เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
การเรียนคณะสังคมวิทยาฯDS.
การเรียนในคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาที่กำลังก้าวเข้าสู่ปี 4
  • สิ่งที่จะเขียนต่อไปนี้เกี่ยวกับบรรยากาศการเรียนของเราในคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยาที่ผ่านมาตั้งแต่ปี1 จนถึงปัจจุบัน
        หลังจากจบการศึกษามัธยมปลายเราก็ยังไม่แน่ใจว่าจะเรียนคณะอะไรดีเพราะคณะที่อยากเข้าคะแนน admission ของเราไม่ถึงตามที่คณะต้องการ จนเพื่อนมาแนะนำว่าให้ลงคณะสังคมวิทยาฯเอาไว้ณ ตอนนั้นคะแนนadmission อยู่ประมาณ 18,000+ รวมกับพี่เราแนะนำด้วย ทำให้เราตัดสินใจที่จะลง admission เป็นอันดับหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับคณะเลย เช่น ไม่รู้ว่าเรียนเกี่ยวกับอะไร สภาพสังคมในคณะ มหาวิทยาลัย คิดแค่ว่ามีที่เรียนก็พอแล้วในตอนนั้น หลังจากผ่านการสัมภาษณ์แล้วเข้ามาเป็นนักศึกษาคณะนี้ก็เป็นจุดเริ่มต้น

    ปี3: งานวิจัย/บทความวิชาการ เหนื่อยอ่อน และการหาทางออก #มีเนื้อหายาวกว่าปี1และปี 2เพราะกำลังประสบพบเจออยู่ในชีวติปัจจุบัน

    " จงทำงาน " 
    " จงทำงาน " 
     " จงทำงาน " 
                               (เมื่อเจองานที่อาจารย์สั่ง " จงทำงาน "  จงหนีไปปปปป)

    ที่ปรากฏอยู่บนเสื้อนักศึกษาท่านหนึ่งในคลาสเรียนวิชาหนึ่งเมื่อสายตาเราไปกระทบกับคำนี้ก็เหมือนเป็นรางบอกเหตุว่าปี 3 แกมีงานให้ทำจนไม่ว่างแน่ ๆ อิอิ


    Chapter 1:งานวิจัยใคร ๆ ก็ทำได้
         
         เราเข้าใกล้สู่การออกไปลงสนามจริงแห่งชีวิตคือ การใช้ชีวิตที่ต้องเริ่มพึ่งพาตนเอง การเจอสังคมภายนอกที่คนละแบบกับโลกของการเป็นนักเรียน นักศึกษา หรือเรียกได้ว่า เจอชีวิตที่อยู่ภายใต้การควบคุมจากเจ้านาย องค์กรต่าง ๆ ที่เราจะเข้าไปผลิตงานให้กับพวกเขาแลกกับเงินที่จะมาใช้จ่ายปัจจัย 4 5 6 ....ที่ดูเหมือนจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามยุคสมัย แต่ก่อนที่จะไปเจอสิ่งเหล่านั้นเราต้องผ่านปี 4 ไปก่อน 
         
         เข้าเรื่องเลยแล้วกันปี 3 เป็นปีที่เราเริ่มฝึกทำวิจัยอย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด เพราะที่ผ่านมาก็อาจจะได้แค่อ่านหรือเขียนเป็นเค้าโครงคร่าว ๆ (ในวิชาปรัชญาตอนปี2) เป็นการเปิดโลกทางด้านวิชาการของเราสารภาพเลยว่าตอนอ่านวิจัยตัวอย่างนี้ขี้เกียจสุด ๆ ที่มีหน้า100+ ตาลายไปหลายรอบเลยทีเดียว 
         
         
         การที่ได้ทำวิจัยเป็นผลพวงมาจากเราต้องลงวิชาวิจัยปริมาณและคุณภาพในช่วงปี3เพราะต้องผ่านตัวพื้นฐานบางตัวที่วิชานี้กำหนดเอาไว้ก่อนเราลงเรียนได้(ถ้าใครเก็บครบก่อนปี3ก็ลงได้อะ)และเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับเราด้วยความที่ผ่านมาได้รับการบ่งเพาะทางความรู้ไม่ว่าจะเป็น แนวคิดทฤษฎี วิธีวิทยา ต่าง ๆ ที่พอจะเอาไปใช้ในการทำวิจัยกับคนอื่นได้บ้าง


         เทอมแรกของปี 3 เราเลือกลงวิชาวิจัยปริมาณก่อนเพราะรุ่นพี่แนะนำ(แบบพี่เรียนมาก่อนไม่เชื่อได้ไง เนอะ ๆ ) คลาสนี้เป็นชนกลุ่มน้อยที่น้อยจริง ๆ มีแค่ 20 เอง ตอนเข้าไปในห้องก็แบบ เชี่_ ชิบห_ย คนน้อยจังแบบนี้ถ้าไม่ตั้งใจเรียนก็จุดเด่นเลยสิ (คิดในใจ) บรรยากาศการเรียนด้วยความที่คนน้อยทำให้เราได้มีพูดคุยกับอาจารย์มากขึ้นโดยที่เราต้องเข้าไปพบอาจารย์คุยเรื่องหัวข้อวิจัยบ้างเอาจริง ๆ คือ ส่วนใหญ่ให้อาจารย์ช่วยแก้ปัญหาที่เจอในการทำวิจัย 
         

         งานที่อาจารย์สั่งเป็นการตกลงกันในห้องว่าจะทำเรื่องอะไรตามหัวข้อที่กำหนดให้ หัวข้อที่พวกเราเลือกมาดูเหมือนจะห่างไกลกับคำว่าสังคมวิทยาเสียเหลือเกินแต่เข้าใกล้กับคำว่าเศรษฐศาสตร์เสียมากกว่าถึงอย่างไรพวกเราก็เป็นคนเลือกกันเองนี่หน่าเราก็ต้องเอามาโยงเข้าให้ได้✊✊✊ ในการทำวิจัยอาจารย์คอยช่วยซับพอร์ตพวกเราอย่างมากทางทฤษฎี ตัวอย่างงานวิจัย กลุ่มตัวอย่าง การลงพื้นที่  แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ สิ่งที่ยากสำหรับนักศึกษาอย่างเราแล้วคือ การอ่านและการจัดการเวลา ของเราเอง 
         
          
           วิชาอื่นรุมเร้าให้เราอ่านบทความต่าง ๆ ฉันใด วิชาวิจัยปริมาณก็รุมเร้าให้เราอ่าน ฉันนั้น


       สิ่งที่ต้องเจอในคณะนี้ยังไงก็หนีไม่พ้นคือ การอ่าน ในงานวิจัยชิ้นหนึ่งต้องใช้เวลาการศึกษาที่รอบด้านในเรื่องที่เราจะทำวิจัยเริ่มตั้งแต่บทที่ 1 กับบทที่ 2 สองส่วนนี้อ่านกันจนสนุก อ่านจนตาแตก อ่านจนอยากจะบอกคนทำโพลที่ว่าคนไทยอ่านหนังสือน้อย ให้ลองมาทำโพลในคณะนี้เกี่ยวกับการอ่านดู (อันนี้หนูพูดล้อเล่นนะคะแค่อยากเปรียบเทียบว่าอ่านเยอะจริง ๆ ) ส่วนบทที่ 3 4 5 จะเริ่มเป็นข้อมูลที่เราเก็บรวบรวมมา การจัดการกับเวลา เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจะควบคุมได้สักเท่าไรเพราะมีปัจจัยภายนอกและภายในเข้ามารบกวนเสมอ ไม่ว่าจะความขี้เกียจ ความคิดที่ผัดวันประกันพรุ่ง หรืองานอื่น ๆ ที่จะต้องทำก่อนส่งก่อน

     
         จำไว้นะคะ  ทักษะการอ่านที่ดีและไว เข้าใจรวดเร็ว เก็ทประเด็นของบทความหรืองานวิจัยต่าง ๆ ได้ตรงจุด จะทำให้คุณหลุดพ้นจากความเบื่อหน่ายของบทความทั้งปวง แต่ถ้าชีวิตของคนเรามันราบรื่นไปซะหมดก็คงไม่ต้องมีประโยคที่ว่า ทางเดินไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ หรือว่า ความพยามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั้น สินะ ซึ่งดูจะตรงกันข้ามกับทักษะของเราหมดเลย 5555

    ***ในส่วนของปี 3 เทอม 2 จะนำมาเล่าใน PART ปี 4 ***

  • Chapter 2: เหนื่อยอ่อน: อ่อนแอก็แพ้ไป

         ความเหนื่อยของแต่ละคนก็แตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับช่วงอายุที่เราเติบโตการบอกว่า ฉันเหนื่อยมากกว่า เธอเหนื่อยน้อยกว่า อาจจะเป็นการมองเรื่องความเหนื่อยที่แคบเกินไป เพราะแต่ละคนคงนิยามความเหนื่อยไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อม การรับมือ ของส่วนบุคคล

         สำหรับเรา ความเหนื่อยคงเป็นการเดินทางโดยนั่งทั้ง รถยนต์ รถตู้ มอเตอร์ไซค์ ไปกลับจากบ้านจนถึงมหาวิทยาลัย ถนนเส้นนี้มีสภาพการจราจรที่ติดขัดเรียงยาวคล้ายกับคนต่อคิวรอซื้อ Smart phone ยี่ห้อหนึ่งที่เปิดตัวรุ่นใหม่ การใช้เวลาบนรถนาน ๆ ทำให้เพิ่มความอยากถึงบ้านเร็วขึ้นเป็น 2 เท่า บวกกับอยากรีบกลับบ้านไปทำงานที่อาจารย์สั่งให้เสร็จ แต่กว่าจะถึงบ้าน กินข้าว อาบน้ำ ก็เล่นเอาดึกดื่นเข้าไปแล้ว


         เราจึงได้ขยายเวลาของการทำงานมาอยู่เวลาที่ควรจะนอนเพื่อทำให้งานถูกกระตุ้นบ้างจะได้ลดการทำแบบ One Night Miracle แปลตรงตัวตามกูเกิ้ลคือ มหัศจรรย์คืนเดียว แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นศัพท์ที่พวกเราชอบใช้คือ ทำให้เสร็จภายในคืนเดียวก่อนส่งงาน หรือการอ่านสอบก็อ่านภายในคืนเดียวก่อนสอบ ในการขยายเวลาแบบนี้ทำให้เกิดความเมื่อยล้าทางสมอง และดวงตา เวลานอนถูกขยับให้อยู่ในช่วงเวลาตี 2 ถึงตี 3 เราเคยนอนตอนตี 3 ติดกัน 7 วัน เพราะพยายามจะรีบทำงานให้เสร็จและช่วงนั้นเป็นการสอบไฟนอลด้วย(ปกติเป็นคนนอนตั้งแต่ 4 ทุ่ม) ถือว่าเป็นความเหนื่อยรูปแบบหนึ่งของเรา


         ความเหนื่อยรูปแบบสุดท้ายที่เราเจอและเป็นความเหนื่อยไม่อยากเจอมากที่สุดคือ การมีปัญหาเรื่องความไม่เข้าใจกันเรื่อง การสื่อสาร การแสดงอารมณ์แง่ลบใส่กัน ในทุกรูปแบบความสัมพันธ์ สิ่งนี้เป็นการทำให้เกิดความเข้าใจผิดต่อกันอย่างบ่อยครั้งและอาจเกิดความขุ่นเคืองใจต่อกันและกัน


    Chapter 3: การหาทางออกที่ออกทางเข้า
        
    การดับทุกข์ของมนุษย์คือการเดินทางสายกลาง แต่สำหรับเราสายบวกเท่านั้นครับ เผชิญกับปัญหาเพื่อทำให้เราแข็งแกร่งในวันข้างหน้า อย่าย่อท้อแต่ให้ขยายท้อ (เก็ทปะ ๆ อันนี้เล่นมุก) ถุย ไม่ใช่ ย่อท้อได้ แต่อย่าถอย พูดแล้วก็หยิบเครื่องดื่มชูกำลังมาจิบหนึ่งสเต็ปเบา ๆ (หยอก ๆ)      
    สิ่งที่จะช่วยปลอบประโลมจิตใจของเราให้หายจากความเหนื่อยและปัญหาคือ การนอน ค่ะ
    การนอนแล้วตื่นขึ้นมาจะช่วยให้เรารู้สึกสดชื่นมาก ๆ อะ ไม่ต้องไปปลูกป่า ดำน้ำ ดูปะการัง หรอกแบบนั้นสำหรับคนที่หากิจกรรมยามว่าง อย่างเราอะนอนเยอะ ๆ ก่อนที่จะไม่ได้นอนเพราะตอนทำงานจะมั่วแต่มานอนก็คงไม่ใช่เรื่อง???

    ในส่วนของ Part ปี 4 คงอีกนานที่จะได้เขียนจึงอยากจะฝากติดตามการเขียนในเรื่องอื่น ๆ ที่จะพยายามนำเสนอให้ได้อ่านคั่นเวลาของท่านกันและขอบคุณที่เข้ามาอ่านจะพัฒนาการเขียนให้ดีขึ้น???

    ***ในส่วนของปี 3 เทอม 2 จะนำมาเล่าใน PART ปี 4 ***

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in