แต่ความรู้สึกพวกนั้นแหละที่ทำให้เรามีชีวิต”

     

    สายตาที่เฉื่อยชาขัดกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความโหยหา ราวกับทำบางสิ่งบางอย่างในตัวหล่นหายไป ทั้งเขาและเธอจมไปกับคำพูดเหล่านั้น เรานั่งกันนิ่งๆ ให้เวลากลืนกินและคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น

    บางทีความกลัวอาจจะไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป ในการเริ่มอะไรใหม่ๆ

    บางทีเราจะศรัทธามันมากขึ้นเพราะความกลัวก็เป็นได้


    “งั้นฉันควรจะทำยังไง ความรู้สึกเหล่านั้นที่คุณพูดถึง” อยากลองสัมผัสมันสักครั้ง ความตื่นเต้นจนตัวโยนพวกนั้น มันมีอยู่จริงๆ เหรอ ความสุขน่ะ มันมีอยู่จริงๆ หรือเปล่าในโลกนี้


    “สิ่งแรกเลย คุณต้องหลุดจากกรอบที่คุณและดนตรีกำลังสร้างอยู่” เธอมองเขาอย่างไม่เข้าใจนัก

    “สิ่งที่คุณทำในตอนนี้ คือการเดินตามทฤษฎีในห้องเรียน การวิ่งไปตามแบบแผนที่คุณคิดว่าเหมาะสม เพื่อให้ได้เกรดที่ดี แต่มันทำให้ดนตรีไร้จิตวิญญาณ และตัวคุณก็ไม่ได้รู้สึกไปกับมันจริงๆ ” เขาทำหน้าเหมือนคิดอะไรสักอย่างได้ ก่อนหยิบหูฟังขึ้นมา

     

    “คุณจะว่าอะไรไหม ถ้าผมขอฟังเพลลิสต์ของคุณ”


    เพลลิสต์เหรอ นี่คงเป็นการทำความรู้จักกันครั้งแรกสำหรับเธอและเขา

    เพลงในเพลลิสต์น่ะ มันเปิดเปลือยความเป็นตัวเราได้มากกว่าที่จะจินตนาการได้เลย

     

    เธอหยิบไอพอดคลาสสิกสีดำขึ้นมา นิ้วเรียวหมุนเลื่อนไปที่เพลลิสต์ประจำตัว สัมผัสเย็นๆ จากหูฟังแตะเข้าที่หูข้างซ้ายก่อนเขาจะสวมมันอีกข้างให้ตัวเอง ระยะห่างถูกร่นลงเรื่อยๆ พร้อมกับเพลงที่ดังขึ้นในความเงียบ


    “Coldplay, Bon Iver, Damien Rice, Passenger, The Script, Keane, Kodaline…. Wait, let’s pause there” เขารีบตรงไปที่เปียโนรีลิคตัวเก่า ก่อนกดคอร์ดค้างไว้และฮัมเมโลดี้ขึ้นมาเบาๆ


    “Perfect! เพลงนี้อยู่ในคีย์ C คุณจะรู้สึกสนุกในการซ้อมมากขึ้นแน่ ถ้าคุณเล่นเพลงที่คุณฟังประจำ——Alternative rock, I’ll note that” เขาพูดมันเบาจนแทบเป็นเสียงกระซิบในประโยคสุดท้าย แต่ถ้าฟังไม่ผิด นั่นคือแนวเพลงที่เธอชอบ…


    เธอก้มลงมองหน้าจอไอพอดที่ขึ้นชื่อเพลง All I Want ของ Kodaline มันเป็นเพลงโปรดของเธอ และโชคดีจริงๆที่มันอยู่ในคีย์ที่เธอต้องการ

     

    “That’s also my favourite”


    .

     


    .

     

    All I want is

    And all I need is

    To find somebody

    I'll find somebody

    Like you

    ​​


    เชิงอรรถ

    1. ^ จอห์น เคจ นักประพันธ์เพลงชาวอเมริกัน ที่มีบทบาทสำคัญในศตวรรษที่20 โดยเฉพาะการประดิษฐ์และคิดค้นวิธีที่ทำให้เกิดซาวด์แปลกใหม่ เคจใช้เสียงรอบตัวและการประยุกต์เครื่องดนตรีกับวัตถุอื่นๆในดนตรีแนว Avant Garde และมีอิทธิพลต่อการตีความศิลปะการแสดงประเภท Performing Arts

    2. ^ เฮดสต๊อก (Headstock) คือรูปทรงของหัวกีตาร์ ที่เป็นจุดขึงสายเพื่อยึดกับบอดี้


Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in